เป็ดั่งที่คาดคิด เมื่อได้ยินจูชิงเฟิงกล่าวเช่นนี้ หลิงจืออวี้ไม่พอใจแล้ว
“ท่านอาจารย์ขอรับ คนโบราณกล่าวไว้ว่า การศึกษาไม่แบ่งแยกสูงต่ำ ท่านแยกปฏิบัติเช่นนี้ จะแตกต่างจากพวกตระกูลสูงศักดิ์ที่แบ่งแยกผู้คนเป็ชนชั้นต่างๆ ได้อย่างไร พวกเราร่ำเรียนวิชา มิใช่เพียงเพื่อสอบให้ได้ตำแหน่งทางราชการ แต่เพื่อให้เข้าใจในหลักการและเหตุผลด้วย เมื่อมีคนเข้าใจในหลักเหตุผลมากแล้ว โลกใบนี้ก็จะยิ่งสุขสงบ หากคนทุกคนต่างเป็ผู้ไร้อารยะที่ไม่ได้รับการเบิกปัญญา เช่นนั้นโลกใบนี้มิวุ่นวายไปหมดหรือขอรับ จากที่ข้าดู ควรจะเปิดรับนักเรียนอย่างกว้างขวาง ให้ทุกคนล้วนอ่านออกเขียนได้ เช่นนี้จึงจะสามารถมีสภาพจิตใจที่สงบทัดเทียมได้ ”
จูชิงเฟิงมองท่าทางของเด็กหนุ่มน้อยที่อยู่เบื้องหน้า ท่าทางที่โต้แย้งด้วยเหตุผลของเด็กหนุ่มทำให้เขานึกถึงตนเองในอดีตขึ้นมา ตนเองในยามนั้นคิดอยากได้รับความสำคัญจากฮ่องเต้ ก็ได้กล่าวเหตุผลของตนเองกับเขาเช่นกัน ทว่า ฮ่องเต้กลับทำอย่างไร? ผู้ที่สามารถกลายเป็ฮ่องเต้ได้ มิได้หมายความว่าเขาจะมีจิตใจที่สูงส่งกว่าเด็กธรรมดาผู้หนึ่ง ความเป็จริงพิสูจน์แล้วว่า ฮ่องเต้ก็เป็เพียงอนารยชนที่มิได้รับการเปิดปัญญาผู้หนึ่งเท่านั้น สิ่งที่เขาเล่าเรียนมา ต่อหน้าอนารยชนเช่นนั้น ไม่มีที่ให้ได้ใช้แม้แต่น้อย
หยางซื่อและหลิงมู่เอ๋อร์ล้วนอยู่ในห้อง หยางซื่อเคยได้ยินหลิงมู่เอ๋อร์กล่าวว่า นิสัยของผู้าุโจูผู้นี้ประหลาดอยู่บ้าง ทางที่ดีอย่าได้ไปรบกวนเขา บัดนี้ หลิงจืออวี้เถียงเขา หากทำให้เขาโมโหจนจากไปแล้ว ความเหนื่อยยากใน่ที่ผ่านมาของหลิงมู่เอ๋อร์ก็จะเสียเปล่า
“เดือนแปด” หยางซื่อเรียกอย่างประหม่า “อย่าได้เสียมารยาท”
หลิงจืออวี้เบะปาก มองจูชิงเฟิงอย่างดื้อรั้น
จูชิงเฟิงมองหนุ่มน้อยที่ราวสลักจากหยกขาวผู้นี้ มุมปากก็ยกขึ้นบางๆ เขามองหยางเสี่ยวหู่กับฝูเอ๋อร์แล้วถามว่า “พวกเ้าอยากเรียนหนังสือกับข้ารึไม่?”
หยางเสี่ยวหูได้ยินว่าจูชิงเฟิงไม่เต็มใจสอนเขา ในใจก็รู้สึกน้อยใจ เขามีนิสัยซื่อตรง แม้จูชิงเฟิงจะดูถูกเขา เขาก็ไม่โกรธแค้น เพียงแต่เสียใจอย่างมากเท่านั้น
จูชิงเฟิงถามเขา หยางเสี่ยวหู่ก็พยักหน้าอย่างตรงไปตรงมา “อยากขอรับ ข้ารู้ว่าตนเองไม่ฉลาด ไม่อาจมองเพียงครั้งเดียวก็จำได้เช่นญาติผู้น้อง แต่ว่า ข้าก็อยากรู้อักษรรู้เหตุผลขอรับ ไม่ขอมีชื่อในทำเนียบทอง ขอเพียงสามารถช่วยคนในครอบครัวได้ก็พอแล้วขอรับ เมื่อก่อนมีเพียงท่านพ่อและท่านย่าที่ดูแลข้า ข้าไม่อาจทำสิ่งใดได้เลย ภายหลังเมื่อติดตามลูกผู้พี่หญิงมาอยู่ในบ้านของท่านอาและท่านอาเขย ท่านอาและท่านอาเขยปฏิบัติต่อข้าราวกับลูกแท้ๆ ข้าได้รับความรักจากทุกคน ก็อยากจะดูแลพวกเขาในยามที่พวกเขาแก่ชราเช่นกันขอรับ ให้พวกเขาสามารถใช้ชีวิตในยามแก่เฒ่าได้อย่างไร้กังวล”
จูชิงเฟิงตะลึงไป ช่วยเหลือคนในครอบครัว? เขาเรียนหนังสือนานหลายปี ทั้งหัวใจคิดเพียงสนองคุณแผ่นดิน ไม่เคยคิดช่วยเหลือคนในครอบครัวมาก่อน
หลายปีมานี้ เื่ใหญ่น้อยในบ้านล้วนเป็ภรรยาที่ผูกผมกันมาเป็ผู้จัดการแต่เพียงคนเดียว แต่ละวัน เขาสนใจเพียงกินดื่ม ไม่เคยสนใจเื่อื่นมาก่อน ต่อมาเมื่อออกจากตำแหน่ง เดิมสองแขนเสื้อก็มีแต่สายลม [1] อยู่แล้ว จากนั้นมารดาชราก็ได้ล้มป่วยลงจนมิอาจลุกขึ้นมาอีก เงินส่วนสุดท้ายที่เหลืออยู่จึงไม่เหลือแล้ว ครั้งแรกที่ภรรยาพูดถึงความลำบากของครอบครัวต่อหน้าเขา เขาครุ่นคิดอยู่คืนหนึ่งก็ตัดสินใจย้ายไปอยู่ที่ชุมชนผู้ยากไร้ ในเวลานั้น ในใจของเขาเต็มไปด้วยความขัดเคือง เขาตำหนิภรรยาว่าไม่รู้จักการจัดการเรือน ทำให้คนในครอบครัวที่อยู่ดีๆ ต้องย่ำแย่เช่นนี้
จากมุมมองของเขา แม้เขาจะมิได้คดโกงเช่นขุนนางคนอื่น แต่ทุกเดือนก็มีรายรับสิบตำลึง จะอย่างไรก็ไม่ถึงกับอเนจอนาถเช่นนี้ จนกระทั่งหลายปีให้หลัง เขาจึงตระหนักว่า ในยามนั้น จะอย่างไรเขาก็เป็ขุนนาง ที่บ้านจะยากจนเพียงใดก็จัดเด็กรับใช้ส่วนตัวให้เขา และยังจัดสาวใช้ให้ท่านแม่ผู้ชรา ผู้ที่เขาล่วงเกินในราชสำนักมีไม่น้อย คนพวกนั้นสั่งภรรยาที่บ้านของตน อาศัยเหตุผลนานามาสร้างความลำบากให้ภรรยาของเขา ทำให้ภรรยาได้รับอับอายในงานเลี้ยงต่างๆ หากมิใช่เพราะภรรยาเฉลียวฉลาด กลัวว่าคงกลายเป็ที่ขบขันนานแล้ว ทว่า แม้จะเป็เช่นนี้ ไม่ว่าผู้ใดก็รู้ว่าบ้านของเขามัธยัสถ์ เป็ฟูเหรินของขุนนางเช่นเดียวกัน ภรรยามักจะสวมชุดเรียบง่าย เครื่องประดับผมเพียงอย่างเดียวบนศีรษะก็คือปิ่นทองชิ้นหนึ่ง
จูชิงเฟิงมองเหยาซื่อที่อยู่เบื้องหน้า บัดนี้ ปิ่นทองชิ้นนั้นได้หายไปแล้วเช่นกัน ตอนนี้ เหลือเพียงปิ่นไม้ชิ้นหนึ่งเท่านั้น เขาเป็สามีที่ไม่ได้การจริงๆ
ในเสี้ยววินาที จูชิงเฟิงก็ราวกับตระหนักรู้ถึงเื่มากมาย ราวกับพื้นที่ที่ถูกปิดกั้นในสมองไว้ถูกเปิดออก เส้นเอ็นและจุดชีพจรทั้งแปดถูกทะลวง
“ดี ข้าจะรับพวกเ้าไว้ ทว่า ข้าเป็เพียงผู้ฝึกสอนของพวกเ้าเท่านั้น มิใช่อาจารย์” แม้จะเปลี่ยนความตั้งใจ แต่ความยึดมั่นในใจกลับมิได้สลายไป
ที่จูชิงเฟิงสามารถสอบได้ตำแหน่งจองหงวนได้ในวัยเพียงสามสิบ สิ่งนี้พิสูจน์ชัดว่า ตัวเขาก็เป็อัจฉริยะผู้หนึ่ง แล้วจะอนุญาตให้ตนเองรับผู้มีสติปัญญาธรรมดาเป็ศิษย์ได้อย่างไร? หยางเสี่ยวหู่เป็เด็กที่มีคุณธรรม เขาชื่นชมการใช้ชีวิตของเด็กคนนี้ แต่ยังไม่ถึงระดับมาตรฐานในการรับศิษย์ของเขา ดังนั้น จึงเป็เพียงผู้ฝึกสอน มิใช่อาจารย์
สำหรับจุดนี้ ทุกคนล้วนไม่มีความเห็นอื่น นิสัยไม่ดีของจูชิงเฟิงอยู่ในเมืองหลวงนับได้ว่าโด่งดังอย่างมาก ทุกคนคาดเดาถึงผลลัพธ์เช่นนี้อยู่ก่อนแล้ว
“ดูท่าจะปรึกษากันเกือบเรียบร้อยแล้ว” ป้าเฉินปรากฏตัวขึ้นหน้าประตู “สาวน้อย ด้านนอกมีคนครัวมาอีกสองคน เ้าจะไปลองทดสอบดูหรือไม่?”
หลิงมู่เอ๋อร์เมื่อเห็นป้าเฉินก็พยักหน้าให้นางครั้งหนึ่ง หันกลับมาพูดกับจูชิงเฟิงและคนอื่นว่า “เื่ต่อจากนี้ ก็ขอมอบให้ท่านอาจารย์จูจัดการแล้ว ข้ายังมีธุระ จะไปจัดการเื่อื่นก่อน หากยังมีเื่ใดที่ต้องให้ข้าออกหน้าอีก ก็สามารถมาหาข้าได้โดยตรง”
เหยาซื่อมองร่างของหลิงมู่เอ๋อร์จากไปไกล นางจับมือของหยางซื่อ กล่าวเสียงเบาว่า “มู่เอ๋อร์ของบ้านท่านยังมีเื่ใดที่ไม่สามารถทำได้อีกบ้าง? เหตุใดจึงมีผู้ที่เก่งกาจเช่นนี้? ภายหน้าผู้ใดได้แต่งกับนาง ก็เหมือนได้รับวาสนายิ่งใหญ่จากฟ้า นางหมั้นหมายแล้วหรือไม่?”
หยางซื่อไม่เข้าใจความหมายของเหยาซื่อ ถือเพียงว่านางกำลังชื่นชมหลิงมู่เอ๋อร์ สำหรับความโดดเด่นของบุตรสาว ไม่มีมารดาคนใดไม่ยินดี แต่ไม่ว่าในใจจะคิดอย่างไรก็ไม่อาจแสดงออกมา มิเช่นนั้นจะทำให้คนขบขันแล้ว
“สาวน้อยคนนี้ชอบจัดการเื่ราว เพียงแต่นางทำสิ่งต่างๆ อย่างละเอียดรอบคอบ ทุกคนก็ล้วนเชื่อในความสามารถของนาง แม้ข้าจะอยากออกไปช่วย นางก็ไม่ยอม เกิดมาพร้อมชะตาที่ต้องเหนื่อยใจ” หยางซื่อกล่าวพร้อมหัวเราะ “พวกเราออกไปก่อนเถิด! นายท่านของบ้านท่านเหมือนจะเตรียมสอนพวกเขาเรียนหนังสือแล้ว”
เหยาซื่อก็มองความหมายของจูชิงเฟิงออกเช่นกัน จูชิงเฟิงขังตนเองอยู่ในห้องมาหลายปี สองสามปีนั้นสิ่งใดก็ไม่สนใจ ทุกวันล้วนเป็นางส่งข้าวเข้าไป มีบางครั้งเขากินข้าว บางครั้งที่จิตใจกลัดกลุ้ม แม้แต่คำเดียวก็ไม่อยากกิน บัดนี้ ไม่ง่ายเลยที่ข้ามผ่านด่านนั้นมาได้ ดูแล้วมีชีวิตชีวาอยู่จางๆ
หลังจากที่หยางซื่อ เหยาซื่อ และป้าเฉินจากไป หลิงจือเซวียนและจูฉีก็เดินเข้ามาด้วยกัน จูฉียิ้มกับจูชิงเฟิงว่า “ท่านพ่อ คนเดียวก็สอน สองคนก็สอน มิสู้รับพวกเราสองคนไว้ด้วยเลยขอรับ?”
จูชิงเฟิงตะลึง เขามีความรู้สึกที่ดีต่อหลิงจือเซวียน แต่คิดไม่ถึงว่า หลิงจือเซวียนที่อายุมากเพียงนี้ ยังคิดจะเรียนหนังสืออีก ส่วนบุตรชายของตน ตาบอดมาหลายปีเช่นนั้น บัดนี้ ดวงตากำลังอยู่ใน่ฟื้นฟู แม้จะยังไม่ฟื้นฟูกลับมาทั้งหมด แต่เขาเชื่อในความสามารถของหลิงมู่เอ๋อร์ ในเมื่อนางสามารถทำเื่ที่ผู้อื่นทำไม่ได้ เช่นนั้น ย่อมสามารถทำให้เื่นี้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นได้ บุตรชายของเขามิใช่คนตาบอด อยากให้เหล่าผู้ที่เคยรังแกพวกเขาได้เห็นอย่างชัดๆ เสียจริง
“ได้” จูชิงเฟิงเผยรอยยิ้มออกมา “ตัวข้าไม่มีความสามารถจะถูกบันทึกอยู่ในประวัติศาสตร์ ข้าก็จะบ่มเพาะผู้ที่สามารถถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ออกมา”
จูฉีมองหน้ากับหลิงจือเซวียน คนทั้งสองที่มีนิสัยเหมือนกัน ไม่ช้าก็กลายเป็เพื่อนสนิทกัน มิตรภาพระหว่างพี่น้องนี้ดำรงไปตลอด่ชีวิต สกุลจูและสกุลหลิงยิ่งผูกมิตรกันไปถึงรุ่นลูกหลาน ในภายหลัง สองสกุลยังมีการเกี่ยวดองกันในหลายรุ่น จนกลายเป็เื่เล่าขานอันงดงามอีกด้วย แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็เื่ราวในภายหลัง
หลิงจือเซวียน นำน้องชายและลูกพี่ลูกน้องชาย เริ่มเรียนกับจูชิงเฟิงอย่างเป็ทางการ โรงหมอและร้านอาหารก็เปิดกิจการตามลำดับ เื่ในร้านอาหารมอบให้หลิงต้าจื้อและหยางต้าหนิวเป็ผู้รับผิดชอบ ส่วนหยางซื่อและเหยาซื่อรับผิดชอบเื่ในครัว เช่นเดียวกันกับหลิงจือเซวียนและจูฉีที่เป็เพื่อนที่ดีต่อกัน หยางซื่อและเหยาซื่อเพียงพบหน้าก็เหมือนรู้จักมานาน ในไม่ช้า ทั้งสองก็กลายเป็เพื่อนสนิทกัน
ร้านอาหารสกุลหลิงเมื่อได้รับการช่วยเหลือจากเหยาซื่อ ก็ราวกับเสือที่ได้รับการติดปีก เหยาซื่อเป็ภรรยาของขุนนางมานานหลายปี รู้หลักการดำรงชีวิตในราชสำนัก เมืองหลวงอยู่ใต้พระบาทของโอรส์ ผู้สูงศักดิ์มีมาก ข้อห้ามก็มีมากเช่นกัน การไม่ระวังเพียงครั้งเดียวง่ายที่จะทำให้ผู้อื่นขมวดคิ้วได้ มีคำเตือนของเหยาซื่อ หยางซื่อจึงหลีกเลี่ยงปัญหาได้หลายครั้ง
ป้าเฉินในฐานะแขกชั่วคราวของบ้านหลังนี้ ่นี้กลับชอบเดินไปมาอยู่หน้าหลิงมู่เอ๋อร์ ทุกคนต่างก็นำความสนใจไปวางไว้ที่ร้านอาหาร ทางโรงหมอจึงมีเพียงหลิงมู่เอ๋อร์ที่พาสาวใช้สองนางที่พอรู้วิชาแพทย์ไปทำงาน ป้าเฉินเป็ผู้ดูแลบ้านที่ร้ายกาจมาก เื่ใหญ่ๆเล็กๆพวกนั้น เมื่อตกมาอยู่ในมือของนางก็กลับกลายเป็ง่ายดายขึ้นมา
ที่โรงหมอ ซางจือรับผิดชอบการจัดยา เจี้ยงเซียงคอยเป็ผู้ช่วยของหลิงมู่เอ๋อร์อยู่ด้านข้าง ป้าเฉิดดีดลูกคิด คำนวณรายการยาพวกนั้นออกมาอย่างชัดเจน
หลิงมู่เอ๋อร์ยังคงรักษาความเคยชินเดิมไว้ หากเป็ผู้ที่ครอบครัวยากไร้ นางสามารถยกเว้นค่าตรวจรักษาโรคให้ เพียงอีกฝ่ายจ่ายเพียงค่ายาก็ใช้ได้แล้ว กฎข้อนี้ดึงดูดให้คนยากจนจำนวนมากมาที่นี่ ส่วนพวกที่มีเงินมีอำนาจเ่าั้ ในจวนของพวกเขาเองก็มีหมอ ไม่มีความจำเป็ต้องเชิญหมอบ้านป่าจากภายนอก
สำหรับเหล่าพ่อค้าร่ำรวยที่อยู่ในชนชั้นกลาง พวกเขาย่อมเชิญหมอาุโที่มีชื่อเสียงจากภายนอก แม่นางน้อยเช่นหลิงมู่เอ๋อร์ ้าการศึกษาไม่มีการศึกษา ้าชื่อเสียงไม่มีชื่อเสียง และยังเป็สตรีที่ไม่เคยได้ยินที่มาที่ไปมาก่อนอีก ผู้ที่พอจะมีทรัพย์สินอยู่บ้าง ย่อมไม่ให้สตรีเช่นนี้มาตรวจอาการ
“ท่านหมอหลิงเ้าคะ บ่าวเป็คนของจวนจวิ้นอ๋อง บ่าวรับคำสั่งของเหล่าฟูเหรินมาเชิญท่านหมอหลิงไปที่จวน เพื่อจับชีพจรตรวจสุขภาพให้นางเ้าค่ะ” มัวมัวชรานางหนึ่งเดินเข้ามา กล่าวกับหลิงมู่เอ๋อร์ที่กำลังยุ่งอยู่
“่นี้เหล่าฟูเหรินสบายดีหรือไม่? หลายวันนี้ข้าค่อนข้างยุ่ง ยังไม่ได้ไปดูท่านผู้เฒ่าเลย” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวอย่างมีมารยาท
“เหล่าฟูเหรินสบายดีมากเ้าค่ะ เป็เพราะท่านไม่ได้พบท่านหมอหลิงมานานแล้ว จึงคิดถึงท่านอยู่บ้าง เหล่าฟูเหรินกล่าวว่า ต่อให้เป็ยามปกติที่ท่านไม่มีโรคภัยไข้เจ็บอันใด ก็ยังอยากให้ท่านหมอหลิงไปที่จวนเพื่อคุยเล่นเป็เพื่อนท่าน ท่านถูกชะตากับท่านหมอหลิง เห็นท่านแล้วก็ไม่ต่างจากหลานสาวแท้ๆเ้าค่ะ” มัวมัวชราเลือกคำพูดน่าฟังพูดให้หลิงมู่เอ๋อร์ฟัง
แน่นอนว่าที่ไม่น่าฟังนั้น ย่อมเป็คำพูดที่เจาหยางจวิ้นจู่กล่าวออกมา บัดนี้ ทั่วทั้งจวนจวิ้นอ๋องต่างก็รู้ว่า เจาหยางจวิ้นจู่ไม่ชอบแม่นางน้อยเบื้องหน้าผู้นี้ หากมิใช่เพราะจวิ้นอ๋องน้อยกำราบนางไว้ กลัวว่านางคงมาหาเื่หลิงมู่เอ๋อร์นานแล้ว
“วันนี้ก็ถึงเพียงเท่านี้ก่อนเถิด! ข้าจะออกไปตรวจอาการข้างนอก” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวกับผู้ป่วยที่อยู่ด้านหลัง “กฎระเบียบของข้าที่นี่คือตอนเช้าตรวจอาการ ตอนบ่ายออกตรวจตามบ้านเท่านั้น”
นางไม่อาจใช้เวลาทั้งหมดไปกับการตรวจโรครักษาได้ สำหรับเวลาในแต่ละวัน นางมีการวางแผนอย่างสมเหตุสมผล นอกจากการรักษาโรคช่วยคนแล้ว นางก็อยากมีพื้นที่ส่วนตัวบ้างเช่นกัน ได้เกิดใหม่อีกครั้ง นางไม่อยากใช้ชีวิตที่ยุ่งทั้งวันเหมือนในอดีตอีกแล้วจริงๆ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้