เมื่อหลิ่วเฟยได้ยินที่หนานกงหลิงพูดก็ลอบถอนหายใจออกมา ความจริงแล้วนางก็รู้ดีว่ามันเป็เื่ยากที่จะเกลี้ยกล่อมหนานกงหลิงให้ยอมตกลงได้ เพียงแต่ว่าพอได้เห็นภาระที่บิดาต้องแบกรับไว้ นางจึงอยากจะช่วยแบ่งเบาภาระท่านบ้าง
“ท่านประมุขหนานกง การสร้างลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่เป็พระประสงค์ขององค์จักรพรรดิ หรือว่านิกายหยุนไห่ของท่านคิดจะขัดคำสั่งขององค์จักรพรรดิกัน?” ตอนนี้เองชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านข้างหลิ่วเฟยก็พูดโผล่งออกมา ขณะที่จ้องมองไปยังหนานกงหลิงด้วยสายตาไม่เป็มิตร
“ข้าพูดตอนไหนว่าจะขัดพระประสงค์ขององค์จักรพรรดิ?” หนานกงหลิงมองไปที่ชายหนุ่มคนนั้นด้วยสายตาเ็า ขณะที่กล่าวว่า “ฝ่าา้าสร้างลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่ นิกายหยุนไห่ก็จะให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ และจะคัดเลือกลูกศิษย์ที่โดดเด่นบางส่วนไปเข้าร่วมการฝึกฝนที่ลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่”
เมื่อหนานกงหลิงพูดถึงตรงนี้ก็หยุดชะงัก จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อแล้วกล่าวเสียงเยือกเย็นว่า “และอีกอย่าง เื่ของนิกายหยุนไห่พวกข้าสามารถจัดการกันเองได้ ยังไม่ถึงคราวที่นายน้อยอย่างเ้าจะเสนอหน้ามาออกความคิดเห็น เ้านับเป็อะไรได้? แต่ถ้าอยากจะเสนอหน้านัก ก็เรียกบิดาของเ้า ต้วนเทียนหลางมาสิ”
ทวีปเก้า์เป็โลกที่ผู้แข็งแกร่งจะได้รับความเคารพ ใครแข็งแกร่งคนนั้นย่อมเป็ผู้นำ และเป็เพราะว่าตระกูลต้วนแข็งแกร่ง ด้วยเหตุนี้ตระกูลต้วนจึงได้เป็ราชวงศ์ พูดตรงๆ ก็คือตระกูลต้วนก็เหมือนนิกายที่แข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักรเสวี่ยเยว่ เพียงแต่ว่าดำรงอยู่ในสถานะของราชวงศ์เท่านั้นเอง แต่ถึงอย่างนั้นตระกูลต้วนก็ไม่สามารถทำให้นิกายอื่นๆ ยอมสวามิภักดิ์ได้
ด้วยสถานะประมุขแห่งนิกายหยุนไห่ของหนานกงหลิง เขาไม่จำเป็ต้องอดกลั้นต่อความไร้มารยาทของนายน้อยผู้นี้ ดังนั้นจึงโต้กลับไปอย่างไม่ไว้หน้า
“นี่เ้า... หนานกงหลิง เื่นี้ข้าจะรายงานให้ท่านพ่อทราบ!” ชายหนุ่มคนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงเ็า ในใจของเขาเกิดความรู้สึกเกลียดชังอีกฝ่ายขึ้นมา
“เหอะ แล้วแต่เ้าสิ” หนานกงหลิงตอบกลับอย่างไม่แยแส
“ข้าได้ยินมาว่าเฟยเฟยน้อยกลับมาแล้ว” ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งลอยมาจากด้านนอกห้อง ไม่ช้าผู้าุโเป่ยก็เดินเข้ามาด้วยท่าทางสง่างาม
“ท่านปู่เป่ย” หลิ่วเฟยเห็นผู้าุโเป่ยเดินเข้ามา ก็รีบลุกขึ้นทำความเคารพทันที ผู้าุโเป่ยคืออาจารย์ของหลิ่วชั่งหลัน บิดาของนาง
“เฟยเฟยน้อย บิดาของเ้าสบายดีไหม?” ในดวงตาของท่านผู้าุโเป่ยฉายแววเป็ห่วงขึ้นมา พวกเขาต่างก็เป็อาจารย์ศิษย์กันมานาน สายสัมพันธ์ย่อมลึกซึ้ง
“ยังอยู่ที่เมืองต้วนเริ่น” หลิ่วเฟยยิ้มอย่างขมขื่น
“เฮ้อ...” ผู้าุโเป่ยถอนหายใจออกมาก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ
“เฟยเฟยน้อย เ้ามีธุระอะไรถึงมาที่นี่ได้ล่ะ? อย่าทำให้ท่านประมุขลำบากใจนักเลย แต่ถ้าเ้าอยากได้คนนัก ข้าก็มีอยู่คนหนึ่งที่อยากจะแนะนำให้เ้าได้รู้จัก เ้าต้องพอใจมากแน่ๆ”
“คนหนึ่ง?” หลิ่วเฟยยิ้มเจื่อนๆ ออกมา
“ไม่ใช่ว่าปีนั้นบิดาของเ้าก็ไปคนเดียวหรือ? มีคนมากก็ใช่ว่าจะมีประโยชน์” ผู้าุโเป่ยส่ายหัว
“ท่านปู่เป่ย คนที่ท่านพูดถึงเป็ใครหรือ?” ดวงตาของหลิ่วเฟยเปล่งประกายขึ้นมา ฟังจากน้ำเสียงของท่านผู้าุโแล้ว ดูเหมือนจะให้ความสำคัญกับคนคนนั้นมาก หรือว่าคนคนนั้นจะเป็...
“เมื่อถึงเวลาเดี๋ยวเ้าก็รู้เอง เ้าให้พวกเขากลับไปก่อนเถอะ หลังจากจบงานประลองของนิกาย ข้าจะส่งเขาไปที่เมืองหลวงด้วยตัวเอง” ท่านผู้าุโเป่ยปรายตามองคนอื่นๆ ที่อยู่ด้านหลังด้วยสายตาเยือกเย็น
“เ้าค่ะ” หลิ่วเฟยพยักหน้าตกลง
…
ในช่องผา หลินเฟิงนั่งขัดสมาธิอยู่ภายในถ้ำหิน โดยมีหยวนชี่ฟ้าดินที่เหมือนหิ่งห้อยล้อมรอบกายของตัวเองราวกับหมอกสีขาว
ผ่านไปได้สักพักหนึ่ง พลังดูดซับที่น่าเกรงขามก็ลอยออกมาจากร่างของหลินเฟิง และทำการกลืนกินหยวนชี่ฟ้าดินที่อยู่รอบกายเข้าไปในร่าง ประหนึ่งเป็มหาสมุทรอันกว้างใหญ่ที่สามารถรองรับสายน้ำนับไม่ถ้วน หลังจากที่หมอกสีขาวถูกดูดกลืนเข้าไปในร่างอย่างต่อเนื่อง หลินเฟิงก็ใช้เคล็ดวิชาฉุนหยวนในการกลั่นหยวนชี่ฟ้าดินให้บริสุทธิ์
เวลาผ่านไปหยวนชี่ฟ้าดินที่อยู่รอบกายของหลินเฟิงก็ไม่กลั่นตัวอีก หลินเฟิงหยุดการบ่มเพาะพลังของตนไว้แค่นี้
เขาลืมตาขึ้นช้าๆ ขณะที่บนใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มอันอบอุ่นขึ้นมา
“ถึงแม้ว่าเคล็ดวิชาฉุนหยวนจะไม่ได้ให้ผลลัพธ์ที่พิเศษอะไร แต่ก็ทำให้รากฐานมั่นคงขึ้น ตอนนี้ลมปราณในร่างกายของข้าก็มีมากกว่าเมื่อก่อนถึงสองเท่า”
หลินเฟิงพึมพำกับตัวเองเบาๆ ลมปราณเติบโตขึ้น นั่นก็เท่ากับว่าสามารถต่อสู้ได้นานขึ้น ความสามารถในการโจมตีและการต่อสู้อย่างต่อเนื่องก็จะแข็งแกร่งขึ้น
หลินเฟิงลุกขึ้นยืนและมองไปยังผนังถ้ำ จากนั้นก็ตบฝ่ามือไปในอากาศขณะที่ะโว่า “แปดฝ่ามือพิฆาต”
สิ้นเสียงของหลินเฟิง รอยประทับฝ่ามือเจ็ดรอยก็พุ่งออกมาจากฝ่ามือของหลินเฟิงกระแทกเข้ากับผนังถ้ำ
“ตูม!!!”
ผนังถ้ำสั่นไหวอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหยุดลง และบนผนังถ้ำก็มีรอยฝ่ามือประทับไว้ทั้ง 7 รอย ซึ่งเห็นได้ชัดเจนมาก
“ตอนนี้แปดฝ่ามือพิฆาตมีพลังโจมตีที่รุนแรงที่สุด”
หลินเฟิงยิ้มออกมาอย่างพอใจ แปดฝ่ามือพิฆาตเป็เคล็ดวิชาระดับลี้ลับ ซึ่งจะแบ่งออกเป็ 8 ขั้น ถ้าสามารถฝึกฝนไปถึงขั้นที่ 5 ได้ พลังโจมตีก็จะร้ายกาจมาก ฝ่ามือหนึ่งสามารถโจมตีได้ 5 รอยประทับฝ่ามือ และถ้าฝึกฝนไปถึงขั้นที่ 6 นับได้ว่าพร์ของผู้ฝึกไม่เลวเลยทีเดียว ส่วนขั้นที่ 7 นั้น มีเพียงแค่อัจฉริยะเท่านั้นถึงจะสามารถฝึกฝนไปถึงขั้นนั้นได้
ขั้นที่ 8 ฝ่ามือจะลอยอยู่บนนภา ยามที่ตบฝ่ามือออกไป ทั่วทั้งอากาศจะเต็มไปด้วยรอยฝ่ามือและเปี่ยมไปด้วยความแข็งแกร่งเหลือคณานับ ถ้าอยากฝึกไปถึงขั้นนี้ นอกจากจะต้องมีพร์ที่น่าทึ่งแล้ว ยังจำเป็ต้องมีประสบการณ์ในการต่อสู้จริงนับไม่ถ้วน
เคล็ดวิชาระดับลี้ลับไม่ใช่สิ่งที่จะฝึกกันได้ง่ายๆ ยิ่งระดับสูงเนื้อหาก็ยิ่งยาก
แต่มันไม่ใช่ปัญหาสำหรับหลินเฟิง เมื่อเขาปลดปล่อยจิติญญาแห่งความมืดออกมา ไม่ว่าจะความสามารถในการเข้าใจหรือความสามารถในการประมวลผลล้วนเพิ่มขึ้นหลายเท่า เพียงแค่หนึ่งวันหลินเฟิงก็สามารถฝึกฝนเคล็ดวิชาแปดฝ่ามือพิฆาตมาถึงขั้นที่ 7 แล้ว ขาดอีกเพียงแค่ก้าวเดียวก็สามารถบรรลุเคล็ดวิชานี้ได้
แต่หลินเฟิงก็ยังไม่พอใจ อัจฉริยะของนิกายหยุนไห่ที่ผุดขึ้นมาได้เรื่อยๆ ศิษย์สายนอกอย่างไรก็เสียเปรียบศิษย์สายใน ผู้แข็งแกร่งเทียมเมฆมีมากมาย ครั้งนี้ที่หลินเฟิงตัดสินใจเข้าร่วมการประลองของนิกาย ก็ไม่รู้ว่าจะต้องพบเจออะไรบ้าง ดังนั้นเขาจะต้องเพิ่มพูนความแข็งแกร่งของตัวเองเรื่อยๆ
เคล็ดวิชาดาบมรณะ สามารถยกระดับความแข็งแกร่งของเขาได้ในระยะเวลาสั้นๆ ซึ่งแบ่งเป็ 3 กระบวนท่าได้แก่ ดาบปลิดิญญา ดาบแห่งความตาย และดาบร่วงโรย
ดาบปลิดิญญา ฟันดาบออกไปเพื่อสังหาร
ดาบแห่งความตาย หนึ่งก้าวสังหารคน
ดาบร่วงโรย สังหารทุกสรรพสิ่ง
เมื่อเห็นกระบวนท่าทั้งสามรูปแบบแล้ว หลินเฟิงก็ตกอยู่ในภวังค์ ภาพวาดในหนังสือเคล็ดวิชาดาบมรณะ ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นในหัวของเขาและประทับอยู่ในนั้น
เมื่อหลินเฟิงปลดปล่อยจิติญญาออกมา โลกทั้งใบก็กลายเป็สีดำ ไม่ว่าจะสีท้องฟ้าหรือพื้นดินล้วนเป็สีดำหมด ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวที่ปรากฏอยู่ในสายตาของเขาต่างก็เป็สีดำ หลินเฟิงยังคงครุ่นคิดอยู่ในใจเงียบๆ ไม่มีอะไรที่สามารถรบกวนเขาได้
หลินเฟิงหลับตาลง ในหัวของเขาปรากฏเงาคนขึ้นมา เงานั่นกวัดแกว่งดาบในมือไม่หยุด ทุกการเคลื่อนไหวของเขานั้นซับซ้อนมาก และนั่นก็คือกระบวนท่าแรกของเคล็ดวิชาดาบมรณะ ดาบปลิดิญญา
ผ่านไปได้สักพักหลินเฟิงก็ลืมตาขึ้น ประกายดาบอันแหลมคมส่องสว่างวูบวาบขึ้นมา ขณะที่ใบดาบก็กวัดแกว่งเชือดเฉือนอากาศจนเกิดเสียงดังขึ้นมา
หนึ่งก้าว หนึ่งเสียง หนึ่งดาบ และปลิดิญญา
“ตูม!!!”
ถ้ำพลันสั่นะเื รอยดาบเป็ทางยาวก็ปรากฏขึ้นมาที่ผนังถ้ำ รอยดาบนั่นดูเหมือนเป็คลื่นดาบ
เสียงสั่นไหวดังขึ้นเรื่อยๆ ก้อนหินในถ้ำก็ร่วงลงมาไม่หยุด ทำให้หลินเฟิงต้องหยุดชะงัก ก่อนจะใช้ท่าร่างะโออกมาจากถ้ำ หลังจากที่หลินเฟิงออกไปได้ไม่นาน ถ้ำแห่งนี้ก็ถล่มลงมา
“แค่กระบวนท่าแรกก็ทรงพลังมากกว่าแปดฝ่ามือพิฆาตขั้นที่ 7 หลายเท่า ถ้าเป็กระบวนท่าดาบแห่งความตายกับดาบร่วงโรยจะแข็งแกร่งขนาดไหน” หลินเฟิงเรียกจิติญญากลับเข้าร่างด้วยท่าทางมีความสุข เคล็ดวิชาระดับลี้ลับขั้นกลางแข็งแกร่งกว่าเคล็ดวิชาระดับลี้ลับขั้นต่ำหลายเท่า ถ้าหากเขาบรรลุเคล็ดวิชาดาบมรณะ พลังของมันก็เทียบเท่าได้กับเคล็ดวิชาระดับลี้ลับขั้นสูง
ความจริงแล้วหลินเฟิงไม่รู้ว่า ที่กระบวนท่าดาบปลิดิญญาสามารถทรงพลังได้ขนาดนี้ นอกจากจะเป็เพราะตัวเคล็ดวิชาที่ร้ายกาจแล้วยังเป็เพราะพลังดาบของเขาอีกด้วย
ดาบปลิดิญญา ถ้ากระตุ้นคลื่นดาบ เจตจำนงแห่งดาบ พลังดาบ สามอย่างนี้ร่วมกัน ดาบปลิดิญญาก็จะแสดงพลานุภาพเช่นนี้ออกมา ประกอบกับหลินเฟิงมีความเข้าใจเกี่ยวกับดาบอยู่พอสมควร ดังนั้นจึงสามารถฝึกฝนดาบปลิดิญญาได้ง่ายกว่าคนอื่น ถ้าเปลี่ยนเป็คนอื่นล่ะก็ คงไม่สามารถทำแบบนี้ได้แน่ๆ
“นั่นใคร?” ขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น หลินเฟิงก็หมุนตัวกลับไปมองที่ทางเข้าช่องผา และเห็นคนคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามา เมื่อเห็นเต็มสองตาว่าอีกฝ่ายเป็ใคร ดวงตาของเขาก็ฉายแววไม่พอใจขึ้นมา
“หลิ่วเฟย” หลินเฟิงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เขาไม่เข้าใจตรรกะของผู้หญิงคนนี้สักเท่าไร ตอนมีโอกาสจัดการเขานางกลับไม่ทำและตอนนี้ยังจะมาหาเขาอีก
“ไอ้สารเลว เ้าแย่งสถานที่บ่มเพาะของข้า ความอัปยศที่ข้าได้รับ วันนี้ข้าจะส่งคืนให้กับเ้า!” หลิ่วเฟยจ้องเขม็งไปที่หลินเฟิงอย่างเคียดแค้น ั้แ่เล็กจนโต ท่านพ่อของนางก็สอนให้นางรู้จักยืนด้วยลำแข้งของตัวเอง และนางก็ทำเช่นนั้นมาโดยตลอด แม้จะเป็ผู้หญิงแต่นางก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้ชาย รวมกับพร์และประสบการณ์ที่มากมาย ทำให้นางกลายเป็คนที่ภาคภูมิใจในตัวเองสูงจนกลายเป็หยิ่งทระนง
หลิ่วเฟยคิดไม่ถึงเลยว่าหลินเฟิงจะไร้ยางอายขนาดนี้ แอบถ้ำมองนางไม่พอ หลังจากต่อสู้เสร็จก็บอกว่าตัวเองไม่ได้สนใจนาง ทั้งยังมาแย่งสถานที่บ่มเพาะอันล้ำค่าของนางไปอีก แต่ไหนแต่ไรมานางไม่เคยได้รับความอัปยศแบบนี้มาก่อน ความแค้นนี้ไม่ชำระไม่ได้!!!
“ตอนนี้ข้าบรรลุขอบเขตแห่งจิติญญาแล้ว มาดูสิว่าข้าจะจัดการเ้าอย่างไร” ในใจของหลิ่วเฟยกระหยิ่มยิ้มย่องออกมา
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้