“เ้าเด็กไม่รักดี เ้าขโมยเนื้อแห้งของน้องชายเ้ามากิน ดูซิว่าข้าจะตีเ้าจนตายหรือไม่”
“ท่านแม่ ท่านอย่าตีอีกเลย ต้าเจี่ยเอ๋อร์[1]ทำผิดไปแล้ว นางสำนึกผิดแล้ว ท่านอย่าตีนางอีกเลยเ้าค่ะ”
“ท่านย่า ข้าผิดไปแล้ว ต่อไปข้าไม่กล้าทำอีกแล้ว ขอให้ท่านละเว้นข้าด้วยเถิดเ้าค่ะ”
“เ้ายังกล้าหนีอีกรึ เ้าเดรัจฉานน้อยตัวดี เ้ายังจะกล้าหนีอีก? เ้ามันเลี้ยงเสียข้าวสุก หากรู้ว่าเป็เช่นนี้ข้าควรจะบีบคอเ้าให้ตายเสียั้แ่เกิด”
“ท่านแม่ ถ้าท่านยังจะตีเจี่ยเอ๋อร์อีกก็ตีข้าให้ตายไปด้วยเลยเถิดเ้าค่ะ นางเป็ชีวิตจิตใจของข้า ท่านใจไม้ไส้ระกำเช่นนี้ได้อย่างไรกัน”
นี่คือท่านย่า พี่สาว[2] และท่านป้าสะใภ้ใหญ่ผู้ซึ่งกำลังมีปากเสียงกัน เื่ราวสืบเนื่องมาจากพี่สาวแอบขโมยเนื้อแห้งของหลี่ลั่วไปกินแผ่นหนึ่ง
หลี่ลั่วมาถึงโลกใบนี้ได้เป็ระยะเวลาหนึ่งเดือนแล้ว ภายในระยะเวลาหนึ่งเดือนมานี้ เขาได้ก่อเื่ขึ้นมาสองอย่างด้วยกัน เื่ที่หนึ่งคือ อดอาหารฆ่าตัวตาย ทว่าไม่สำเร็จ ท่านหมอใช้ยายื้อชีวิตของเขากลับคืนมา ญาติของเ้าของร่างเดิมนี้ได้แต่ป้อนข้าวป้อนน้ำให้แก่เขาอย่างไม่สนใจว่าเขาจะยินดีหรือไม่ เื่ที่สอง ะโน้ำฆ่าตัวตาย แต่ทว่าก็ไม่สำเร็จอีกเช่นกัน เขาเพียงะโลงไปได้ขาเดียว ขาอีกข้างก็ถูกผู้อื่นช่วยขึ้นมาเสียแล้ว กลับกลายเป็ว่าเป็หวัดอย่างมึนๆ งงๆ เสียอย่างนั้น
หลี่ลั่วมาจากศตวรรษที่ 21 เพิ่งจะสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยแพทย์ได้เพียงไม่นาน และกำลังฝึกงานอยู่ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง พ่อของเขาเป็ทหาร ส่วนแม่ของเขาเป็ดีไซน์เนอร์ เขาเป็ส่วนผสมผสานระหว่างขุนนางรุ่นที่สอง[3] และเศรษฐีรุ่นที่สอง[4] แต่ด้วยนิสัยเอาแต่ใจขั้นเทพของเขาซึ่งเป็รุ่นที่สาม เขาจึงตัดสินใจเลือกที่จะเรียนสาขาวิชาแพทย์
หลี่ลั่วนั้นถูกฆ่าตาย ทว่ามันเป็อุบัติเหตุ วันนั้นที่โรงพยาบาลมีหมอคนหนึ่งทำการผ่าตัดล้มเหลว ญาติของคนไข้รับความจริงไม่ได้ จึงถือมีดมาก่อเื่ที่โรงพยาบาล หลี่ลั่วเป็ผู้อยู่ในเหตุการณ์ ปรากฏว่าสังหารผิดคน จึงทำให้เขาต้องตาย รู้สึกตัวขึ้นมาอีกทีเขาก็มาถึงโลกใบนี้เสียแล้ว
เ้าของร่างเดิมนั้นเป็เด็กน้อยอายุห้าขวบ ชื่อว่าหลี่ลั่ว ลั่วที่แปลว่าตกลงมา ชื่อเหมือนกับของเขา อ่านออกเสียงเหมือนกัน แต่ตัวอักษรที่ใช้เขียนไม่เหมือนกัน ในครอบครัวอยู่ด้วยกันถึงสี่รุ่น ท่านย่าทวดเจิงนั้นอายุมากแล้ว ทุกวันจะช่วยทำงานบ้านบ้างเล็กน้อย ส่วนท่านย่าหลี่เป็หัวหน้าครอบครัว ใบหน้านางมีลักษณะซูบผอมจนแก้มตอบลึกลงไป แต่ทว่าดวงตาทั้งคู่ของท่านย่านั้นคมกริบยิ่งนัก และมีแววตาดุเล็กน้อย ท่านลุงใหญ่นั้นถึงแก่กรรมไปแล้ว ถึงแก่กรรมในวันเดียวกันกับท่านปู่หลี่ ได้ยินมาว่าตายไปด้วยโรคระบาด ปีนั้นเกิดโรคระบาดขึ้นในหมู่บ้าน ทำให้ผู้คนล้มตายไปไม่น้อย ส่วนท่านลุงรองเป็คนอ่อนแอ ขณะที่ทำการเกษตรอยู่ได้รับาเ็ ขาจึงขาดไปข้างหนึ่ง ท่านป้าใหญ่แต่งออกไปไกลจากหมู่บ้านเล็กน้อย หากนั่งรถเทียมวัวต้องใช้เวลาถึงครึ่งวัน ท่านพ่อของเขา หากนับตามลำดับผังสกุลแล้วเป็บุตรชายลำดับที่สี่ ออกไปรับราชการทหารทว่าไม่ได้กลับมา ทางกองทัพส่งเงินปลอบขวัญและกำลังใจมาให้ นั่นจึงเข้าใจได้ว่าเขาสละชีพเพื่อชาติไปแล้ว
นอกจากนี้แล้วยังมีท่านอาเล็กที่เป็โรคประสาทอีกคนหนึ่ง ปีนี้มีอายุสิบแปดปี โรคของเขาเป็สิ่งที่โรคระบาดเหลือทิ้งเอาไว้ โรคระบาดไม่ได้คร่าชีวิตของเขา แต่ว่าการกินยารักษานั้นทำให้เขาเสียสติ
และยังมีท่านอาหญิงในวัยสิบห้าปีอีกนางหนึ่ง ท่านอาหญิงเล็กนั้นได้รับผลกระทบจากฐานะที่ยากจนของครอบครัว จึงไม่มีบ้านอื่นมาขอทาบทามเื่การดูตัว
ท่านป้าสะใภ้ใหญ่จึงกลายเป็แม่ม่าย นางมีลูกสาวคนหนึ่งกับท่านลุงใหญ่ ปีนี้มีอายุแปดขวบ ท่านป้าสะใภ้ใหญ่เป็สตรีที่ดีงามและมีสติปัญญา มีนิสัยซื่อสัตย์สุจริต
ท่านป้าสะใภ้รองมีนิสัยค่อนข้างโอ้อวด ถึงแม้ว่าท่านลุงรองจะกลายเป็คนพิการ แต่ก็ยังนับได้ว่าเป็ผู้ชายในบ้าน เพราะฉะนั้นจึงมีกำลังหนุนหลังมากกว่าท่านป้าสะใภ้ใหญ่ นางมีลูกสาวหนึ่งคนซึ่งมีอายุเจ็ดขวบ
ท่านย่ามักจะพร่ำบ่นก่นด่านางว่าเป็แม่ไก่ที่ออกไข่ไม่เป็[5]อยู่เสมอ
ท่านแม่ของหลี่ลั่วเป็บุตรีของซิ่วไฉ[6]ผู้ยากจน รู้จักตัวหนังสือไม่กี่ตัว ท่านพ่อตาซิ่วไฉสอบเลื่อนขั้นเป็จวี่เหรินไม่สำเร็จ แต่กลับคิดว่าตนเองนั้นสูงส่ง คิดว่าตนเองนั้นเป็ผู้ทรงความรู้ แม้กระทั่งอาจารย์ในสำนักศึกษาก็ไม่ยอมไปสอน ดังนั้นครอบครัวของท่านตาจึงยากจนเข้าขั้นไม่มีอะไรเลย ส่วนท่านพ่อของหลี่ลั่วรับราชการ เป็ทหารวัยหนุ่มฉกรรจ์ รูปร่างใหญ่โตหยาบกระด้าง ถึงแม้ว่ารับราชการทหารจะดีที่มีเงินเบี้ยหวัดรายปีแต่ก็ไม่สามารถกลับบ้านได้เป็เวลาหลายปี โดยทั่วไปชาวบ้านจึงมิใคร่ยินยอมให้ลูกสาวของตนแต่งเข้ามา แต่ก็ด้วยเหตุนี้นี่เองท่านแม่จึงแต่งเข้ามา
สกุลหลี่ทั้งครอบครัวมีทั้งหมดสิบสองคน หลี่ลั่วถือเป็หลานชายเพียงคนเดียวที่ปกติ
หลี่ลั่วฉลาดมีไหวพริบั้แ่วัยเยาว์ ท่านย่าหลี่เป็คนค่อนข้างจู้จี้จุกจิก แต่ทว่ากับหลานคนนี้แล้วนั้นเรียกได้ว่ารักและเอ็นดูเข้าไปในกระดูกเลยทีเดียว แล้วเด็กน้อยอายุเพียงห้าขวบตายได้อย่างไรน่ะหรือ มีอยู่ครั้งหนึ่ง ท่านแม่อุ้มเ้าของร่างเดิมกลับไปบ้านท่านตา เด็กน้อยจึงได้ยินท่านตาอ่านหนังสือ ความจำของเขานั้นดีมาก หลังจากกลับมาถึงบ้านสกุลหลี่ก็ท่องให้ท่านย่าฟังต่อหน้าหลายประโยค ท่านย่าดีใจมากจึงเกิดความคิดที่จะอบรมสั่งสอนให้หลานชายเป็ผู้มีความรู้ การเรียนหนังสือคือทางออกทางเดียวของคนยากจน และถึงแม้ว่าท่านตาซิ่วไฉผู้ยากจนจะไม่ยินยอมไปสอนหนังสือที่สำนักศึกษา แต่หลานชายมีความฉลาดเฉลียวถึงเพียงนี้ เขาจึงเต็มใจที่จะเป็อาจารย์คนแรกของเขา สอนให้เขาเรียนหนังสือ
แต่ว่าบ้านท่านตามีน้าชายคนหนึ่ง น้าชายผู้นี้มีลูกชายหนึ่งคน หลี่ลั่วถูกเขาริษยา เขาจึงผลักหลี่ลั่วจนล้มลงศีรษะด้านหลังกระแทกพื้น ทำให้เสียเืเกินขนาดจนเสียชีวิต
[1] ต้าเจี่ยเอ๋อร์ (大姐儿) เจี่ยเอ๋อร์ คือคำที่มักใช้ห้อยท้ายชื่อเด็กผู้หญิงในครอบครัวในเชิงเอ็นดู ต้าเจี่ยเอ๋อร์หมายถึงเด็กผู้หญิงคนโต
[2] ถังเจี่ย (堂姐) ลำดับญาติของคนจีนจะแบ่งญาติฝ่ายบิดาและมารดาชัดเจน เจี่ย หมายถึงพี่สาว ถัง คือคนผู้ที่ใช้สกุลหรือแซ่เดียวกัน พี่สาวในที่นี้คือพี่สาวผู้ร่วมแซ่เดียวกัน ก็หมายถึงพี่สาวที่เกิดจากญาติฝั่งบิดานั่นเอง หากเป็พี่สาวเกิดจากญาติฝั่งมารดาจะเรียกว่า เปี่ยวเจี่ย (表姐)
[3] กวานเอ้อร์ไต้ (官二代) หมายถึงลูกหลานจากครอบครัวขุนนางในรุ่นที่สอง ลูกหลานของขุนนางในประเทศจีนคือลูกหลานผู้ดีเก่า
[4] ฟู่เอ้อร์ไต้ (富二代) หมายถึงลูกหลานที่เกิดจากครอบครัวที่มีอันจะกินระดับเศรษฐีในรุ่นที่สอง ลูกหลานของเศรษฐีในประเทศจีนคือลูกหลานคนรวย
[5] แม่ไก่ที่ออกไข่ไม่เป็ เป็คำกระทบกระเทียบเปรียบเปรยหญิงที่แต่งงานแล้วไม่สามารถตั้งครรภ์ให้กำเนิดบุตรได้ เป็ผู้หญิงที่ไร้ประโยชน์ ในที่นี้หมายความว่าอาสะใภ้รองไม่ยอมมีลูกกับลุงรองอีกเนื่องจากกลายเป็คนพิการไปแล้ว การทำเื่ในเรือนหอกับคนพิการจำเป็ต้องให้ฝ่ายหญิงนำ
[6] ซิ่วไฉ (秀才) ระบบการสอบขุนนางในสมัยโบราณ (เคอจวี่) แบ่งเป็ฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ สอบเลื่อนทีละระดับขั้น เริ่มจากระดับอำเภอหรือจังหวัดเรียกว่าการสอบ ถงซื่อ ผู้สอบผ่านจะได้เป็ ซิ่วไฉ มีสิทธิ์เข้าร่วมการสอบ เซียงซื่อ ในระดับมณฑล หากสอบผ่านเซียงซื่อจะได้เป็ จวี่เหริน ซึ่งเมื่อสอบผ่านได้จะต้องเข้ามาสอบในระดับ ฮุ่ยซื่อ ที่เมืองหลวงเพื่อขึ้นเป็ จิ้นซื่อ ได้บรรจุเข้ารับราชการ เมื่อผ่านการสอบทั้งสามระดับ จะได้เข้าสอบหน้าพระที่นั่งคือการสอบ เตี้ยนซื่อ เพื่อคัดเลือกเป็บัณฑิตเอกสามขั้น บัณฑิตเอกขั้นหนึ่งมีสามคน เรียงตามคะแนนจากสูงไปต่ำเรียกว่า จ้วงหยวน ปั๋งเหยี่ยน และทั่นฮวา