ก่อนถูกม้าเหยียบ เหอตังกุยรู้สึกคล้ายลอยได้เช่นเดียวกับครั้งแรกที่ทดสอบลอยในชาติที่แล้ว ชั่วพริบตาปลายจมูกของนางก็กระแทก “กำแพง” สูงและแข็ง
พัดที่แขวนไว้บน “กำแพง” เกี่ยวผ้าคลุมหน้าพลันรั้งตัวนางกระแทก “กำแพง” อีกครั้งก่อนดีดลงพื้น เมื่อเหอตังกุยลืมตาก็เห็นเงากีบม้าใกล้เข้ามา นางมีเวลามากพอจะพลิกตัวปกป้องเด็ก ทำให้น้ำหนักจากกีบเท้ากดลงกลางหลังของนางจนหมดสติ
เหตุใดนางถึงยังโชคดีมีชีวิตรอด?
ต้องขอบคุณเกาเจวี๋ยและลู่เจียงเป่ยที่ถ่ายทอดลมปราณเจินชี่ให้นาง แม้นางจะไม่ได้เชี่ยวชาญการชักนำลมปราณเจินชี่ ทำได้เพียงถอนหายใจเมื่อวิ่งและยกของหนักเท่านั้น แต่การมี “กำลังภายใน” นั้นดียิ่งนัก! ด้วยชาติที่แล้วกำลังภายในของนางอ่อนแอจึงไม่รู้ว่า “ลมปราณเจินชี่สามารถปกป้องร่างกายได้” ฟังดูซับซ้อน ทว่ามันเป็กำแพงลมปราณที่ดีดตัวอัตโนมัติทั้งที่นางไม่เคยถูกฝึกมาก่อน!
เช่นเดียวกับนิ้วคนที่หดทันทีเมื่อััเปลวไฟ ขณะนางถูกโจมตีจากสิ่งภายนอกกะทันหัน ความเร็วตอบสนองและกำลังภายในไม่เพียงพอปกป้องชีวิตนาง ลมปราณเจินชี่ที่โคจรในจุดตันเถียนจึงะเิ หัวใจเปรียบดั่งกำแพงลมปราณเจินชี่ที่ปกป้องนางขณะถูกม้าสีแดงเหยียบด้วยความบ้าคลั่ง
ในที่สุดเหอตังกุยก็เข้าใจคำอธิบายเกี่ยวกับลมปราณเจินชี่ในคัมภีร์ลับที่เคยอ่านเมื่อชาติก่อน “คนจำนวนมากฝึกลมปราณชนิดนี้ มีเพียงไม่กี่คนที่ได้รับลมปราณเจินชี่ที่แท้จริง ผู้ฉลาดย่อมเข้าใจกฎธรรมชาติ แม้แผนการยอดเยี่ยมจะเกิดจากพร์ แต่หากผู้ใดเรียนรู้และเข้าใจแก่นแท้ของธรรมชาติก็จะสามารถแสดงออกได้อย่างชำนาญดั่งได้รับการสนับสนุนจากเทพเซียนและภูตผีปีศาจ ทำให้คนผู้นั้นมี ‘สองชีวิต’ ” ลมปราณเจินชี่สร้าง “ชีวิตที่สอง” ลมปราณในร่างกายเหล่านี้มีชีวิตชีวาเหมือนชีพจรและเื เมื่อถูกโจมตีก็เป็ดั่งโล่กำบัง เมื่อต้องโจมตีก็เปรียบเสมือนดาบ เช้าที่ผ่านมานางบีบคอไก่ฟ้าด้วยมือเดียวโดยไม่รู้สึกว่าใช้กำลังมากเกินไป ไก่ฟ้าในมือนางพยายามดิ้นรนเอาชีวิตรอด ไม่นานก็ขาดใจ...
เมื่อมองบันไดหินสีเขียวที่อยู่ไม่ไกลที่ถูกม้าแดงเหยียบแหลกเป็ชิ้น เหอตังกุยก็ตกอยู่ในความหวาดกลัว หากนางไม่มีกำลังภายในแล้วถูกม้าเหยียบเช่นนี้คงได้รับาเ็ที่หลังรุนแรงเป็แน่ เมื่อสองสามวันก่อนนางยืมกำลังภายในมาจากคนอื่นจึงไม่สามารถควบคุมมันได้ ความแข็งแกร่งของลมปราณเจินชี่ของนางนั้นอ่อนแอกว่าเกาเจวี๋ยที่ฝึกฝนวรยุทธ์มาหลายปี การปกป้องร่างกายของลมปราณเจินชี่ก็ยังไม่ถึงขั้นรับดาบและหอกได้ ยิ่งไปกว่านั้น เกาเจวี๋ยอาจเป็ผู้ที่ “มีดและหอกฟันแทงไม่เข้า” ทว่านางกลับเป็เพียงผู้ที่ “กิ๊บแทงไม่เข้า” เท่านั้น
่เวลาสำคัญระหว่างความเป็ความตาย อาการตึงเครียดส่งผลให้การได้ยินของนางดีขึ้นถึงสิบเท่า แม้แต่เสียงลมก็ยังชัดเจน ทั้งยังได้ยินเสียงกีบม้ากระแทกกำแพงลมปราณบาง ๆ ที่ร่างกายสร้างขึ้น โชคดีที่ความรุนแรงเริ่มลดลง นางจึงได้รับาเ็เพียงเล็กน้อย ไม่กระทบถึงอวัยวะภายใน
ในที่สุดเหล่าไท่ไท่ก็สงบ ขณะเห็นเหอตังกุยกระอักเืก็ไม่ได้ร้องะโไร้สาระ เพียงจับข้อมือเรียวเล็กของเหอตังกุยก่อนเริ่มตรวจชีพจร ยิ่งตรวจก็ยิ่งแสดงสีหน้าประหลาดใจ ดวงตาเบิกกว้างแทบถลนออกจากเบ้า
“เป็อย่างไรบ้าง? ร้ายแรงเพียงนั้นเชียวหรือ?” เมื่อเฟิงหยางมองสีหน้าเหล่าไท่ไท่ หัวใจก็แทบหยุดเต้น เขาไม่ได้ตั้งใจฆ่านางแต่นางกลับตายเพราะเขา ความจริงแล้วหากเขาไม่เข้ามาแทรก หลานสาวเหล่าไท่ไท่ก็อาจเอาชีวิตรอดได้ เพียงแต่เขาคิดไม่ถึงว่าสตรีเด็กตัวเล็กที่สูงเท่าหน้าอกผู้นี้จะมีกำลังวังชาเพียงนั้น เวลาหน้าสิ่วหน้าขวานยังสามารถอุ้มเด็ก ทั้งยังะโสูงถึงสี่ห้าฉื่อ ทว่าเขาไม่สามารถหยุดฝีเท้าได้ทันที คิดไม่ถึงว่าจะทำให้หลานสาวเหล่าไท่ไท่ที่หนีพ้นอันตรายได้แล้วดีดตัวกลับมาอีกครั้ง ก่อนถูกเหยียบจนกระอักเืเช่นนี้
เหล่าไท่ไท่ส่ายศีรษะด้วยความสงสัย ขมวดคิ้วมองใบหน้าเหอตังกุย ก่อนเอ่ยวิเคราะห์ช้า ๆ “แม้เืลมและชีพจรจะยุ่งเหยิง แต่อวัยวะภายในและเส้นลมปราณไม่ได้รับาเ็… แม้จะกระอักเืคำใหญ่แต่สีหน้าก็ยังปกติ ไม่เหมือนคนเสียเื... เสี่ยวอี้ เ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง? ไม่สบายตัวหรือปวดหลังหรือไม่?”
แม้เหล่าไท่ไท่จะเชี่ยวชาญการแพทย์แต่นางไม่เคยฝึกวรยุทธ์ จึงไม่รู้ว่าชีพจรที่บางครั้งเต้นเร็ว บางครั้งติดขัดราวกับดื่มเหล้าแส้กวางเืเสือทั้งขวดนั้นคืออาการลมปราณเจินชี่หนาแน่นไหลย้อนกลับ
แม้ลมปราณเจินชี่จะช่วยชีวิตนาง แต่เมื่อครู่ลมปราณเจินชี่ในจุดตันเถียนก็เสมือนการตีก้นม้าให้วิ่งไปยังจุดที่าเ็ เมื่อประสบความสำเร็จในการปกป้องชีวิตแล้ว ลมปราณเจินชี่ส่วนใหญ่ไม่สามารถหาทางกลับไปยังจุดตันเถียนได้จึงวิ่งอย่างไร้ทิศทางในเส้นชีพจรหลัก แม้จะไม่ร้ายแรงเท่า “ลมปราณพลุ่งพล่าน” เช่นคราวที่แล้ว แต่การไหลย้อนกลับของลมปราณเจินชี่เป็สาเหตุให้เหอตังกุยกระอักเื ด้วยเหตุนี้ เหอตังกุยจึงไม่ได้กระอักเืเพราะถูกม้าเหยียบ แต่เป็เพราะนางไม่สามารถควบคุมกำลังภายในหนาแน่นที่ไหลย้อนกลับได้ต่างหาก
ผิว “ปกติ” ของนางเป็เพียงผิวที่ถูกสร้างขึ้นเท่านั้น เกรงว่าใบหน้าภายใต้แป้งอิ๋งอิ๋งคงซีดเผือดเสียแล้ว จุดที่ม้าเหยียบเป็เพียงการาเ็ภายนอก ต่อให้เจ็บกว่านี้ก็ยังรักษาง่ายดาย ถึงกระนั้นก็ไม่มียอดฝีมือเช่นเกาเจวี๋ยที่ช่วยนำทางลมปราณเจินชี่กลับไปยังจุดตันเถียน ยิ่งนางล่าช้าในการชักนำลมปราณเจินชี่มากเท่าไรก็ยิ่งอันตรายมากเท่านั้น ครั้งที่แล้วมีเพียงลมปราณเจินชี่ของลู่เจียงเป่ยที่สร้างปัญหา แต่คราวนี้มีทั้งลมปราณเจินชี่ของเกาเจวี๋ยและลู่เจียงเป่ย นางควรทำเช่นไร? คิดไม่ถึงว่าวันหนึ่งจะต้องเสียใจเพราะกำลังภายในหนาแน่นเกินไป
“ท่านยายไม่ต้องกังวลเ้าค่ะ โชคดีที่ม้าตัวนั้นเหยียบไม่แรงนัก ข้าจึงรอดจากความตาย หลังของข้าได้รับาเ็เพียงเล็กน้อย ทว่ารู้สึกหวาดกลัวมากกว่าจึงอยากกลับจวนไปพักผ่อนเร็ว ๆ เ้าค่ะ” เหอตังกุยครุ่นคิดในใจ โชคดีที่นางท่องเคล็ดวิชากำลังภายในได้ทุกประเภท จึงทำได้เพียงเรียกพลังถู่น่านำทางพวกมัน แม้จะท่องลอย ๆ แต่ก็ดีกว่าไม่ทำอะไร หลังกลับตระกูลหลัว นางจะตามหาสถานที่เงียบสงบเพื่อทดลองเคล็ดวิชากำลังภายในทั้งหมดที่มี มันจะต้องได้ผลสักวิธี
กวนไป๋เป็ลูกชายคนโตตระกูลกวน น่าจะมีความรู้ทางการแพทย์อยู่บ้าง เขาลุกขึ้นตรวจสอบสีหน้าเหอตังกุย เมื่อไม่เห็นความผิดปกติจึงเอ่ยแนะนำ “เหล่าไท่จวิน เหริ่นซู่ถังอยู่ไม่ไกล ให้ข้าส่งน้องหญิงไปรักษาอาการาเ็ได้หรือไม่ขอรับ?” แม้ร่างกายของเขาจะเปื้อนเืทว่าไม่ได้รับาเ็แต่อย่างใด ขณะนี้เขาพบว่าม้าของเขาไม่ได้เหยียบลูกสาวตระกูลเฟิงและไม่ได้เหยียบ “ลูก” เหล่าไท่ไท่ ทำให้เขาสบายใจยิ่งนัก ความสง่างามและความสงบนิ่งในแบบคุณชายสูงศักดิ์จึงกลับคืนมา
“แต่เหล่าไท่จวิน…สีหน้าของนางนับว่า...ปกติหรือขอรับ?” เฟิงหยางผู้ไม่มีความรู้ด้านการแพทย์เอี้ยวตัวมองสำรวจใบหน้าเหอตังกุยครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวแทรก “พวกท่านดูสิ หรือเพราะาเ็รุนแรงเกินไปจึงทำให้สีหน้าของนางเป็สีเหลืองเช่นนี้?”
“ไม่ใช่” เหล่าไท่จวินผู้เชี่ยวชาญการแพทย์อธิบาย “ผิวเหลืองเกิดจากขาดเืลมและร่างกายอ่อนแอแต่กำเนิด อาการเหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องกับการาเ็”
“เฟิงหยาง ข้าก็หิวเหมือนกัน” เสียงราบเรียบดังขึ้นด้านหลังเหอตังกุยกะทันหัน “เ้าจะไปตระกูลหลัวไม่ใช่หรือ? รีบออกเดินทางเถอะ”
เฟิงหยางหันมองชายในชุดคลุมแดงเข้ม สวมหมวกไม้ไผ่หนายืนอยู่ไม่ไกลด้วยความแปลกใจ ขมวดคิ้วพลางเอ่ยเรียกเสียงเบา “เสี่ยวยวนลงจากรถได้อย่างไร? เ้าโดนลมไม่ได้! เป็ลมไม่ใช่หรือ? เหตุใดจึงฟื้น...ทั้งยังเดินได้ด้วย!”
ชายสวมหมวกไม้ไผ่หนาชี้ศีรษะด้านหลังของเหอตังกุยพลางตอบ “ข้ารู้สึกดีขึ้นหลังกินยาของนาง แต่ยังอยากหาที่เงียบ ๆ พักผ่อน พวกเราไปตระกูลหลัวได้หรือไม่?”
เฟิงหยางหันมองเหล่าไท่ไท่ทันที ก่อนเอ่ยถามด้วยประโยคเดียวกัน “เหล่าไท่จวิน พวกข้าไปตระกูลหลัวได้หรือไม่?” เหล่าไท่ไท่พยักหน้าตอบทันที “แน่นอน พวกเราออกเดินทางเถิด!”
เหอตังกุยอดมองบุรุษด้านหลังนางไม่ได้ เฟิงหยางบอกว่าคนผู้นั้น “เดินได้” ในความหมายของคำพูดนี้…หรือบุรุษผู้นั้นพิการ? บุรุษผู้นั้นยังบอกอีกว่า “รู้สึกดีขึ้นหลังกินยาของนาง” ทำให้เหอตังกุยใไม่น้อย ยาผู่ซีเป็ยาเม็ดฤทธิ์อ่อนสำหรับบำรุงร่างกาย กระตุ้นพลังหัวใจและทำให้กระเพาะอาหารแข็งแรง มีผลดีต่ออาการาเ็ภายในของผู้ฝึกวรยุทธ์ แต่…มันจะทำให้คนพิการเดินได้อีกครั้งได้อย่างไร?
นางหันมองชายผู้นั้น สิ่งที่ปรากฏในสายตาคือรองเท้าปักลายหงส์บินเย็บด้วยด้ายทองภายใต้ชุดคลุมยาวสีน้ำเงิน เหอตังกุยเอียงศีรษะด้วยความสงสัย น่าแปลก...ขาและเท้าดูสมส่วนแข็งแรง ไม่เหมือนคนพิการแม้แต่น้อย
เหอตังกุยลอบมองอีกฝ่ายั้แ่เท้าจรดหัว รองเท้าหงส์บิน ชุดราตรียาวปักสีน้ำเงินและสีเงิน แถบคาดเอวสีเงินและสีขาว พร้อมแหวนคู่และหัวเข็มขัดหยกลูกไม้โดยหูทั้งสองห้อยข้างเสื้อคลุมแดงเข้ม ลูกกระเดือกที่ลำคอยกขึ้นเล็กน้อย ดวงตาของนางหยุด...ที่ขอบสีเขียวเทาซึ่งถูกปกคลุมด้วยผ้าคลุมหนาหลายชั้น
ท้ายที่สุดก็ไม่ได้เห็นใบหน้าบุรุษผู้นั้น เหอตังกุยผิดหวังเล็กน้อยก่อนพินิจร่างและลูกกระเดือกอีกฝ่าย น่าจะเป็ชายหนุ่มอายุประมาณสิบหกปี เหอตังกุยเลิกคิ้วพลางครุ่นคิด บุรุษจำเป็ต้องปกปิดตัวตนแ่าเพียงนี้เชียวหรือ? สตรีเช่นนางยังสวมผ้าคลุมหน้าเพียงยามออกไปภายนอกเท่านั้น อยากรู้ยิ่งนักว่าเขามีหน้าตาอย่างไรแน่
ขณะมองด้วยความสงสัยกลับพบว่าเขาไม่เพียงสวมหมวกไม้ไผ่ ซ้ำยังมีผ้าคลุม นางอาศัยสายตาที่เพิ่มขึ้นหลายเท่าจากกำลังภายในจึงเห็นชัดเจนว่าใบหน้าภายใต้ผ้าคลุมยังมีหน้ากากอีกด้วย
หน้ากากผ้าไหมลายดอกไม้บดบังใบหน้าครึ่งบนของชายผู้นั้น นางจึงรวบรวมสมาธิไปที่ดวงตาทั้งคู่พลางจ้องมองอย่างละเอียด ทว่ากลับเห็นเพียงดวงตาคล้ายจะปิดก็ไม่ใช่ จะเปิดก็ไม่เชิง ริมฝีปากบางเปรอะเปื้อนคราบเืเม้มแน่นก่อนค่อย ๆ งุ้มลง คล้ายเ้าของริมฝีปากจะไม่พอใจสายตาที่จับจ้องเท่าไรนัก
“ฮ่า ๆ น้องหญิงตระกูลหลัว” เฟิงหยางผลักกวนไป๋พลันรีบยืนตรงหน้าเหอตังกุย ร่างของเขาบดบังร่างชายสวมหมวกไม้ไผ่ได้พอดี เฟิงหยางส่งผ้าคลุมหน้าสีขาวปักลายปลาให้นางพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เมื่อครู่ผ้าคลุมของเ้าอยู่ที่ข้า” เขาชี้พัดบนหน้าอกก่อนเริ่มสนทนาเป็กันเอง “โอ้ ผ้าคลุมงดงามยิ่งนัก เ้าทำเองหรือ ลวดลายการปักไม่เหมือนใครจริง ๆ ฮ่า ๆ ! น้องสาวข้าไม่เฉลียวฉลาดเช่นเ้า พวกนางไม่ชอบใส่ผ้าคลุมหน้า ฮ่า ๆ เ้างดงามกว่าพวกนางก็ควรสวมผ้าคลุมปกป้องใบหน้าเสียหน่อย ฮ่า ๆ !”
เมื่อเหอตังกุยรับผ้าคลุมคืนก็เดินไปทางซ้ายสองก้าวอย่างช้า ๆ เพื่อเลี่ยงเฟิงหยางพลางมองไปด้านหลัง ชายสวมหมวกไม้ไผ่กำลังปีนขึ้นรถม้า ชายเสื้อสีแดงเข้มสะบัดผ่านแอกรถม้า ม่านไม้ไผ่บนกระโจมถูกปิดลงเสียงดัง “แกรก ๆ ”
เหอตังกุยก้มศีรษะเล็กน้อย จู่ ๆ ก็นึกถึงเืที่เปรอะเปื้อนริมฝีปากของชายผู้นั้น… หืม?! เขากินยาผู่ซีแล้ว...กระอักเืจริง ๆ ! เช่นนั้นเหตุใดจึงเอ่ยชมว่า “กินยาเม็ดนี้แล้วดีขึ้น” ?
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้