อวิ๋นซีส่ายหน้า “ข้ายังไม่อาจพูดในตอนนี้ได้ เพราะคนจะได้เป็ภรรยาของลู่เหวินเจิ้นหรือไม่คงต้องรอดูฝีมือก่อน ซึ่งความเป็ไปได้นั้นก็มีอยู่มากทีเดียว ทว่า หากท่านไม่อยากให้เป็เช่นนั้น ข้าเองก็มีวิธี แต่คงต้องให้อวี้จู๋เ็ปไปสักพัก”
“ลู่อวี้ฉิงกลายเป็ภรรยาของลู่เหวินเจิ้น? เื่นี้นับว่าน่าสนใจจริงๆ ทว่า ถ้าเ้าคิดจะช่วย ก็ช่วยลู่อวี้ฉิงเถิด ส่วนอวี้จู๋นั้น ให้นางให้กำเนิดลูกได้ แต่เ้าต้องจำไว้ว่า เด็กคนนั้นจะเป็ลูกของลู่เหวินเจิ้นไม่ได้ มิเช่นนั้นในวันหน้าเ้าจะไม่สามารถควบคุมสตรีนางนี้ได้อีก” เพียงมองปราดเดียวก็รู้แล้วว่า หยวนอวี้จู๋ผู้นี้เฉลียวฉลาด หากนางคลอดบุตรชายของลู่เหวินเจิ้นออกมาจริงๆ ไม่แน่ว่า วันหน้านางอาจคิดวางแผนเพื่ออนาคตให้บุตรชายตน ส่วนเื่แก้แค้นอะไรนี่ คนคงไม่สนใจแล้ว
ด้วยเื่นี้ หาใช่สิ่งที่เขาอยากเห็น
เมื่ออวิ๋นซีได้ยินก็ขบคิดชั่วครู่ ก่อนจะตระหนักได้ว่าจวินเหยียนกำลังกังวลเื่ใดอยู่ นางหัวเราะหึหึเบาๆ “เื่นี้ไม่ยาก เดิมทีหยวนอวี้จู๋มีคนที่ชอบพออยู่นานแล้ว หากท่านอ๋องอยากให้นางไม่มีใจคิดคดทรยศ เช่นนั้นก็บีบชายที่นางรักไว้ในกำมือก็เพียงพอแล้ว”
ยามนี้ลู่อวี้ฉิงและฮูหยินลู่ต่างก็ตายไปแล้ว อวิ๋นซีที่เป็ถึงชายาหานอ๋อง เดิมทีก็ไม่มีความจำเป็ให้ต้องไปแสดงความเสียใจถึงที่จวนของอีกฝ่าย ทว่านางเพียงอยากจะไปเดินลอยหน้าลอยตาต่อหน้าลู่เหวินเจิ้น เพื่อเป็การกระตุ้นเขาสักหน่อย แต่ใครเล่าจะไปรู้ว่า ก่อนออกจากจวนจะได้เห็นเงาร่างสิบกว่าร่างควบม้ามาหยุดอยู่หน้าประตูจวนอ๋อง
ผู้นำขบวนอาชานี้เป็บุรุษในชุดทหารหาญที่มีดวงตาโต คิ้วเข้ม ในชั่วขณะนั้นดวงตาเหยี่ยวของเขากำลังละลงบนร่างของอวิ๋นซี
อวิ๋นซีมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเรียบเฉย บุรุษผู้นี้ ต่อให้นางจะสลายเป็เถ้าธุลี ไม่ว่าอย่างไรก็ยังจดจำได้ เดิมทีคนเป็องครักษ์ข้างกายโอวหยางเทียนหัว แต่ในตอนหลังโอวหยางเทียนหัวไปหาพระบิดาตน เพื่อให้สนับสนุนคนเข้ากองทัพ หึหึ ตอนนี้คนตระกูลเฉียวนอกจากพี่รองที่ซ่อนแซ่ฝังนามไว้ คนอื่นๆ ล้วนตายสิ้น แต่คนตรงหน้านี้กลับดูเหมือนว่า หน้าที่การงานจะก้าวหน้าเป็อย่างมาก
“มิทราบว่าท่านเป็ใคร” เซียงเอ๋อร์เดินขึ้นหน้าไปหนึ่งก้าว ถามเสียงขรึม
“รองผู้บัญชาการหน่วยทหารรักษาพระองค์แห่งเมืองหลวง โจวเวย” โจวเวยมองอวิ๋นซีพลางพูดด้วยน้ำเสียงเ็า “ข้ามาที่นี่เพื่อเข้าพบหานอ๋อง”
อวิ๋นซีไม่ตอบ ทำเพียงมองโจวเวยเรียบๆ ไปทีหนึ่ง อีกฝ่ายอาศัยว่ามีบารมีนายคอยคุ้มหัวจึงได้กล้าวางโตอยู่ที่นี่ ช่างอวดดีจริงๆ คนไม่เห็นใครอยู่ในสายตา เป็แค่รองผู้บัญชาการกองทหารรักษาพระองค์ขั้นสาม แต่กลับกล้าพูดจาเช่นนี้ต่อหน้าพระชายาขั้นหนึ่งระดับสูง ไม่อาจไม่พูดได้ว่า สุนัขที่โอวหยางเทียนหัวเลี้ยงไว้ช่างเหมือนกันกับเขาไม่ผิดเพี้ยนเลยจริงๆ
“ท่านอ๋องไม่อยู่ในจวน” อวิ๋นซีพูดเรียบๆ เมื่อพูดจบ นางก็มุ่งหน้าไปยังรถม้าที่อยู่อีกด้าน
ทว่า นับแต่ที่โจวเวยได้เลื่อนตำแหน่งเป็รองผู้บัญชาการก็ไม่มีใครเลยจะกล้าทำสีหน้าเช่นนี้ใส่เขาอีก แต่วันนี้กลับมีสตรีตัวเล็กๆ นางหนึ่งในหานโจวริอาจกระทำเช่นนั้นโดยไม่แม้แต่จะคิด โจวเวยไม่รีรอชักกระบี่ยาวในมือเข้าบาดลำคองามของอวิ๋นซี “นานแล้วที่ไม่มีใครกล้าพูดกับข้าเช่นนี้ แต่เ้ากลับกล้า”
อวิ๋นซีมองโจวเวยด้วยสายตาเ็าไปทีหนึ่ง นางตอบกลับเสียงเรียบ “นานแล้วเช่นกันที่ไม่มีคนพูดกับเปิ่นหวางเฟย [1] เช่นนี้” เมื่อพูดจบ นางที่คิดจะจัดการกับศัตรูตรงหน้าบังเอิญเหลือบเห็นชิวิและโอวหยางเทียนหลานเดินกลับมาจากด้านนอกพอดี
มุมปากของนางโค้งขึ้นน้อยๆ จากนั้นจึงขยับถอยออกไปเบาๆ ฉับพลันนั้นกระบี่ยาวก็กรีดเข้าที่หนังคอของอวิ๋นซีพอดี ส่วนโจวเวย หลังจากที่ได้ยินคำว่าเปิ่นหวางเฟยหลุดออกมาจากปากของแม่นางน้อยตรงหน้าก็คิดจะชักกระบี่ยาวกลับไปพอดี แต่โชคไม่ดีเท่าไรที่รอยเืสดๆ บนลำคอนางบาดชัดเสียจนตาของโอวหยางเทียนหลานเจ็บ
โอวหยางเทียนหลานะโด้วยความเกรี้ยวกราด “โจวเวย เ้ากล้าหรือ! ”
ถึงแม้โจวเวยจะกล้าเชิดจมูกใส่หน้าคนมามากมาย แต่เมื่อต้องอยู่ต่อหน้าองค์ชาย หรือพระราชนัดดาแล้ว เขากลับไม่กล้าแม้แต่จะผายลม กระทั่งตอนนี้ทันทีที่เขาได้ยินสุรเสียงของโอวหยางเทียนหลาน ราชองครักษ์ผู้ยิ่งใหญ่ก็ถึงกับรีบเก็บกระบี่
ตอนนี้คอของอวิ๋นซีมีเืไหลออกมาไม่หยุด เซียงเอ๋อร์และเพ่ยเอ๋อร์จึงรีบร้องะโ “พระชายา พระชายา พระองค์ทรงไม่เป็อันใดนะเพคะ”
จากนั้นเพ่ยเอ๋อร์ก็หันหน้ากลับไปทางจวนแล้วะโลั่นอีกครั้ง “ทหาร! มีคนลอบสังหารพระชายา รีบคุ้มกันเร็วเข้า”
เพียงไม่นานบุรุษในเครื่องแบบทหารของจวนอ๋องจำนวนไม่น้อยก็เข้ามาล้อมคนไว้ พวกเขาล้วนเป็องครักษ์ที่ได้ยินเสียงะโของเพ่ยเอ๋อร์จึงได้เร่งร้อนเข้ามาพร้อมชักอาวุธเตรียมตัวระวังภัยให้ผู้เป็นาย และทันทีที่พวกเขาได้เห็นเืสดกำลังหลั่งรินจากลำคอของพระชายาต่างก็พากันเกรี้ยวกราด จากนั้นจึงเข้าล้อมกลุ่มคนที่โจวเวยพามาด้วยท่าทางราวกับอยากจะสู้กับอีกฝ่ายอย่างไรอย่างนั้น
ขณะเดียวกันเซียงเอ๋อร์กำลังช่วยอวิ๋นซีหยุดเืพลางอ้อนวอนโอวหยางเทียนหลาน “ท่านสี่เพคะ บ่าวขอร้อง ขอพระองค์ทรงช่วยออกหน้าแทนพระชายาของพวกเราด้วยเถิดเพคะ คนผู้นี้ไร้มารยาท เมื่อมาถึงก็ถามหาว่า ท่านอ๋องอยู่หรือไม่ พอพระชายาตรัสว่าท่านอ๋องไม่อยู่ในจวน เขาก็ชักกระบี่ออกมาด้วยหวังจะสังหารพระนาง ท่าทางของเขาช่างน่าหวาดกลัวยิ่งนัก”
“ช่างเถอะ แต่เดิมท่านอ๋องของข้าก็ไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง แล้วใครเล่าจะยังเห็นพระองค์อยู่ในสายตา? ท่านอ๋องช่างน่าสงสารนัก หลายปีมานี้ทรงทุ่มเททำหลายสิ่งด้วยหวังจะได้กลับไปยังเมืองหลวง เพื่อถวายการรับใช้ใกล้ชิดพระบิดา คอยช่วยพระบิดาแบ่งเบาราชกิจทั้งเช้าค่ำ สุดท้าย แม้คนจะระเห็จมาไกล แต่ใครก็ไม่รู้ยังคิดอยากรังแกเราถึงหน้าจวนอ๋องแห่งนี้อีก” เมื่อพูดจบ นางก็สะบัดแขนเสื้อแล้วจึงหมุนกายเดินกลับเข้าไปในจวนอ๋อง “เซียงเอ๋อร์ เ้าพาคนไปแสดงความเสียใจที่จวนตระกูลลู่ทีเถิด และบอกเขาด้วยว่าเปิ่นหวางเฟยได้รับาเ็ จึงไม่อาจไปได้ด้วยตนเอง”
เมื่อโจวเวยเห็นเช่นนั้นก็พอจะรู้ว่า เกิดเื่ใหญ่ขึ้นแล้ว แม้เื่ที่หานอ๋องอภิเษกสมรสนั้นจะขจรขจายไปทั่วเมืองหลวงนานแล้ว มิคาดสตรีตรงหน้าที่สวมอาภรณ์สีเรียบๆ ผู้นี้จะเป็ชายาหานอ๋อง ชายาที่แม้แต่ฝ่าาก็ยังให้การยอมรับจนถูกสลักนามลงไปในอวี้เตี๋ยของราชวงศ์แล้ว นี่เขาทำอันใดลงไป?
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ โจวเวยก็รีบคุกเข่าลงแล้วพูดว่า “องค์ชายสี่ กระหม่อมไม่ได้ตั้งใจจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ เดิมทีกระหม่อมคิดว่านางเป็แค่สาวใช้ในจวนอ๋อง ทั้งยังรีบร้อนจะขอเข้าเฝ้าหานอ๋องถึงได้กระทำเช่นนี้ ขอองค์ชายสี่ทรงไว้ชีวิตด้วย ขอพระชายาทรงประทานอภัย”
เมื่ออวิ๋นซีได้ยิน มุมปากก็โค้งขึ้นน้อยๆ หึหึ โจวเวยผู้นี้กล่าวได้ดีจริงๆ ไม่ได้ตั้งใจ? อีกทั้ง เหตุที่ทำให้เกิดเื่ทั้งหมดนี้ขึ้นก็เป็เพราะนางผู้มีตำแหน่งเป็พระชายา แต่กลับสวมอาภรณ์ที่ดูเรียบง่ายจนทำให้คนเข้าใจผิด คิดว่าเป็แค่สาวใช้
นางหมุนกายกลับมามองโจวเวย ก่อนจะถามอย่างเน้นเสียงทีละคำทีละคำ “ด้วยคำพูดนี้ หากว่าเปิ่นหวางเฟยเป็เพียงสาวใช้ของจวนอ๋องจริงๆ ไม่ว่าใครก็ย่อมสามารถทุบตีสังหารได้ อย่างนั้นหรือ? ยิ่งกว่านั้น ท่านรองผู้บัญชาการผู้นี้กำลังคิดว่าในฐานะที่เป็ชายาหานอ๋อง หากจะเดินทางไปกล่าวแสดงความเสียใจต่อการจากไปของฮูหยินลู่และคุณหนูลู่ที่จวนนายอำเภอแห่งหานโจว เปิ่นหวางเฟยก็ควรจะสวมใส่อาภรณ์ที่สีสันสดใสงดงามพร้อมด้วยเครื่องประดับเงินเครื่องประดับทอง อย่างนั้นหรือ? ”
โจวเวยมองชายาหานอ๋องตรงหน้าที่ราวกับเปลี่ยนไปเป็คนละคน ชั่วขณะนั้นเขาไม่อาจสรรหาคำใดมาตอบโต้ได้ เพราะหากตอบโต้กลับไปก็ไม่ต่างจากการยอมรับที่ว่าสาวใช้ของจวนอ๋องสามารถถูกเขาทุบตีสังหารได้ทุกเมื่อ หรือหากตอบโต้กลับไปก็เท่ากับยอมรับว่าการไปร่วมแสดงความเสียใจต่อผู้อื่นสมควรต้องสวมใส่เครื่องประดับเงินและเครื่องประดับทอง
องค์ชายสี่โอวหยางเทียนหลานไม่แม้แต่จะคิดก็รุดไปด้านหน้าแล้วถีบเข้าที่โจวเวยเสียหนึ่งที เขาพูดด้วยท่าทีเ็ายิ่ง “เ้าคนสมควรตาย อาศัยเพียงว่าเสด็จพ่อข้าและรัชทายาทเห็นถึงความสำคัญในตัวเ้า จึงได้เลือกที่จะใช้งานเ้า ก็ถึงกับริอาจลงมือทำร้ายชายาหานอ๋อง”
โจวเวยถูกคนถีบเช่นนี้ ในใจก็โกรธดังไฟสุม แต่กลับไม่กล้ากล่าวอันใด เขาทำเพียงคุกเข่าอยู่บนพื้นอย่างเงียบๆ ต่อไป และเป็อวิ๋นซีที่ค่อยๆ เดินเข้าไปด้านหน้า เข้าใกล้เขาทีละก้าวทีละก้าว จากนั้นจึงพูดกับโจวเวย “ที่นี่อยู่ห่างไกล ไร้ความเจริญ อีกทั้ง คนทั่วหล้าต่างคิดไปว่า ท่านอ๋องของข้าถูกพระบิดาส่งตัวมายังที่นี่ ชาตินี้คงไม่มีโอกาสให้ได้กลับไปเมืองหลวงอีก ดังนั้น การที่รองผู้บัญชาการคนหนึ่งจะไม่เห็นจวนอ๋องของข้าอยู่ในสายตาก็นับว่าเป็เื่ปกติ ไม่ว่าอย่างไรสามีภรรยาก็เป็ดังคนคนเดียวกัน หากล่วงเกินเปิ่นหวางเฟยก็เท่ากับล่วงเกินท่านอ๋องแล้ว...ตอนที่พวกเ้าได้กระทำเช่นนั้น ในใจคงจะรู้สึกสะใจเป็อย่างยิ่งสินะ”
————————————————————————————————
เชิงอรรถ
[1] เปิ่นหวางเฟย(本王妃)แปลว่า ตัวข้าผู้เป็พระชายาองค์ชายผู้นี้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้