เืบนตัว บ่งบอกได้ว่ามีคนาเ็
เพียงแต่... บนตัวเขานอกจากรอยบวมปูดที่ศีรษะก็ไม่มีาแอื่นใด ส่วนเสิ่นม่าน… นางยังดูแข็งแรงมีชีวิตชีวาปกติ ไม่เหมือนคนาเ็
แม้จะมีความสงสัยอัดแน่นอยู่เต็มท้อง แต่ก็ไร้หนทางจะเอ่ยแย้ง
เช้านี้จึงเป็วันที่หนิงโม่เริ่มตั้งคำถามกับชีวิต
หลังมื้ออาหารเช้า ทุกคนก็ไปที่โถงบรรพชน ส่วนเสิ่นม่านเช่าเกวียนวัวไปที่ตำบล
อุปกรณ์ทำเต้าหู้ของนางน่าจะเสร็จเรียบร้อย ถึงเวลาไปเอากลับมาเริ่มทำเต้าหู้แล้ว
ฝีมือของช่างไม้ดีกว่าที่นางคิดไว้ เสิ่นม่านควักเงินจ่ายอย่างพึงพอใจยิ่ง จากนั้นก็ไปซื้อวัตถุดิบในร้านขายของชำอีกไม่น้อย
แม้ว่ายุคสมัยนี้จะค่อนข้างโบราณ แต่โชคดีที่ยังมีวัตถุดิบที่นาง้าทั้งหมด หลังออกจากร้านขายของชำ นางก็ไปยังร้านขายผ้าเพื่อซื้อชุดนวมให้กับหนิงโม่ จากนั้นถึงกลับหมู่บ้านโม๋ผ่าน
ใน่บ่าย เด็กๆ เลิกเรียนเร็ว เมื่อกลับถึงบ้านจึงเจอกับเสิ่นม่านที่กำลังหิ้วน้ำถั่วเหลืองคั้นหนึ่งถังที่เพิ่งโม่เสร็จ
เสิ่นม่านโบกมือให้กับทั้งหลายอย่างดีอกดีใจ “เด็กๆ รีบมาช่วยเร็ว อีกเดี๋ยวข้าจะทำของอร่อยแปลกใหม่ให้พวกเ้าได้กินกัน!”
เด็กๆ ชื่นชอบอาหารที่นางทำ แต่ละคนะโโลดเต้นเข้าไปยังห้องครัว บ้างก็ก่อไฟ บ้างก็ช่วยงานจิปาถะ
คนทั้งหลายเห็นนางต้มน้ำถั่วเหลืองสีขาวขุ่นในถัง จากนั้นตักน้ำอะไรสักอย่างใส่เข้าไปในหม้อ ไม่นานนัก น้ำถั่วเหลืองในหม้อก็เริ่มเกาะตัวกัน จากนั้นกลายเป็วัตถุขาวๆ นุ่มนิ่มและเด้งดึ๋ง!
เด็กทั้งสามคน “!”
น่าทึ่งยิ่งนัก!
อย่างไรก็ตาม เสิ่นม่านไม่ได้รีบร้อนที่จะนำวัตถุที่เกาะตัวออกมา หากแต่ค่อยๆ เทใส่กล่องสี่เหลี่ยมที่ทำจากไม้ ท้ายที่สุดก็นำแผ่นหินใหญ่มาวางทับบนกล่องไม้
น้ำถั่วเหลืองในถังถูกเทแบ่งใส่กล่องไม้สามใบ ส่วนในหม้อยังเหลือเป็เต้าฮวยอยู่บางส่วน
เสิ่นม่านไม่้าทำเต้าหู้มากเกินไป จึงเหลือบางส่วนและตักใส่ชามไว้ จากนั้นก่อไฟอีกครั้งและเริ่มน้ำแกงรสแปลกใหม่ นางใส่เครื่องปรุงต่างๆ หลังเคี่ยวจนเข้ากันดีแล้วก็ค่อยๆ ตักน้ำแกงราดใส่เต้าฮวย
ทันใดนั้น เต้าฮวยแสนอร่อยก็ได้ถือกำเนิดบนโลกยุคนี้แล้ว!
เสิ่นม่านยกมันออกมาจากห้องครัวก็ถึงเวลาอาหารค่ำพอดี หนิงโม่จ้องมองเต้าฮวยสีขาวในถ้วยและพินิจอยู่ชั่วครู่
“นี่คือสิ่งใด?”
เสิ่นม่านยิ้มอย่างมีชัย “เต้าฮวย คือสิ่งที่ทำจากถั่วเหลือง เวลากินเหมือนกับไข่ตุ๋น แต่นิ่มกว่า อีกทั้งยังไม่มีรสคาวด้วย”
หนิงโม่ลองลิ้มรสไปหนึ่งคำ เป็ดั่งที่คาด เนื้อััค่อนข้างพิเศษ และยังรสชาติอร่อยเช่นเคย
ทั้งหมดทานไปคนละสองถ้วย เสิ่นม่านเห็นว่าอิ่มพอสมควร จึงชำเลืองมองไปทางหนิงโม่
“เ้าคิดอย่างไรหากข้าจะขายเต้าฮวย? จะทำเงินได้หรือไม่?” น้ำเสียงของนางจริงจัง ทำให้หนิงโม่อดไม่ได้ที่จะมองนางอีกครั้ง
สตรีแสนธรรมดาผู้นี้ บนแก้มเอิบอิ่มมีลักยิ้มชัดเจนหนึ่งอัน เวลามองแล้วเหมือนเด็กเทพมงคลตามภาพวาดปีใหม่ น่ารักน่าชัง
เพียงแต่สตรีผู้นี้ ในสมองกลับมีความคิดแปลกใหม่มากมายซุกซ่อนอยู่จนผู้คนคาดไม่ถึง
หนิงโม่ไตร่ตรองสักครู่และถามกลับ “เ้าคิดจะยึดเอาการขายสิ่งนี้เป็หนทางหาเงินเลี้ยงชีพหรือ?”
“ไม่ใช่แน่นอน!”
เสิ่นม่านตบหน้าอกและพูดอย่างเย่อหยิ่ง
“อันที่จริงการขายเต้าฮวยเป็เพียงจุดเริ่มต้นเล็กๆ ของข้า ข้ายังคิดจะขายเต้าหู้และกลายเป็เ้าแรกในการทำเต้าหู้ของแคว้นนี้!”
หนิงโม่ “...”
เต้าหู้คืออะไรอีก?
เขานิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดเบาๆ “พูดจาเพ้อเจ้อ ข้าฟังไม่เข้าใจ”
เมื่อเห็นว่าหนิงโม่ดูงุนงง เสิ่นม่านก็หาได้สนใจไม่ นางวาดภาพกิจการในฝันของตนเองต่อ
“เอาเป็ว่า ข้าวางแผนเป้าหมายเล็กๆ ให้กับตนเอง ข้าจะเป็ผู้บุกเบิกในการทำเต้าหู้ของตำบลนี้ และตลอดจนแคว้นแห่งนี้ด้วย จากนั้นก็หาเงินสักหนึ่งร้อยล้าน!”
คำพูดเหล่านี้ แม้บางคำจะไม่เข้าใจนัก แต่คำว่าบุกเบิกเขาก็ยังพอเข้าใจได้ หนิงโม่จ้องมองนางที่หนักหนึ่งร้อยหกสิบชั่งั้แ่หัวจรดเท้าสองรอบ จากนั้นส่งเสียงขำในลำคอ
“ลำพังเ้าน่ะหรือ? ทั้งแคว้นคงยาก แต่ถ้าทำเล่นๆ หน้าบ้านคงพอได้”
เสิ่นม่านเงียบไปสองสามวินาทีและถามเขา “อาจารย์หนิง เ้าแต่งงานแล้วหรือไม่?”
หนิงโม่ตะลึงอยู่ครู่หนึ่งพร้อมจ้องมองนางอย่างระแวดระวัง “ไม่ แต่ข้ามีหญิงในดวงใจแล้ว เ้าตัดใจเสีย...”
“เช่นนั้นข้าก็โล่งใจ”
อีกฝ่ายขัดคำพูดของเขาและพึมพำกับตนเอง “เ้ามันปากร้าย ไม่มีทางหาคู่ได้แน่ มิน่าในยุคที่ผู้คนแต่งงานกันเร็วเช่นนี้ ทว่าเ้าอายุยี่สิบกว่าแล้วยังอยู่เป็โสดอีก”
หนิงโม่ “...”
เขาจะทำอย่างไรดี? ตอนนี้อยากบีบคอนางให้ชักดิ้นชักงอเสียเหลือเกิน
เมื่อเต้าฮวยได้ถือกำเนิด มันจึงกลายเป็อาหารหลักของทั้งห้าชีวิตในสกุลเสิ่น
ที่สำคัญคือ มันทั้งอร่อยและไม่เลี่ยน!
แต่เสิ่นม่านมีหนึ่งคําขอ นั่นคือทุกคนในบ้านจะต้องเก็บเื่ของเต้าหู้กับเต้าฮวยไว้เป็ความลับ
การคิดค้นนี้ส่งผลต่อชะตาความมั่งคั่งของนางในภายหน้าหรืออีกหลายสิบปีต่อจากนี้ ฉะนั้นจึงห้ามให้ผู้อื่น่ชิงตัดหน้าไปได้เด็ดขาด
แน่นอนว่า เด็กน้อยสามคนนั้นเข้าข้างนางโดยสมบูรณ์แล้ว ส่วนผู้ใหญ่อีกหนึ่งคนก็ไม่ได้สนใจอะไรทั้งนั้น คนทั้งหมดจึงรักษาคำมั่นอย่างเคร่งครัดและปกปิดความลับได้เป็อย่างดี
การทำเต้าหู้นั้นใช้เวลาไม่นาน เพียงแค่ชั่วข้ามคืน เต้าหู้ของเสิ่นม่านก็ตากเรียบร้อย นางได้ปรุงอาหารที่ทำจากเต้าหู้อีกหลายจาน ทั้งหม่าล่าเต้าหู้ เต้าหู้ทอดหอม เต้าหู้น้ำแดงและเต้าหู้ดอกเก๊กฮวย
เต้าหู้อร่อย เพียงแต่เปลืองข้าวขาวไปสักหน่อย โชคดีที่เสิ่นม่านยังพอมีเงินอยู่ ทั้งครอบครัวจึงยังสามารถกินข้าวขาวได้
หนิงโม่รู้สึกว่ารสชาติของข้าวขาวนี้ต่างจากข้าวขาวที่เคยกินก่อนหน้านี้
แน่นอนว่าข้าวลูกผสมไม่ใช่สิ่งที่คิดจะกินก็หากินได้ง่ายดาย ณ ตอนนี้เสิ่นม่านยังไม่สามารถเพาะปลูกข้าวลูกผสมเองได้ เพราะกลัวว่าจะเป็การนำภัยมาสู่ตัว
นางต้องเก็บข้าวชั้นดีที่เหลือเพียงเล็กน้อยไว้ หากมีวันสำคัญก็ค่อยเอาออกมากิน คนทั้งหมดได้กินข้าวขาวทั่วไปพวกนี้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว
สำหรับหนิงโม่ หากเขายินยอมจ่ายค่าใช้จ่ายประจำวันให้อีกสองร้อยตำลึง เสิ่นม่านก็ไม่ถือสาที่จะหุงข้าวลูกผสมชั้นดีให้กับเขาอีกหลายมื้อ
หลังจากได้หนทางสู่ความมั่งคั่งร่ำรวยแล้ว เสิ่นม่านก็ตัดสินใจไปขายเต้าฮวยในตำบลและตั้งใจว่าหากสามารถเปิดเส้นทางการค้าได้ นางจะค่อยๆ นำพาไปสู่การขายเต้าหู้
ช่างบังเอิญที่ใกล้จะถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์ กล่าวกันว่าในตำบลมักจะมีการแขวนโคมไฟในคืนนั้น นางตั้งใจว่าจะไปหาเช่าแผงขายบนถนนที่มีการแขวนโคม
วันเทศกาลไหว้พระจันทร์ หนิงโม่ให้วันหยุดเหล่าลูกศิษย์ในหมู่บ้านหนึ่งวัน เด็กทั้งสามไม่ต้องไปเรียนจึงตื๊อขอไปช่วยเสิ่นม่านเปิดร้าน
เสิ่นม่านไม่คิดจะเลี้ยงดูเด็กๆ ให้กลายเป็เพียงบัณฑิตที่เอาแต่เรียน ทำตัวไร้ประโยชน์และเอาแต่แบมือขอเงิน นางจึงจัดสรรหน้าที่ง่ายๆ ให้เด็กๆ ได้รับผิดชอบ
นางมีหน้าที่ปรุงรส เสี่ยวตงกับเสี่ยวหลานโตกว่า จึงให้รับผิดชอบตักเต้าฮวย ส่วนต้าเป่าที่เด็กที่สุดรับผิดชอบเชิญชวนเรียกลูกค้าด้วยวาจาสิริมงคล
ส่วนหนิงโม่…
เสิ่นม่านรู้สึกว่าชุดสีดำของเ้าหนุ่มนี่ ไปอยู่ที่ใดก็เหมือนเสาหนึ่งต้น เพียงแต่สะดุดตาสักหน่อย
ดังนั้นเขาจึงถูกบังคับให้อยู่ด้านข้างเพื่อเก็บเงินและคิดเงิน
แรกเริ่มนั้นหนิงโม่ปฏิเสธ เขาใช้ชีวิตมายี่สิบกว่าปี อย่างน้อยเวลาอยู่ในเมืองหลวงก็ถือเป็คุณชายที่มีหน้ามีตา เหตุใดจึงต้องวิ่งโร่มาขายของบนแผงกับคนเหล่านี้ด้วย?
เพียงแต่เขาทนไม่ไหวที่เสิ่นม่านข่มขู่เขาด้วยอาหาร หากว่าไม่เชื่อฟัง อาหารที่จะได้กินในภายภาคหน้ามีแต่จะรสชาติแย่ลงกว่าเดิม แม้เื่นี้จะเป็สิ่งที่ผู้คนทั่วไปยอมรับได้ แต่เขาไม่อาจยอมรับได้
ดังนั้นชายคนหนึ่งเมื่อเผชิญกับคำขู่เยี่ยงนี้ จึงจำใจต้องก้มศีรษะอันสูงส่งเป็ครั้งแรก
-----