ณ ลานศิลาใต้ต้นหลิว
สายลมเย็นลูบไล้เงาไม้ ผ่านใบหลิวดุจบทเพลงโบราณที่ไม่มีถ้อยคำไป๋อวี้นั่งอยู่ใต้เงาไม้
ผิวขาวดุจหยกเปล่งประกายใต้แสงแดดที่ลอดผ่านกิ่งก้าน ในมือเขาถือหยกสองชิ้นที่เหมือนกันราวกับเป็ชิ้นเดียวกัน
ข้างตัวนั้น มีพี่สาวฝาแฝด ไป๋ฮวานั่งคุกเข่าอย่างสง่างาม ดวงตากลมโตเต็มไปด้วยความสงสัย
"น้องชาย...หยกสองชิ้นนี้"
เสียงนุ่มหวานแว่ว แววตากะพริบพราวระยับไป๋อวี้คลี่ยิ้มบางๆที่มุมปาก แค่คิ้วคมขมวดเข้าหากัน
"สิ่งที่เกี่ยวพันกับโชคชะตาของข้า" เขาว่าพลางหยกสองชิ้นเล็กๆ ไปมา หนึ่งชิ้นสีขาวอมเขียวอ่อน รูปร่างประณีตคล้ายกลีบดอกเหมย
อีกชิ้นหนึ่งสีฟ้าเทาเรื่อๆ เหมือนละอองหมอกในยามเช้าตรู่แต่ก็แกะสลักเป็รูปดอกเหมยเช่นกัน
ไป๋ฮวาเบิกตากว้าง มือน้อยๆ ชะงักกลางอากาศ ราวกับกลัวทำให้หยกงดงามนั้นมัวหมองไม่กล้าหยิบจับ
"นี่คือ..." ถามอย่างแ่เบา
"หยกชิ้นหนึ่ง เป็ของท่านแม่กับท่านพ่อ อีกชิ้นหนึ่ง...เป็ของหญิงอัปลักษณ์เมื่อครู่
เสียงของไป๋อวี้มีแววคล้ายกำลังเล่าเื่ตำนานเก่าแก่เขาค่อยๆหยิบหยกทั้งสองขึ้นมา พลิกมือประสานแนบกันอย่างแ่เบา
“ติ่งมันประสานกันได้ด้วยพี่สาวน่าแปลกเสียจริง”
เสียงกระทบเบาๆราวระฆังใบจิ๋วพลันดังขึ้น ปรากฏว่า...หยกสองชิ้นนั้น มีรอยบากลึกที่เมื่อนำมาเทียบกันแล้ว
กลับประสานเป็ลวดลายเดียวกันได้อย่างพอดิบพอดีและในลวดลายนั้น...เป็ภาพกลีบดอกเหมยร่วงโปรยปราย ล้อมรอบตัวอักษรจีนตัวหนึ่ง
ตัวอักษร "พัน" (พันธนาการ) ดั่งถูกกำหนดเอาไว้แล้วว่าจะต้องผูกพันกัน...ไม่ว่าสรวง์หรือพื้นพิภพจะสั่นไหวก็ตาม
"เ้ากบน้อยเ้าคิดว่ามันหมายความว่าอย่างไร” ไป๋ฮวาถามเสียงแ่ ลมหายใจสะดุดเล็กน้อย
ไป๋อวี้ทอดสายตามองหยกที่แนบชิดกันในมือ คิ้วคมขมวดเข้าหากัน
“ข้าไม่รู้ เราจะต้องหาคำตอบ ..ท่านพี่ท่านต้องช่วยข้าหญิงอัปลักษณ์คนนั้นจริงหรือหลอกไม่อาจแยกแยะ”
ไป๋ฮวาหลุบตาลงมองหยกในมือน้องชาย
"เช่นนั้น...การพบกันในวันนี้ ไม่ใช่เื่บังเอิญเลยหยิงคนนั้นนางจงใจให้เกิดเื่บังเอิญนี่ขึ้น"
เสียงไป๋ฮวาวิเคราะห์ด้วยเหตุและผลไป๋อวี่หัวเราะในลำคอแ่เบา
“หญิงอัปลักษณ์นั่นอาจตั้งใจให้ข้าสนใจนางรู้ว่าข้าคือบุตรชายของท่านอ๋องไร้พ่าย” สีหน้าเย้ยหยัน
"อาจเป็พรหมลิขิต…”
“พี่สาวท่านอย่าพูดแบบนี้หญิงอัปลักษณ์เช่นนนางไม่ใช่พรหมลิขิตของข้าแน่”
“เ้ากำลังดูแคลนนางมองคนแค่เพียงรูปลักษณ์ภายนอก” ไป๋ฮวาดุน้องชายเบาๆ แต่ในใจกลับคิดว่า หรืออาจเป็แผนการของบิดามารดาที่ซุกซ่อนมานาน
“ช่างเถอะจะอย่างไรก็ช่าง แต่สุดท้าย...หัวใจของเ้า ก็ยังเป็ของเ้าที่ต้องเลือกเอง"
หยกสองชิ้นยังแนบสนิทอยู่ในมือไป๋อวี้ ราวกับกระซิบเตือนถึงบางอย่างในอดีตกาล ท่ามกลางโลกที่เปลี่ยนแปลงไม่หยุด แต่พันธะหนึ่งนั้น...ยังคงไม่แปรเปลี่ยนไป
“เสียเวลาเรามาเที่ยวตลาดแตเอาเวลาไปคิดถึงเื่ของหญิงอัปลักษณ์คนนั้นเดี๋ยวจะหมดสนุก ไปกันเถอะพี่สาว” ไป๋อวี้คว้าข้อมือไป๋ฮวาเดินไปยังย่านตลาด
ฟ้าสีครามเจือไอแดดอุ่นยามสาย ลมโบกไล้กลิ่นหอมของผลไม้สุกปลั่ง
เสียงพ่อค้าแม่ขายร้องเรียกแข่งกันเจื้อยแจ้ว ฝูงชนหลากหลายในอาภรณ์สีสดคลาคล่ำไปทั่วกลางท่ามกลางผู้คนที่สับสนวุ่นวายนั้น
สองพี่น้องร่วมสายโลหิต ไป๋อวี้บุรุษหนุ่มรูปงามในอาภรณ์ขาวสะอาดดังหยก
กับพี่สาวฝาแฝด ไป๋ฮวา หญิงงามผู้มีรอยยิ้มพรายประหนึ่งบุปผาแรกแย้มทำให้ผู้คนต่างหยุดมองนางเมื่อยามเดินผ่าน
"พี่สาวพี่สาว นั่นขนมงาดำที่ข้าโปรดปรานที่สุด"
ไป๋อวี้ชี้นิ้วอย่างตื่นเต้น จูงแขนพี่สาวก้าวลัดเลาะไปยังร้านขนมหวาน ไป๋ฮวาหัวเราะเบาๆ ดวงตาเปล่งแสงอ่อนโยน
"อย่าเผลอจับขนมหมดร้านเขาเสียก่อนล่ะ เ้าน้องชายตัวร้าย"
แต่ก่อนที่มือเล็กจะคว้าได้ เสียงม้าสองสายก็ดังกระหึ่มมาแต่ไกล
สายตาทั้งสองเหลือบแลเห็นไท่จือเว่ยจิ้น บุรุษหนุ่มในชุดครามเข้ม เจิดจ้าเหมือนดวงตะวันยามเช้า
หยิ่งยโสแต่ ไม่ไร้น้ำใจ รอยยิ้มของเขาราวกับระบายกลิ่นชากุหลาบจางๆ และอีกคนหนึ่ง ไท่จือซ่างหลาง
สง่างามเฉียบคมในชุดม่วงเทา เจือกลิ่นอายของเงาจันทร์ ดวงตาเรียวยาวคมกริบ ใต้รอยยิ้มสงบนิ่งมีประกายเย้าแหย่เ้าเล่ห์
พวกเขาต่างลงจากหลังม้าแทบจะพร้อมกันเพราะควบม้าแข่งกันมานั่นเอง
สายตาทั้งคู่ต่างทอแสงเมื่อเห็นหญิงงามในดวงใจ
"ไป๋ฮวา เ้ามาที่นี่ได้อย่างไร" เว่ยจิ้นก้าวยาวๆ เข้ามาหาพูดด้วยน้ำเสียงที่พยายามจะฟังดูนิ่งขรึม
แต่ไท่จือซางหลางก้าวแซงหน้าขึ้นมา หรี่ตามองเย้าๆ
"ช่างบังเอิญยิ่งนัก...หรือตั้งใจ ข้าคิดว่าเว่ยจิ้นคงตามกลิ่นขนมงาดำมาถึงนี่หรอกกระมัง"
เว่ยจิ้นเลิกคิ้ว หัวเราะหึในลำคอ
"แล้วเ้าล่ะ ซางหลาง กลิ่นขนมหรือกลิ่นไป๋ฮวาที่เ้าตามมา"
ไป๋อวี้ที่ยืนกอดอกอยู่ข้างๆพ่นลมหายใจพลางส่ายหน้า
"ทั้งสองคนนี่ นิสัยเดิมไม่เปลี่ยนชอบหาเื่กันเหมือนสมัยยังตัวกะเปี๊ยกไม่ผิดเพี้ยน"
ไป๋ฮวาแอบยิ้ม แก้มแดงระเรื่อก้าวขึ้นมาข้างหน้า พลางย่อกายให้ทั้งสองคนอย่างไม่เสียมารยาท
"หม่อมฉันบังเอิญมาเดินตลาดกับท่านเ้ากบน้อยเ้าค่ะ ไม่ได้คาดว่าจะได้พบไท่จือทั้งสองที่นี่"
เสียงใสนุ่มนวล ดุจสายลมพลิ้วพัดในฤดูวสันต์
ซางหลางมองไป๋ฮวาด้วยรอยยิ้มบางเบา แต่แฝงความอ่อนโยน
"บังเอิญ...หรือพรหมลิขิตกันแน่"
เว่ยจิ้นหัวเราะเบาๆ
"หากเป็พรหมลิขิต เช่นนั้นของข้าก็คือพรหมลิขิตเช่นกัน"
สองสายตาคมกริบประสานกันกลางตลาด ฝุ่นเบาบางลอยฟุ้งใต้แสงแดด
บรรยากาศจางๆของมิตรภาพเก่าแก่ระหว่างบิดามารดาของพวกเขา ล่องลอยเป็ฉากหลังเงียบๆแต่เบื้องหน้านั้นสายตาพิฆาตห้ำหั่น
ไป๋อวี้เอียงคอมองพี่สาว แล้วส่ายหน้าหนักๆพลางยักคิ้วให้สองไท่จือ
"หากพวกเ้ายังเถียงกันไม่หยุด ข้าจะพาพี่ข้าหนีเสียเดี๋ยวนี้"
คำพูดนั้นเรียกเสียงหัวเราะจากทั้งสองไท่จือ