เมื่อฝูงชนได้ยินสิ่งที่หลินเฟิงกล่าว พวกเขาก็เริ่มพูดคุยกัน มีหลายคนที่เคยได้ยินเื่อื้อฉาวที่เกิดขึ้นที่นี่ และยังมีบางคนที่เคยเห็นมันด้วยตาตัวเอง
ตอนนี้เองสีหน้าของชายหนุ่มคนนั้นกับผู้ดูแลก็เปลี่ยนไป ดวงตาของพวกเขาฉายแววเ็า
เมื่อเห็นว่าผู้ดูแลยังคงนิ่งเงียบ หลินเฟิงจึงหันไปหามู่ฟ่านและกล่าวทิ้งท้ายก่อนจะเดินกลับที่นั่งของตัวเองว่า “เ้ารีบเข้าไปเถอะ การต่อสู้ครั้งนี้ได้ถูกจัดฉากไว้เรียบร้อยแล้วนี่ เ้าก็แค่ออกท่าออกทางให้เป็ธรรมชาติก็พอ ไปเลยสิ แสดงให้ทุกคนเห็นว่าศิษย์ของลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่ทรงพลังขนาดไหน และสามารถจัดการกับสิงโตเพลิงได้ง่ายดายเพียงใด”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ฝูงชนก็พากันตกตะลึงขึ้นมา หลินเฟิงพูดชัดเจนขนาดนี้ ต่อให้โง่แค่ไหนก็เข้าใจ ดูเหมือนว่าผู้ดูแลกับอีกฝ่ายจะสมรู้ร่วมคิดกัน!!! พวกเขาจงใจจัดฉากการต่อสู้ในรอบนี้ เพื่อประกาศศักดาศิษย์จากลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่ ตอนนี้เองที่ในใจของผู้คนเกิดความรู้สึกเหยียดหยามลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่
เพื่อกอบกู้ศักดิ์ศรีของนิกาย ถึงกับสร้างสถานการณ์เช่นนี้ขึ้นมา?! ช่างน่าสมเพชเสียจริง
เสียงซุบซิบนินทาเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ศิษย์จากลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่และผู้ดูแลมีสีหน้าปั้นยาก คำพูดของหลินเฟิงไม่เพียงจี้ใจดำพวกเขาเท่านั้น แต่ยังทำลายหน้าตาของพวกเขาอีกด้วย!!!
“หุบปากของเ้าไปซะ!!! ถึงกับกล้ากลับดำเป็ขาว ช่างใส่ร้ายผู้คนได้แยบยลจริงๆ” ชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนอัฒจันทร์ส่งเสียงะโอย่างเหลืออด
หลินเฟิงจ้องมองชายหนุ่มคนนั้นแล้วหัวเราะออกมา “นี่คือสิ่งที่ผู้ฝึกยุทธ์จากตระกูลชนชั้นสูงทำกันสินะ? เ้ากับลานประลองเชลยแห่งนี้คงมีความเกี่ยวข้องกันไม่น้อย หากเ้าบอกว่าให้ไปทางทิศตะวันตก คนที่นี่คงไม่กล้าไปทางทิศตะวันออก! ถ้าเ้า้ามอบสิงโตเพลิงให้กับสหาย ก็ไปทำกันที่อื่นสิ จะมาที่นี่ให้ยุ่งยากทำไม?!”
“โอ้… เกือบลืมไป ถ้ามอบให้ตรงๆ ลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่ก็คงไม่ได้หน้าสินะ”
หลินเฟิงกล่าวอย่างไม่แยแส แต่น้ำเสียงและคำพูดของเขาล้วนเต็มไปด้วยความเย้ยหยันและเหยียดหยาม
ผู้คนส่วนใหญ่เห็นด้วยกับคำพูดของหลินเฟิง ถึงแม้ว่าหลินเฟิงจะก้าวร้าวไปสักหน่อย แต่มันก็เป็ความจริง เห็นได้ชัดจากน้ำเสียงที่ชายหนุ่มคนนั้นพูดคุยกับผู้ดูแล มันทั้งห้วนและเข้มงวดราวกับพูดกับลูกน้อง สถานะของชายหนุ่มคนนั้นคงไม่ธรรมดา ดังนั้นผู้ดูแลจึงไม่กล้าขัดคำสั่งเขาและเลือกให้มู่ฟ่านเข้าไปต่อสู้แทนที่จะเป็หลินเฟิง ทั้งๆ ที่มู่ฟ่านมาช้ากว่าหลินเฟิง
นี่เป็การจัดฉากชัดๆ เป็การต่อสู้ที่ไม่ยุติธรรม
ดวงตาของชายหนุ่มคนนั้นวาวโรจน์ขึ้น แต่ตอนนี้เองมู่ฟ่านที่มองหน้าหลินเฟิงอยู่ ก็กล่าวขึ้นมาว่า “ในเมื่อเ้าข้องใจขนาดนี้ พวกเรามาประลองกันสักรอบดีไหม?! ผู้ชนะจะได้เข้าไปสู้กับสิงโตเพลิงนั่น”
“เ้ามีเหตุผลอะไรถึงจะมาสู้กับข้า?”
หลินเฟิงกล่าวขณะเหลือบมองมู่ฟ่าน “ไม่ใช่เ้าอ้างว่าตัวเองมาถึงก่อนข้า ดังนั้นจึงสมควรประลองก่อนหรือ?! แล้วทำไมจู่ๆ ถึงได้กลับลำกลางคันเล่า?! หรือว่าพวกเ้าแอบวางแผนร้ายอะไรลับหลังอยู่ ถึงได้พูดเช่นนี้ออกมา???”
คำพูดของหลินเฟิงช่างสมบูรณ์แบบ จนแทบทำให้มู่ฟ่านและคนอื่นกลายเป็วายร้ายที่น่ารังเกียจไป ไม่ต้องสงสัยเลยว่าต่อให้เขาเอาชนะอีกฝ่ายได้ แต่ชัยชนะในครั้งนี้ นอกจากไม่ช่วยยกระดับชื่อเสียงของนิกายแล้ว ยังสร้างความอัปยศให้กับนิกายอีกด้วย ซึ่งนี่ไม่ใช่สิ่งที่มู่ฟ่าน้า
มู่ฟ่านแสยะยิ้มก่อนกล่าวว่า “ข้าเข้าใจแล้ว เ้าก็แค่เก่งแต่ปากเท่านั้นสินะ พอเอาจริงขึ้นมาก็คงเป็แค่หนูที่ขี้ขลาด!!!”
“ใช่แล้ว! เก่งแต่ปากเท่านั้นแหละ เ้ามันก็แค่คนขี้ขลาด ขนาดหน้าที่แท้จริงยังไม่กล้าเปิดเผยเลย!!!”
“ฮ่าๆๆ มันจะมาเทียบกับศิษย์พี่มู่ฟ่านได้ยังไง? ศิษย์พี่มู่ฟ่านเป็ถึงอัจฉริยะจากลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่เชียวนะ ก็แค่สิงโตเพลิงตัวหนึ่ง ศิษย์พี่มู่ฟ่านเอาชนะมันได้ง่ายๆ อยู่แล้ว”
ศิษย์แต่ละคนจากลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่ ต่างพากันถือหางสหายของตัวเอง ประหนึ่งว่ามู่ฟ่านเป็ผู้ฝึกยุทธ์ที่เก่งที่สุดในโลก และเหยียดหยามหลินเฟิงว่าเป็เพียงคนขี้ขลาด
หลินเฟิงปรายตามองคนเ่าั้ด้วยสายตาดูแคลน รอจนคนพวกนั้นพูดจบจึงกล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “ดูเหมือนว่าลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่จะเต็มไปด้วยผู้ฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก และข้าคงเป็เพียงแค่คนโง่เขลา!”
“ใช่! เ้ามันไม่ประมาณตน กล้าดียังไงถึงมายั่วยุศิษย์พี่มู่ฟ่าน!” เมื่อเห็นท่าทางโอนอ่อนของหลินเฟิง พวกเขาก็ยิ่งได้ใจและคิดว่าหลินเฟิงคงไม่กล้ารับคำท้าจากมู่ฟ่าน
แต่หลินเฟิงกลับแสยะยิ้มและกล่าวออกมาว่า “ข้าอยากรู้นักว่า ผู้บ่มเพาะจากลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่จะแน่สักแค่ไหน?”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ ศิษย์จากลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่ก็แสดงสีหน้าดูถูกออกมา เ้ารับคำท้า? ช่างรนหาที่ตายเสียจริง!!!
ฝูงชนมองหลินเฟิงสลับกับมู่ฟ่านไปมาอย่างตื่นเต้น จากนั้นหลินเฟิงก็พูดขึ้นว่า “เ้ากับข้าจะเข้าไปประลองความตาย ใครชนะคนนั้นรอด แต่ถ้าแพ้คนนั้นตาย!!! เ้าว่าไง?”
เมื่อพูดจบ บรรยากาศของลานประลองเชลยก็กลายเป็เงียบงัน โดยเฉพาะศิษย์จากลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่ พวกเขาตาโตด้วยความใ
ประลองความตาย ใครชนะคนนั้นรอด แต่ถ้าแพ้คนนั้นตาย
นี่นะเหรอ?! คำพูดของคนขี้ขลาด?
ผู้คนมากมายพากันอ้าปากค้างและจ้องมองหลินเฟิง ช่างบ้าระห่ำยิ่งนัก! เขาไม่เพียงแค่ยอมรับการประลอง แต่ยัง้าประลองแบบเอาชีวิตเข้าแลก หรือว่าเขามั่นใจว่าตัวเองจะเป็ผู้ชนะ?!
มู่ฟ่านจ้องเขม็งไปที่หลินเฟิง ต้องอวดดีขนาดไหนถึงกล้าเสนอการประลองความตาย?
เมื่อหลินเฟิงเห็นว่าไม่มีใครกล่าวอะไรจึงพูดต่อไปว่า “ไม่ต้องกังวล ข้ามีเพียงปากเป็อาวุธและประเมินตัวเองสูงไป อย่างไรก็ตามเ้าเป็ถึงศิษย์จากลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่อันยิ่งใหญ่ ในเมื่อเ้าเสนอให้ประลองเพื่อกู้หน้าคืน ข้าเพียงแค่เปิดโอกาสให้ศิษย์ที่น่าเกรงขามจากลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่ สามารถเอาชนะข้าได้อย่างง่ายดาย คงไม่มีเหตุผลอะไรที่เ้าต้องปฏิเสธหรอกนะ”
น้ำเสียงของหลินเฟิงช่างหยิ่งยโส ทำให้ศิษย์จากลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่ต่างกัดฟันแน่นด้วยความโกรธ แล้วมองไปที่หลินเฟิงด้วยสายตาคล้ายอยากฉีกเขาออกเป็ชิ้นๆ
หลังจากนั้นพวกเขาก็หันไปมองมู่ฟ่าน ตอนนี้ศักดิ์ศรีของลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่ทั้งหมดอยู่ในมือของเขาแล้ว
เมื่อรับรู้ได้ถึงสายตาที่มองมา ทำให้มู่ฟ่านรู้สึกกดดันเป็อย่างมาก สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เขาไม่มีทางเลือก การเอาชนะหลินเฟิงเป็เพียงทางเดียวที่จะพิสูจน์ได้ว่าเขาแข็งแกร่งและสามารถปกป้องชื่อเสียงของลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่ได้ หากเขาไม่สู้เขาก็ไม่อาจเชิดหน้าได้อีกต่อไป มู่ฟ่านไม่มีทางเลือกอีกแล้ว
นอกจากนี้มู่ฟ่านยังมองเห็นดวงตาของหลินเฟิงผ่านรูหน้ากาก ดวงตาของเขาสงบนิ่งมาก คนที่ยังสงบอยู่ได้ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ นับว่าน่าหวาดกลัวเป็อย่างมาก
หลินเฟิงกล้าท้าประลองความตายกับเขา เป็ไปได้ไหมว่าหลินเฟิงมีความแข็งแกร่งเพียงพอที่จะเอาชนะเขาได้จริงๆ?
มู่ฟ่านเชื่อมั่นในพลังและพร์ของตัวเองมาก แต่ท่าทางไม่ยี่หระของหลินเฟิง ทำให้เขาอดวิตกขึ้นมาไม่ได้ เขารู้สึกกดดันมาก
มู่ฟ่านกัดฟันกล่าวว่า “ข้ายอมรับคำท้าประลองความตายกับเ้า”
“ตอนนี้เข้าไปในลานประลองได้แล้ว”
มู่ฟ่านกล่าวอย่างเ็าขณะเดินเข้าไปด้านใน
“ช้าก่อน”
ทันใดนั้น หลินเฟิงก็พูดขึ้นกะทันกัน ทำให้มู่ฟ่านหยุดเดินแล้วหันกลับมา “มีอะไร?”
“ก็อย่างที่ข้าพูด พวกเ้ากับผู้ดูแลเป็พวกเดียวกัน หากข้าเข้าไปในลานประลอง ก็เท่ากับอยู่ในสถานที่ปิดตาย เกิดพวกเ้ารุมข้าขึ้นมา ข้าไม่แย่เอาหรือ!” หลินเฟิงกล่าวออกมาช้าๆ ทว่าชัดเจน
ผู้ดูแลขมวดคิ้วและถามหลินเฟิงด้วยน้ำเสียงเ็าว่า “เ้าพูดแบบนี้หมายความว่าอย่างไร? เ้าคิดว่าข้าจะเข้าไปแทรกแซงการต่อสู้และทำร้ายเ้าอย่างนั้นหรือ?”
“ข้าเคยได้ยินมาว่ามีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่วันก่อน ถ้ามันเกิดขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่ง ทำไมจะเกิดขึ้นอีกครั้งไม่ได้?!”
ผู้ดูแลถึงกับพูดไม่ออก เขาจ้องเขม็งไปที่หลินเฟิงและถามว่า “งั้นเ้าคิดว่ายังไง?”
“ข้า้าให้คนอื่นมาตัดสินการประลองในครั้งนี้ และแน่นอนว่าต้องไม่ใช่ศิษย์ของลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่และคนของลานประลองเชลย”
“หึ! แล้วเราจะหาคนที่เ้าว่ามาจากไหน? ไร้สาระสิ้นดี!!! ตกลงเ้าจะสู้หรือไม่สู้?” มู่ฟ่านกล่าวด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
ทันใดนั้นก็มีเสียงะโลอยออกมาจากฝูงชนว่า
“ข้าจะเป็ผู้ตัดสินให้เอง”
ทุกสายตาหันไปมองตามต้นเสียง อัฒจันทร์แถวหลังๆ มีชายหนุ่มคนหนึ่งยืนขึ้นมา
เขาดูเป็มิตรและสุภาพมาก บนใบหน้าของเขามีแต่รอยยิ้ม ทำให้ผู้คนรู้สึกอยากเข้าหา แต่กลิ่นอายบนร่างของเขากลับทำให้ผู้คนรู้สึกต่ำต้อยอย่างช่วยไม่ได้
ดวงตาของชายหนุ่มที่มาจากตระกูลชนชั้นสูงพลันเบิกกว้างขึ้นมา เมื่อมองเห็นชายหนุ่มคนนั้น
นั่นเขา! ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้?!