สอบเข้ามหาวิทยาลัยจากเขตเล็กๆ ไปยังหัวชิง เป็ประสบการณ์แบบไหน?
ในปี 84 นั้นยังไม่มีกระดานสนทนาทางอินเตอร์เน็ต ไม่มีแพลตฟอร์มเครือข่ายสังคมออนไลน์ซึ่งกระจายอยู่ทั่วทุกหนแห่งดั่งในอีกหลายปีข้างหน้า นอกจากฟังจากปากของคนที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยดังแล้ว ยังไม่สามารถหาคำตอบได้จริงๆ
เซี่ยเสี่ยวหลานเองก็มิอาจขัดต่อธรรมเนียมได้เช่นกัน เธอถ่ายรูปจำนวนหนึ่งขณะยืนอยู่หน้ามหาวิทยาลัย และส่งให้อาจารย์ใหญ่ซุนแห่งโรงเรียนอันชิ่งเซี่ยนอีจง
นั่นเป็เื่ที่เกิดขึ้นั้แ่ก่อนการฝึกทหาร ปรากฏว่าจดหมายถึงช้าเหลือเกิน กว่าทางอันชิ่งจะได้รับจดหมายก็ใกล้วันชาติเข้าไปแล้ว เซี่ยเสี่ยวหลานเริ่มต้นการเดินทางใหม่ในปักกิ่งแล้ว ทว่าอาจารย์ใหญ่ซุนแห่งเซี่ยนอีจงยังคงระลึกถึงเกียรติยศซึ่งได้รับมาจากเกาเข่าอยู่เลย
ประกาศคะแนนในเดือนกรกฎาคม ผ่านไปเพียงสองเดือนเอง!
เดือนสิงหาคมเซี่ยเสี่ยวหลานได้รับหนังสือตอบรับเข้าศึกษา ยังไม่ถึงสองเดือนเลยนี่นา อาจารย์ใหญ่ซุนรู้สึกว่าตนเองไม่ได้ตื่นเต้นเกินพอดี ทว่าเป็การตอบสนองตามธรรมชาติ
อย่างไรก็ตาม แม้เซี่ยเสี่ยวหลานจะออกจากอวี้หนานไปเรียนในปักกิ่งแล้ว แต่อิทธิพลจากการที่เธอได้รับตำแหน่งบัณฑิตเกาเข่าต่ออันชิ่งเซี่ยนอีจงเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น ปีนี้คุณภาพนักเรียนใหม่ของอันชิ่งเซี่ยนอีจงดีขึ้นแล้ว มีนักเรียนบางคนที่เดิมทีสองจิตสองใจระหว่างอีจงและเอ้อร์จง แต่ปีนี้ก็ได้ตรงมาสมัครเข้าเซี่ยนอีจง
สอบไม่ผ่านค่อยหันกลับไปเอ้อร์จง
นี่ไม่ใช่แค่กรณีของเขตอันชิ่ง ยังรวมไปถึงรอบเขตอันชิ่งด้วย แม้แต่เขตเหอตงก็มีนักเรียนมาเรียนที่อันชิ่งเซี่ยนอีจง
อาจารย์ใหญ่ซุนก็ใช่ว่าจะรับนักเรียนทุกคน ถ้าคะแนนแย่ เขาย่อมไม่รับอย่างแน่นอน
นักเรียนเหล่านี้ถูกดึงดูดมาโดยชื่อเสียงของอันดับหนึ่งประจำมณฑล อันชิ่งเซี่ยนอีจงสร้างบัณฑิตเกาเข่าได้ คุณภาพการสอนย่อมไม่ธรรมดา แต่ไม่ว่าอย่างไร โรงเรียนก็ได้ลงทะเบียนกับสำนักงานศึกษาธิการมณฑลแล้ว และส่งอาจารย์ใหม่ซึ่งจบการศึกษาจากวิทยาลัยฝึกหัดครูอวี้หนานมาสองคนในเดือนกันยายนปีนี้
เป็เพราะตอนนั้นเซี่ยเสี่ยวหลานรับการสัมภาษณ์จากสถานีโทรทัศน์มณฑลในห้องอ่านหนังสือ แม้ทางสำนักงานศึกษาธิการมณฑลยังไม่มีการเคลื่อนไหวใด แต่ทางสำนักบริหารงานการศึกษาเมืองเฟิ่งเสียนคิดว่าห้องอ่านหนังสือของอันชิ่งเซี่ยนอีจงช่างซอมซ่อเหลือเกิน
“ควรสร้างห้องสมุด”
ผู้บริหารสำนักบริหารงานการศึกษากล่าวเช่นนี้กับอาจารย์ใหญ่ซุน อาจารย์ใหญ่ซุนจะปฏิเสธหรือไม่? แน่นอนว่าต้องตอบตกลงด้วยความยินดี!
งบประมาณสำหรับห้องสมุดได้รับการอนุมัติอย่างรวดเร็ว แม้เพิ่งเปิดภาคเรียนเพียงหนึ่งเดือน ตอนนี้ก็ได้เริ่มดำเนินการก่อสร้างแล้ว อาจารย์ใหญ่ซุนเคยคุยเื่นี้กับเซี่ยเสี่ยวหลาน ตอนนั้นเธอสัญญาว่าจะบริจาคหนังสือบางส่วนให้ห้องสมุด ในจดหมายฉบับนี้ก็เอ่ยถึงเื่นี้อีกครั้ง
ในปี 84 การสร้างห้องสมุดใช้เงินไม่น้อย และการเติมหนังสือให้เต็มห้องสมุดก็เป็ค่าใช้จ่ายจำนวนมากเช่นเดียวกัน
หนังสือชุด《รวมผลงานหลู่ซวิ่นฉบับสมบูรณ์》ที่ตีพิมพ์และจัดจำหน่ายโดยสำนักพิมพ์วรรณกรรมประชาชนในปี 1981 หนึ่งเล่มราคา 7.8 หยวน และหนังสือทั้งชุดนี้มีถึง 16 เล่ม!
ถ้า้าซื้อหนังสือชุดนี้ให้ครบก็ต้องจ่าย 124.8 หยวน ซื้อในร้านหนังสือซินหัว ราคายุติธรรมต่อทั้งเด็กและผู้ใหญ่ รวมถึงไม่มีส่วนลด
แน่นอนว่านี่คือราคาของหนังสือปกแข็ง หากเป็ปกอ่อนจะราคาถูกกว่านี้ อย่างเช่นผลงานชิ้นเอกระดับโลก《เจน แอร์》ที่ตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์การแปลเซี่ยงไฮ้ในปี 1980 หนึ่งเล่มราคาเพียง 2.05 หยวน
การซื้อหนังสือนั้นใช้เงินมาก แม้เงินเดือนอาจารย์จะไม่สูง ทว่ายังคงชอบที่จะเก็บเงินจากค่าครองชีพไว้ซื้อหนังสืออยู่ดี อาจารย์ใหญ่ซุนก็เป็แบบนี้เหมือนกัน ภรรยาของเขาอนุญาตให้เขาซื้อหนังสือได้เดือนละหนึ่งเล่ม ราคาห้ามเกิน 5 หยวน ถ้าจะซื้อหนังสือราคาแพง อาจารย์ใหญ่ซุนทำได้แค่เก็บเงินสองเดือนเท่านั้น ด้านสำนักบริหารงานการศึกษาเมืองเฟิ่งเสียนเองก็ไม่ได้ร่ำรวยนัก ออกเงินให้อันชิ่งเซี่ยนอีจงสร้างห้องสมุดได้นั้นถือว่าไม่เลวแล้ว อย่างไรเสียก็สร้างเป็อาคารเล็ก อีกทั้งต้องจัดหาโต๊ะเก้าอี้ หากให้ทางสำนักบริหารงานการศึกษาจ่ายเงินสำหรับหนังสือในห้องสมุดด้วย ว่ากันตามตรง พวกเขาอยากจ่าย แต่มีงบประมาณมีจำกัดน่ะสิ!
“เชิญชวนทุกคนบริจากหนังสือได้ไม่ใช่หรือ”
ที่บ้านมีหนังสือเก่าอะไรสามารถบริจาคให้ห้องสมุดได้ หนึ่งคนบริจาคหนึ่งเล่ม จากนั้นห้องสมุดของอันชิ่งอีจงก็จะค่อยๆ เต็มเอง
ผู้บริหารสำนักบริหารงานการศึกษากล่าวเช่นนี้กับอาจารย์ใหญ่ซุน
ตอนนั้นเซี่ยเสี่ยวหลานยังไม่ได้ไปรายงานตัวที่ปักกิ่ง เธอคิดว่าพอสร้างห้องสมุดเสร็จแล้ว ในมือน่าจะพอเหลือเงินสำรองบ้าง จึงแจ้งอาจารย์ใหญ่ซุนไว้ว่าจะบริจาคหนังสือหนึ่งชุดให้โรงเรียน หนึ่งชุดคือเท่าไร? เซี่ยเสี่ยวหลานยังไม่ได้ตัดสินใจ รวมถึงจะบริจาคหนังสืออะไร ก็ต้องเลือกสรรอย่างดีเหมือนกัน ต้องเป็หนังสือที่เหมาะสำหรับให้นักเรียนมัธยมปลายอ่าน
อาจเป็พวกหนังสือที่เปิดโลกและมีประโยชน์ต่อการเรียนอย่างรวมกวีนิพนธ์ วรรณกรรมระดับโลก สื่อการสอน ฯลฯ
เซี่ยเสี่ยวหลานใช้คำว่า ‘หนึ่งชุด’ ตอนนั้นเธอบอกเช่นนี้ ทว่าอาจารย์ใหญ่ซุนไม่ได้ใส่ใจเท่าไร
ในการเขียนจดหมายกลับอันชิ่งหนนี้ เซี่ยเสี่ยวหลานถามถึงความคืบหน้าของการก่อสร้างห้องสมุดอีกครั้ง เพื่อพิจารณาว่าสมควรจะบริจาคเมื่อไร อาจารย์ใหญ่ซุนะเืใจยิ่งนัก แม้ในตอนงานเลี้ยงขอบคุณอาจารย์ เซี่ยเสี่ยวหลานบอกว่าเธอพอหาเงินได้จากการทำธุรกิจอิสระข้างนอก ดังนั้นการบริจาคหนังสือไม่ใช่ปัญหาใหญ่ อย่างไรอาจารย์ใหญ่ซุนก็โน้มน้าวเธอให้ทุ่มเทกำลังกับการเรียนหลังเข้าหัวชิงมากกว่าอยู่ดี
อาจารย์ใหญ่ซุนคิดๆ ดูแล้ว หนังสือ ‘หนึ่งชุด’ ที่เซี่ยเสี่ยวหลานพูดถึง คงไม่กี่สิบเล่มเท่านั้น
ถ้าไม่เลือกพวกหนังสือปกแข็ง เลือกซื้อแต่หนังสือราคาถูก ก็เป็เงินไม่กี่ร้อยหยวน เงินจำนวนเท่านี้น่าจะยังอยู่ภายใต้ขอบเขตกำลังการซื้อของนักศึกษาเซี่ยเสี่ยวหลานสินะ? เป็เื่ยากที่เซี่ยเสี่ยวหลานจะยังไม่ลืมโรงเรียนเก่าสมัยมัธยมปลาย เธอเรียนในอันชิ่งเซี่ยนอีจงเพียงหนึ่งปี ความถี่ในการมาโรงเรียนสามารถนับด้วยนิ้วได้ด้วยซ้ำ กลับไม่ลืมการอบรมดูแลของอันชิ่งเซี่ยนอีจง อาจารย์ใหญ่ซุนรู้สึกปลาบปลื้มเหลือล้น หลังตอบจดหมายเซี่ยเสี่ยวหลาน เขาก็ได้อ่านเนื้อหาบางส่วนในจดหมายให้อาจารย์และนักเรียนทั่วโรงเรียนฟังอีกด้วย
เป็แรงผลักดันจากบัณฑิตเกาเข่าให้เหล่านักเรียนนั่นเอง!
คนส่วนใหญ่ก็ฟังด้วยความสนใจจริงๆ ในยุคที่ไม่มีอินเตอร์เน็ต ในสถานที่ห่างไกลอย่างมณฑลอวี้หนานเขตอันชิ่งนี้ พวกเขาจะได้ฟังการแบ่งปันประสบการณ์เช่นนี้จากที่ไหน? สอบเข้าหัวชิงคงไม่ต้องหวังแล้ว อย่างไรก็มีมหาวิทยาลัยมากมายขนาดนั้น ยังคาดหวังกับมหาวิทยาลัยอื่นๆ ได้มิใช่หรือ
ในกลุ่มนักเรียนด้านล่าง มีคนหนึ่งที่จ้องพื้นไม่วางตา—เหลียงฮวนไม่รู้ว่าทำไมตนเองต้องมาเรียนที่อันชิ่งเซี่ยนอีจงแห่งนี้ แม้เซี่ยเสี่ยวหลานจะไปปักกิ่งแล้ว แต่ดูเหมือนสถานที่แห่งนี้ยังคงอยู่ใต้เงาของ ‘เซี่ยเสี่ยวหลาน’
ทุกที่ล้วนคือ ‘เซี่ยเสี่ยวหลาน’ อาจารย์ในชั้นเรียนมักกล่าวถึงชื่อนี้อยู่บ่อยครั้ง
บนกระดานเกียรติยศของโรงเรียนมีภาพและประวัติโดยย่อ
ป้ายหน้าโรงเรียนยังคงมีสีสันสดใสอยู่เลย!
แค่นี้ยังไม่น่าหงุดหงิดพออีกหรือ เรียกนักเรียนมารวมตัวกันในตอนนี้ กระทั่งจดหมายที่เซี่ยเสี่ยวหลานเขียนก็ต้องอ่านให้ฟัง หัวข้อคือเอาอย่างจิติญญาของนักศึกษาเซี่ยเสี่ยวหลาน แม้ไปเรียนที่หัวชิงแล้วก็ยังใส่ใจเสริมสร้างการเรียนรู้ของโรงเรียนเก่า โดยจะบริจาคหนังสือให้ห้องสมุด... เหลียงฮวนแทบเสียสติ! เธออยากกลับไปเขตเหอตง ต่อให้เป็โรงเรียนเดิมที่เธอไม่ใช่คุณหนูฮวนผู้สง่างามอีกแล้ว แต่คงดีกว่าการได้ยินชื่อ ‘เซี่ยเสี่ยวหลาน’ ทุกเมื่อเชื่อวันนี่นา
สอบติดหัวชิงดีเลิศนักรึ?
จะดีสักแค่ไหนกันเชียว!
ในมหาวิทยาลัยหัวชิงล้วนคือสุดยอดนักเรียน เด็กบ้านนอกอย่างเซี่ยเสี่ยวหลานไปที่นั่นจะยังโดดเด่นเหมือนตอนสอบเกาเข่าได้อยู่อีกหรือ?
เหลียงฮวนไม่ยอมรับชะตากรรม
ต่อให้ในจดหมายบรรยายถึงมหาวิทยาลัยหัวชิงไว้ดีเพียงใด แต่ใครจะรู้ว่าเธอมีสภาพชีวิตอย่างไรในหัวชิง! เหลียงฮวนคิดด้วยอกุศลเจตนา
ถ้าไม่คิดเช่นนี้ ความหยิ่งในศักดิ์ศรีของเธอคงรับไม่ไหว
----------------------------------------
เซี่ยเสี่ยวหลานมีความเป็อยู่อย่างไรในหัวชิง ไม่ใช่แค่เหลียงฮวนที่กำลังคาดเดา เซี่ยจื่ออวี้กับหวังเจี้ยนหัวเองก็กำลังคาดเดาเช่นกัน งานฉลองวันชาติ 35 ปีประจำปีนี้ นักศึกษาจากวิทยาลัยฝึกหัดครูปักกิ่งได้เข้าร่วมงานฉลองเช่นกัน แต่ทางวิทยาลัยไม่มีขบวนเกียรติยศ เป็เพียงขบวนเรียบง่ายธรรมดาเท่านั้น
ทั้งเซี่ยจื่ออวี้อวี้และหวังเจี้ยนหัวก็อยู่ในนั้น
หลังจากได้ข่าวเกี่ยวกับขนาดขบวนของหัวชิง หวังเจี้ยนหัวยังคิดด้วยซ้ำ จะเห็นเซี่ยเสี่ยวหลานหรือไม่?
นักศึกษาใหม่อาจต้องเข้าร่วมการเดินขบวนด้วย เพียงแต่ไม่รู้ว่าในหมู่คนจำนวนมากมายขนาดนั้น เขาจะจำเซี่ยเสี่ยวหลานได้หรือไม่—เดิมทีหวังเจี้ยนหัวเลือกปล่อยมือจากเซี่ยเสี่ยวหลานเพื่อรับผิดชอบเซี่ยจื่ออวี้ ตอนนั้นเขาบอกกับตัวเอง เซี่ยจื่ออวี้เหมาะสมจะเป็คู่ชีวิตที่มีอุดมการณ์เดียวกันกับเขามากกว่าเซี่ยเสี่ยวหลาน ทว่าเขาเองก็ไม่เคยคิดมาก่อน ว่าเซี่ยเสี่ยวหลานจะสามารถสอบเข้าหัวชิงได้ในอีกหนึ่งปีต่อมา!
ในส่วนลึกของใจหวังเจี้ยนหัวนั้นกำลังสับสนอย่างถึงที่สุดจริงๆ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้