กลับเป็ิเป่าจูเสียอีก เห็นเขาชอบอะไรก็คอยถามอยู่ตลอดว่า “ชอบหรือไม่ ถ้าชอบพี่จะซื้อให้”
แต่ทุกครั้งิเป่าอวี้ก็จะส่ายหน้า แสร้งทำเป็ไม่สนใจแล้วเดินผ่านไป
“น้องชายเ้าคนนี้ไม่เลวเลย” หลี่ไหวฺอวี้ฉวยโอกาสที่ิเป่าอวี้ไม่ได้สังเกต เอ่ยเสียงเบาขึ้นมา
ิเป่าจูช้อนเปลือกตาขึ้นแล้วกลอกตาไม่พูดอะไร มันก็แน่อยู่แล้ว น้องชายรู้ความเพียงใดนางก็เห็นๆ อยู่ อย่างน้อยก็ดีกว่าใครบางคนมากนัก
“หืม? เ้าเป็อะไรไป เป็โรคตาเขเฉียบพลันรึ”
หลี่ไหวฺอวี้เห็นนางไม่แยแสตนเอง ก็เซ้าซี้ไม่เลิกรา ิเป่าจูยังคงไม่สนใจเขา
เ้าสิตาเข ตาเขกันหมดทั้งบ้านเลย!
โคร่ก...
“ฟ้าร้องแล้ว ดูท่าฝนใกล้จะตก”
หลี่ไหวฺอวี้ไหวตัวก่อนคนแรก หัวเราะเสียงดังพลางชี้ไปที่ท้องของิเป่าอวี้
ิเป่าอวี้กุมท้องด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน ลอบก่นด่าตนเองว่าไม่ได้เื่เอาเสียเลย
“หิวแล้วทำไมไม่บอก” ิเป่าจูตั้งสติได้ ก็ถลึงตาใส่หลี่ไหวฺอวี้เป็อย่างแรก ก่อนหันมาถามเขาด้วยรอยยิ้ม
“ในเมืองมีแต่ของแพงๆ ทั้งนั้น” ิเป่าอวี้ตอบเสียงเบา
แม้พี่สาวจะหาเงินได้ แต่เขาไม่อยากใช้สุรุ่ยสุร่าย
ิเป่าจูได้ยินแล้ว ก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี แต่กลับรู้สึกปวดใจอย่างล้ำลึก
“ไม่เป็ไร ไปเถอะ พี่จะพาเ้าไปกินข้าว” นางจูงมือิเป่าอวี้ไปร้านอาหารแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ
ตอนนี้เป็เวลาเที่ยงวันพอดี ร้านอาหารมีลูกค้าไม่ขาดสาย ดูท่ากิจการจะดียิ่ง
เดินมาถึงหน้าประตูก็ได้กลิ่นอาหารหอมตลบอบอวล ทั้งสามยังไม่ได้กินอะไรมาตลอด่เช้า ถูกกลิ่นหอมเย้ายวนจนน้ำลายสอ ตัดสินใจว่าจะสั่งอาหารมาหลายๆ อย่าง
“ท่านลูกค้า พวกท่าน... ไป ไป ไป ออกไป”
เสี่ยวเอ้อในร้านเห็นว่ามีแขก ก็เข้ามาต้อนรับอย่างกระตือรือร้น แต่หลังจากกวาดตามองทั้งสามคน รอยยิ้มก็หุบลงทันควัน แล้วขับไล่พวกเขาออกไปข้างนอก
“เหตุใดไม่ให้พวกเราเข้าไปเล่า?”
เปิดร้านทำการค้า มีแขกมากลับไล่ตะเพิด นี่มันเหตุผลบ้าอะไรกัน จุดสำคัญก็คือผู้อื่นล้วนเข้าได้ไม่มีปัญหา มีเพียงพวกเขาที่ได้รับการปฏิบัติที่แตกต่างออกไป
“จะขอทานก็ไปบนถนน อย่ามาก่อความวุ่นวายที่นี่ รีบไป รีบไป”
เห็นพวกเขาสวมใส่เสื้อผ้าซอมซ่อขาดวิ่น รูปร่างก็ผอมโซ ไม่ใช่ขอทานแล้วจะเป็อะไรได้ จะมีเงินกินข้าวได้อย่างไร
ต้องรีบตะเพิดออกไปโดยเร็ว มิเช่นนั้นอาจส่งผลกระทบต่อลูกค้าท่านอื่น หากเถ้าแก่รู้เข้าเขาต้องถูกหักค่าแรงเป็แน่
“ไสหัวไป ไสหัวไป ไสหัวไป นี่ไม่ใช่สถานที่ที่พวกเ้าจะมาได้”
เสี่ยวเอ้อแสดงความรังเกียจอย่างไม่ปิดบัง น้ำเสียงยิ่งไม่ต้องพูดถึง
“เ้าบอกว่าใครเป็ขอทาน” หลี่ไหวฺอวี้กอดอกพิงกรอบประตู ทำสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
เสี่ยวเอ้อรู้สึกได้ว่าความหนาวเหน็บปกคลุมไปทั่วร่างอยู่ชั่วขณะ แต่เขาก็แค่นเสียงเยาะออกมาทันควัน พวกขอทานจะมีรังสีข่มขวัญเช่นนี้ได้อย่างไร เขาต้องรู้สึกไปเองแน่ๆ
“ฮึ ยังต้องให้คนบอกอีกหรือ เสื้อผ้าขาดวิ่นเหมือนผ้าขี้ริ้วแบบนี้ จะเป็อะไรได้นอกจากขอทาน”
เสียงเอะอะจากทางนี้ดึงดูดสายตาคนในร้านและคนบนท้องถนนจำนวนไม่น้อย เมื่อถูกคนมากมายจดจ้อง ิเป่าอวี้ก็เริ่มกระสับกระส่าย
มือซ้ายคอยดึงเสื้อที่สั้นเต่อ มือขวาก็ปิดคราบเืบนกางเกงที่ต้นขา
ก่อนหน้านี้ถูกหวังซื่อตีาเ็ ร่องรอยยังติดอยู่ เพราะไม่มีเสื้อผ้าสะอาดเปลี่ยน จึงเพียงขยี้อย่างง่ายๆ ร่องรอยกะดำกะด่างจึงยังหลงเหลืออยู่
เสียงซุบซิบกับการชี้นิ้ววิพากษ์วิจารณ์ ยังมีเสียงหัวเราะเย้ยหยันอย่างชัดเจน ทำให้ิเป่าอวี้อายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี
“พี่หญิง พวกเรากลับบ้านกันเถอะ ข้าไม่หิวแล้ว” ิเป่าอวี้ก้มหน้าก้มตาเดินเข้าไปหาิเป่าจู แล้วเอ่ยเสียงเบาหวิวราวกับเสียงยุง
“ไม่ต้องกลัว” ิเป่าจูพยายามระงับโทสะ จับมือของน้องชายไว้
“สั่งอาหารต้องดูฐานะ นี่น่ะหรือมารยาทที่เถ้าแก่ของพวกเ้าสั่งสอนมา” หลี่ไหวฺอวี้ลุกขึ้นอย่างช้าๆ รังสีกดดันแผ่กำจายออกมาทั่วร่าง
“ก็เอาซี มีเงินหรือเปล่าล่ะ นายท่านทั้งสาม!” เสี่ยวเอ้อหัวเราะออกมาอย่างไม่นำพา เน้นหนักคำว่า “นายท่าน” เป็พิเศษ แต่น้ำเสียงกลับลากยาวเต็มไปด้วยการเหน็บแนมประชดประชัน
“คุณหนู ท่านอยากจะแสดงให้สุนัขตาต่ำตัดสินคนจากภายนอกได้เห็นหน่อยหรือไม่” จู่ๆ หลี่ไหวฺอวี้หันมาพูดกับิเป่าจู
ท่าทางของเขานอบน้อมอย่างยิ่ง ยังเรียกนางว่าคุณหนู ิเป่าจูไม่รู้ว่าเขามีเจตนาอันใด แต่ยังคงหยิบก้อนเงินเล็กออกมาจากแขนเสื้อสองสามก้อน
เสี่ยวเอ้อตะลึงตาค้าง ไม่คิดว่าพวกเขาจะหยิบเงินออกมาได้จริงๆ คนที่มาชมความครึกครื้นอยู่รอบด้านต่างพากันเงียบ
หลังจากนั้นก็ได้ยินคนเอ่ยว่า
“ปรักปรำเด็กผิดๆ เข้าเสียแล้ว”
“นั่นน่ะสิ นั่นมันเงินชัดๆ ดูท่าอย่างน้อยต้องมีสองตำลึงเป็อย่างต่ำ”
ร้านอาหารทั่วไปแบบนี้ อาหารมื้อหนึ่งก็แค่สิบกว่ายี่สิบเหรียญทองแดงเท่านั้น ประเด็นก็คือมีเงินจ่าย แม้จะเป็เงินก้อนเล็ก ก็เพียงพอจะพิสูจน์ได้แล้วว่าตนเองไม่ใช่ขอทาน
“ไม่ได้ยินหรือว่าเ้าหนุ่มคนนั้นเรียกนางว่าคุณหนู ไม่แน่ว่าอาจเป็นายน้อยกับคุณหนูของเศรษฐีคนไหนตั้งใจปกปิดฐานะออกมาเที่ยวเล่นก็เป็ได้ถึงแต่งตัวเช่นนี้...”
เสียงผ่านเข้าหูมิได้ขาด ิเป่าจูมองหลี่ไหวฺอวี้อย่างอดไม่ได้ ที่แท้เขาก็มีความคิดเช่นนี้นี่เอง
บัดนี้ เถ้าแก่ร้านอาหารก็ได้ข่าวแล้วรีบเดินออกมา
“เ้าทำอะไรลงไป มีใครเขาต้อนรับลูกค้าอย่างเ้ากันบ้าง ท่านลูกค้าทั้งสาม ต้องขออภัยด้วยจริงๆ กลับไปข้าจะต้องลงโทษเขาให้หนัก พวกท่านคงหิวกันแล้ว เชิญเข้าไปด้านในเถอะ”
เขารู้ต้นสายปลายเหตุทั้งหมดแล้ว ท่าทีกระตือรือร้นยิ่งกว่าเสี่ยวเอ้อ ถึงแม้พวกเขาจะไม่ใช่นายน้อยหรือคุณหนูที่ไหน ขอเพียงมีเงินก็ถือว่าเป็ลูกค้าชั้นดี
“โธ่เอ๋ย ดูสิ ผู้น้อยมีตาแต่หามีแววไม่ ท่านลูกค้า เชิญด้านในเลยขอรับ เชิญด้านในเลยขอรับ”
เสี่ยวเอ้อเห็นเถ้าแก่ออกมา ก็ตั้งสติได้ พอได้ยินว่าจะถูกลงโทษก็เปลี่ยนท่าทีทันควัน รีบเชื้อเชิญคนเข้าไปข้างใน
หากเป็บุตรหลานผู้ดีมีเงินเขาก็ล่วงเกินไม่ได้จริงๆ
“ไม่ต้อง พวกเราจะเปลี่ยนไปร้านใหญ่กว่านี้”
ิเป่าจูหน้านิ่ง จูงิเป่าอวี้ออกไป
“สุนัขตาต่ำ ทำให้คุณหนูจวนข้าโกรธเข้าแล้ว คอยดูเถอะ พวกเ้าได้เห็นดีแน่” หลี่ไหวฺอวี้ทิ้งถ้อยคำคลุมเครือไว้ประโยคหนึ่ง ก่อนเดินตามไปติดๆ
ทว่าถ้อยคำนี้กลับทำให้ทั้งเถ้าแก่และเสี่ยวเอ้อใจนหน้าซีด กลัวว่าผู้อื่นจะกลับมาคิดบัญชีภายหลังจริงๆ
…
“จะไปที่ใด”
หลี่ไหวฺอวี้ตามมาจนทัน เห็นสีหน้าของิเป่าจูยังคงอึมครึมไม่สดใสจึงเอ่ยถาม
ส่วนิเป่าอวี้ยังคงเงียบไม่ปริปากปล่อยให้พี่สาวจูงมือ ท่าทางเหมือนยังจมอยู่กับความอัปยศอดสูที่ถูกคนเหยียดหยันออกมาไม่ได้
หลังจากรออยู่พักใหญ่แต่ไม่ได้รับคำตอบ หลี่ไหวฺอวี้ก็ยังคงซักไซ้ไม่เลิกรา
“ใจแคบเสียจริง ยังโกรธอยู่อีกหรือ”
ิเป่าจูได้ยินคำกล่าวก็ถลึงตาใส่เขา ก่อนจะเดินตรงไปข้างหน้าต่ออย่างมีเป้าหมาย
ปัญหามันอยู่ที่ความใจแคบเสียที่ไหน นี่เป็การเหยียดหยามศักดิ์ศรีของคน ตัวนางเองไม่มีปัญหา มีชีวิตมาสองชาติแล้ว ยุคสมัยไหนบ้างไม่มีคนหัวสูงประเภทนี้
แต่เป่าอวี้ความคิดยังเยาว์วัย สิ่งสำคัญที่สุดในกระบวนเติบโตของวัยรุ่นสู่วัยผู้ใหญ่ก็คือการเสริมสร้างสุขภาพจิตที่ดี
หากทนรับการถูกโจมตีไม่ได้ เกิดปัญหาทางจิตจะยิ่งแก้ไขได้ยาก
นางเป็แพทย์ แต่ไม่ใช่จิตแพทย์ ไม่แน่ใจว่าจะสามารถบำบัดอาการซึมเศร้าได้หรือไม่
ขณะที่กำลังคิดฟุ้งซ่าน ก็มาถึงที่หมาย จึงจูงิเป่าอวี้ตรงเข้าไปทันที
หลี่ไหวฺอวี้เงยหน้า พลางเลิกคิ้ว ก่อนหัวเราะเบาๆ ออกมา “ร้านผ้าซ่างจิ่น”
ที่แท้ก็อย่างนี้นี่เอง
“ท่านลูกค้า ้าเลือกซื้อผ้าแบบไหนดีขอรับ” เถ้าแก่ที่นี่รู้จักทำการค้า และมีวิสัยทัศน์สูงกว่าเถ้าแก่ร้านอาหาร
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้