มันเป็กระบี่ชั้นเลิศ
ตัวกระบี่ยาวสองฉื่อหนึ่งชุ่น ทำจากเหล็กชั้นเลิศ แข็งแกร่ง ทว่าบางราวปีกจักจั่นด้ามกระบี่มีพู่สีฟ้าห้อยอยู่อย่างงดงาม
มันพุ่งเข้าหาพร้อมกับลำแสงเย็นะเื
ซูฉางอันเบิกตากว้าง เขาเหวี่ยงดาบในมือออกไปโดยสัญชาตญาณ ทำให้รับกระบี่ที่พุ่งเข้าหาได้ทันแต่ถึงกระนั้นพลังจากกระบี่ก็ยังผลักให้เขาถอยกลับออกไปหลายจั้ง จึงตั้งหลักได้ในที่สุด
“คุณชายซู การประลองครั้งนี้ล้วนสำคัญกับทุกคนทั้งสิ้น”เสียงของกู่เซี่ยนจวินดังขึ้น
ซูฉางอันช้อนสายตามองไปยังสตรีตรงหน้าผู้ซึ่งกำลังจับกระบี่ยาวเอาไว้ในมือ และมีพลังแห่งคมกระบี่พุ่งประกายไปทั่วร่าง
ความเย็นะเืบนใบหน้าของนาง เขารู้สึกไม่คุ้นเอาเสียเลย
เขาพยายามจะพูดบางอย่างออกมา แต่ลำแสงแห่งคมกระบี่กลับพุ่งเข้าหาอีกครั้งเสียก่อน
เขายกดาบขึ้นมา แต่พอคิดอีกที เขาพลันลดดาบลง เอียงตัวหลบปลายกระบี่ที่พุ่งตรงเข้ามาหาแทน
“เซี่ยนจวิน!”เขาะโขึ้น ขณะถอยกรูดกลับไปทางด้านหลังด้วยความรวดเร็ว
ทว่าสตรีในชุดขาวกลับไม่มีท่าทีจะปล่อยเขาไปง่ายๆ นางเขย่งเท้าเพื่อะโหมุนตัวพลางเหวี่ยงกระบี่ออกไปอย่างว่องไว
ในที่สุดใบหน้าของซูฉางอันก็เย็นะเืลงเช่นกัน ดาบของเขาส่องประกายแสงขึ้นขณะที่สายฟ้าสีม่วงและเพลิงศักดิ์สิทธิ์ลอยวนเวียนอยู่รอบกายปานเป็ฝูงอสรพิษเขาคำรามขึ้นเบาๆ พร้อมกับหยุดร่างที่กำลังถอยกรูดของตัวเองเอาไว้พลันพลังแห่งคมดาบปะทุขึ้นอย่างรุนแรง
จู่ๆ กู่เซี่ยนจวินก็ยกมุมปากขึ้นจนกลายเป็รอยยิ้มบางๆ ทันใดนั้นร่างของนางเปลี่ยนมาล่องลอยและพลิ้วไหว ก่อนเงากระบี่นับร้อยจะผลิออกจากร่างบางราวกับกลีบบงกช
กระบวนท่าที่เจ็ดของวิชามาลุตวสันต์... กระบี่บงกช
ซูฉางอันจมเข้าสู่ความตกตะลึง นี่เป็กระบวนท่าที่แข็งแกร่งและยากมากที่สุดของวิชามาลุตวสันต์เขายังฝึกท่านี้ไม่สำเร็จ เซี่ยโหวฟ่งอวี้ก็ไม่ต่างกัน เดิมทีพวกเขาคิดว่ากู่เซี่ยนจวินก็ยังฝึกไม่สำเร็จเช่นกันแต่ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว ที่แท้ ระหว่างฝึกกระบี่ร่วมกัน กู่เซี่ยนจวินกลับจงใจแสร้งทำเป็เก้งก้างแกล้งทำว่ายังฝึกวิชาไม่สำเร็จเพียงเท่านั้น
และสิ่งที่ทำให้ซูฉางอันรู้สึกเศร้าใจมากที่สุดคือปลายกระบี่ของกู่เซี่ยนจวินกำลังพุ่งตรงมาที่ใบหน้าของเขา... มันเป็ท่าพิฆาตเป็ท่าสังหาร
ทันใดนั้น รังสีสังหารพลันะเิขึ้นกลางหัวใจของเขาอย่างประหลาด
“คำราม!”
เขาส่งเสียงร้องที่ราวกับคำรามออกมา
ลำแสงแห่งพลังประกายเจิดจ้าออกมาจากร่างผอมพลันดาบขนาดใหญ่ที่ถูกสร้างขึ้นด้วยพลังแห่งดาบก็ถูกเหวี่ยงลงไปยังเบื้องล่างอย่างรุนแรง
ตูม!
เสียงะเิกระหึ่มขึ้นกลางตำหนักไท่เหอ
ภาพกลีบบงกชที่กู่เซี่ยนจวินสร้างขึ้นเมื่อครู่ถูกดาบขนาดั์ของซูฉางอันทำลายจนแหลกสลายลงในพริบตา
ทว่าใบหน้าของนางกลับไร้ซึ่งความตื่นตระหนก นางกลับประกายรอยยิ้มออกมามากขึ้นเสียอีก
ดาบของซูฉางอันทำลายกลีบบงกชลงจนสิ้นซาก บงกชแห่งกระบี่ของกู่เซี่ยนจวินไม่ได้แข็งแกร่งอย่างที่ซูฉางอันคิดเอาไว้ตรงกันข้าม มันเป็เหมือนส้มสุกจนถึงที่สุด ซึ่งแม้ภายนอกยังคงสวยงาม ทว่าภายในกลับเละและเปราะไม่มีชิ้นดี
ซูฉางอันรู้สึกว่ายังไม่ทันได้ออกแรงมากมายด้วยซ้ำบงกชอันแสนงดงามแหลกสลายลงเสียแล้ว
บัดนี้ ดาบของซูฉางอันพุ่งไปประชิดศีรษะของกู่เซี่ยนจวินแล้วแสงประกายจากคมดาบทาบส่องลงบนใบหน้างดงามของกู่เซี่ยนจวินและรอยยิ้มที่มุมปากของคนตรงหน้าก็ทำให้ซูฉางอันรู้สึกแน่นที่หัวใจอย่างประหลาด
เขาร้องคำรามขึ้นในลำคอ ซูฉางอันพยายามจะเก็บดาบกลับมาแต่บัดนี้แสงจากคมดาบของเขาพุ่งไปประชิดร่างบางมากเกินไป ทุกอย่างสายไปเสียแล้ว
แม้เขาจะเก็บพลังที่แฝงอยู่ในดาบกลับไปได้ถึงเก้าในสิบ แต่สุดท้ายคมดาบของเขาก็ยังเจาะผ่านร่างของกู่เซี่ยนจวินจนได้
ใบหน้าของกู่เซี่ยนจวินที่สะท้อนอยู่ในดวงตาของเขาเพิ่มขนาดมากขึ้นเรื่อยๆจนในที่สุด ร่างนั้นก็ล้มตรงมาที่ท่อนแขนของเขา ซูฉางอันยื่นมือออกไปข้างหน้าด้วยหวังว่าจะรับกู่เซี่ยนจวินที่ได้รับาเ็เอาไว้ แต่ท่อนแขนกลับชะงักค้างอยู่กลางอากาศวินาทีนั้น เขาตระหนักขึ้นมาได้ทันที ว่าตนทำร้ายนางลงไปเสียแล้วร่างของเขาชะงักค้างในชั่วพริบตา เวลาคล้ายจะผ่านไปอย่างเชื่องช้าเหลือเกิน แต่เขายังรับรู้ถึงกลิ่นหอมจากร่างตรงหน้าได้ชัดเจนทันใดนั้น เขากลับรู้สึกแยกแยะไม่ออกว่าหญิงสาวจอมทะเล้นที่เคยฝึกวิชาด้วยกันเป็ประจำกับสตรีที่เต็มไปด้วยรังสีสังหารเมื่อครู่ใครเป็ตัวตนที่แท้จริงของกู่เซี่ยนจวินกันแน่
“คุณชายซู เลิกทำตัวอ่อนโยนและอบอุ่นแบบนี้เสียทีเถอะ ท่านที่เป็เช่นนี้จึงจะใช้ชีวิตอยู่ในเมืองฉางอันต่อไปได้” นางกระซิบแบบนั้นที่ข้างหูของซูฉางอันก่อนจะหมดสติลง
วินาทีนั้น ซูฉางอันรู้สึกราวหัวใจหยุดเต้นลงไปชั่วขณะ เขาไม่เข้าใจไม่เข้าใจเอาเสียเลย ว่าทำไมเื่ถึงกลายเป็แบบนี้ไปได้
เขาแค่อยากช่วยศิษย์พี่แค่อยากเห็นหรูเยี่ยนมีความสุขด้วยตาของตัวเองเท่านั้น
แต่สุดท้าย เขากลับเกือบพลั้งมือสังหารกู่เซี่ยนจวินไปเสียแล้ว
สาวใช้หลายคนเข้ามายกร่างของกู่เซี่ยนจวินที่กำลังหมดสติออกไป
กู่เซี่ยนจวินเป็โหวเยแห่งตระกูลกู่ ซูฉางอันเป็ศิษย์หลานของอวี้เหิงไม่มีผู้ใดกล้าปล่อยให้ใครคนใดคนหนึ่งในนี้เป็อะไรไปเด็ดขาดหมอที่ดีที่สุดของแผ่นดินต้าเว่ยถูกเรียกมารออยู่นอกประตูตำหนักั้แ่แรกแล้วทันทีที่กู่เซี่ยนจวินถูกยกไปยังห้องซึ่งถูกเตรียมเอาไว้แต่แรก หมอทั้งหลายต่างกรูกันเข้าไปตรวจอาการของนางทันที
ทางด้านชนชั้นสูงและขุนนางในตำหนักต่างเริ่มซุบซิบวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆนานา ได้ข่าวว่าศิษย์ของมั่วทิงอวี่ผู้นี้ประหลาดนัก เพราะแม้นมีพลังอยู่เพียงระดับหลอมจิตแต่กลับมีพลังในการต่อสู้ที่แข็งแกร่งเหนือใคร แต่แม้จะได้ยินแบบนั้นมาก่อนแล้วพวกเขาคิดไม่ถึงว่า แม้แต่ยอดอัจฉริยะแห่งแผ่นดินทางเหนือเช่นกู่เซี่ยนจวินที่ได้ชื่อว่ามีพร์พอๆกับมู่กุยอวิ๋น กลับพ่ายต่อซูฉางอันอย่างง่ายดายและรวดเร็วเพียงนี้
ซูฉางอันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเดินออกมาจากลานประลองได้อย่างไรเขารู้สึกสติหลุดลอยไปชั่วขณะ ขณะที่ประโยคสุดท้ายของกู่เซี่ยนจวินยังสะท้อนอยู่ในโสตประสาทไม่จาง
เขาไม่เข้าใจว่ามันหมายความว่าอย่างไรกันแน่ บางทีอาจเป็เพราะลึกๆในใจเขารู้สึกต่อต้านความหมายของคำพูดนั้นมาั้แ่แรกแล้วก็ได้
“ฉางอัน เ้าไม่เป็ไรใช่ไหม?” เซี่ยโหวฟ่งอวี้เดินเข้าไปหาอย่างเป็ห่วงเป็ใยด้วย้าจะประคองร่างของซูฉางอันเอาไว้
แต่สายตาที่ซูฉางอันมองมาที่นางในเวลานี้ กลับทำให้นางรู้สึกหนาวสั่นไปทั้งตัวมือที่ยื่นออกมาชะงักค้างอยู่กลางอากาศในพริบตา
นางไม่เคยเห็นสีหน้าแบบนี้บนใบหน้าของซูฉางอันมาก่อน ดวงตาที่เคยเต็มไปด้วยชีวิตชีวาทั้งยังบริสุทธิ์เกินใครคู่นั้น เย็นะเืลงไปอย่างช้าๆราวกับเ้าของร่างถูกอะไรบางอย่างกระชากิญญาออกไปเช่นนั้น
วินาทีนั้น นางก็ตระหนักได้ว่า ตนได้กระทำสิ่งที่ต้องรู้สึกเสียใจตลอดชีวิตลงไปเสียแล้วและดูเหมือนนี่จะเป็เพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น
“การประลองยกที่สาม!”
เสียงแหลมๆ ของขันทีดังขึ้นอีกครั้ง
นี่เป็การประลองยกสุดท้ายของวัน และเป็ยกตัดสิน
ความจริง หากเป็ในครั้งอื่นๆ เื่แพ้หรือชนะในการประลองหาสำคัญไม่แต่สิ่งที่สำคัญเป็คนที่ยืนอยู่เื้ัของคนที่ขึ้นประลองในครั้งนี้ต่างหากและนั่นทำให้การแพ้ชนะในครั้งนี้แตกต่างไปจากทุกครั้ง
เดิมพันด้วยชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่ง สิ่งที่ดูเหมือนจะไม่สำคัญอะไรนี้กลับส่งผลไปถึงการตัดสินใจสุดท้ายของแม่ทัพเป่ยทงเสวียนผู้เป็เทพนักรบแห่งแผ่นดินต้าเว่ยว่าท้ายที่สุดแล้วเขาจะเลือกอยู่ข้างใดกันแน่
ดังนั้น ขุนนางทุกคนภายในตำหนักจึงตื่นตัวกันมาก ต่างมองไปที่พื้นที่ว่างกลางตำหนักเพื่อรอให้การประลองยกสุดท้ายมาถึงอย่างใจจดใจจ่อ
ผู้ที่เข้าสู่ลานประลองเป็อันดับแรก เป็เทพนักรบเ้าของฉายาัคำรามเป่ยทงเสวียน
เขาในชุดเกราะสีดำ ก้าวอย่างสม่ำเสมอมาหยุดอยู่กลางตำหนัก ยืนประสานมือเอาไว้ทางด้านหลังพลางมองไปที่ความว่างเปล่าเบื้องหน้าตาไม่กะพริบ ราวกับรูปสลักน้ำแข็งอันเย็นะเืไม่มีผิด
ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าเป่ยทงเสวียนเป็คู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งมาก บัดนี้เขามีพลังอยู่ในระดับสั่งฟ้าทั้งยังได้รับการแต่งตั้งจากดาวจื่อเวยอีกเรียกได้ว่านอกจากยอดฝีมือที่มีพร์สูงจนเหนืุ์แค่ไม่กี่คนในลำดับผืนฟ้าแล้วก็ไม่มีคนรุ่นใหม่ผู้ไหนสามารถรับมือหรือเทียบชั้นกับเขาได้อีกต่อไปและบังเอิญเหลือเกินที่ยอดอัจฉริยะเปี่ยมพร์ผู้เก่งเกินมนุษย์ที่ว่า ล้วนไม่ได้อยู่ในเมืองฉางอันเลยสักคน
ดังนั้น ขุนนางและชนชั้นสูงในตำหนักจึงคิดไม่ออกเลยว่าองค์ชายห้าจะส่งใครมารับมือกับชายผู้แสนเ็าตรงหน้าได้
แต่ในตอนนั้นเอง จู่ๆ หอกยาวสีแดงฉานก็พุ่งลงมาจากเบื้องบนแล้วปักตรงดิ่งอยู่กลางตำหนัก
คนทั้งหลายหัวใจกระตุกวูบ ชื่อหนึ่งผุดขึ้นในหัวอย่างฉับพลัน จากนั้นตามด้วยชื่อของมหาอำนาจอีกคนที่เป็ทัพหลังของคนผู้นี้ ผู้ทำให้พวกเขาต่างสูดหายใจเข้าลึกด้วยความหวาดกลัวอย่างอดไม่ได้เดิมที พวกเขาคิดว่าองค์ชายใหญ่ที่ได้รับการสนับสนุนจากซือหม่าสวี่ตระกูลกู่แห่งแผ่นดินทางเหนือทั้งยังดึงเป่ยทงเสวียนที่กำลังจะได้เป็ใหญ่ในซีเหลียงมาเป็พวกได้ต้องชิงบัลลังก์ไปครองได้แน่นอน แต่คิดไม่ถึงเลยว่าองค์ชายห้าจะได้รับการสนับสนุนจากชายผู้นั้นดูเหมือนตอนนี้ ทุกอย่างจะถูกเริ่มขึ้นใหม่อีกครั้งการต่อสู้ยกใหม่กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว และผลการแพ้ชนะของาในครั้งนี้ก็กลับไปเป็เื่ที่ไม่แน่นอนอีกครั้ง
ชายในชุดเสื้อผ้าเนื้อดีสีดำทะยานขึ้นไปกลางอากาศราวกับพญาอินทรีก่อนจะไปอยู่บนหอกซึ่งปักดิ่งอยู่กลางตำหนักอย่างสง่างาม เขายืนด้วยท่าทางมั่นคงแม้จะยืนด้วยขาเพียงข้างเดียวก็ตาม
“ข้าน้อยเป่ยทงเสวียน” เป่ยทงเสวียนเอ่ย ขณะที่ใบหน้ายังคงความเ็าเอาไว้ดังเดิมไม่ต่างไปจากบึงน้ำที่ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นย่อมไม่มีทางสร้างคลื่นบนผิวน้ำได้เลย
“มู่กุยอวิ๋น” ชายคนนั้นกล่าวตอบ
“บุตรชายของเสนาบดี?” เป่ยทงเสวียนถามพลางขมวดคิ้วมุ่น
“อืม” ชายผู้นั้นพยักหน้าเบาๆ พลันแสงหนึ่งก็ประกายขึ้นในแววตาและทันทีร่างนั้นเริ่มเคลื่อนไหวหอกยาวที่เคยปักอยู่บนพื้นก็พุ่งเข้ามาอยู่ในมือใหญ่อย่างรวดเร็วราวกับหอกนั้นมีชีวิตจิตใจเป็ของตัวเองอย่างไรอย่างนั้น
ความรวดเร็วในการเคลื่อนไหวของเขาถูกเพิ่มขึ้นจนถึงขีดสุดเพียงพริบตาเดียว ร่างนั้นเข้าประชิดตัวเป่ยทงเสวียนได้เสียแล้ว ทันใดนั้น เงาหอกสีแดงนับไม่ถ้วนพลันปรากฏขึ้นและพุ่งโจมตีเป่ยทงเสวียนจากทั่วทุกสารทิศในพริบตา
ทว่าร่างของเป่ยทงเสวียนกลับยืนนิ่งประหนึ่งรูปปั้น ริมฝีปากแดงราวว่าถูกฉาบด้วยเืสดๆเปิดออกน้อยๆ ก่อนเสียงหนึ่งจะถูกเปล่งออกมา
“กระบี่!”
ทันใดนั้น กระบี่ที่เปล่งประกายไปด้วยแสงแสนเยือกเย็นกว่าสิบเล่ม ปรากฏอยู่กลางอากาศเื้ัเขา
“ไป!”
เขาพูดขึ้นอีกครั้ง
เมื่อสิ้นเสียง กระบี่มากกว่าสิบเล่มก็กลายเป็ลำแสงแล้วพุ่งฝ่าอากาศออกไป พุ่งตรงเข้าไปปะทะกับหอกที่มู่กุยอวิ๋นส่งเข้ามาอย่างแม่นยำ
“ัเหินเวหา! ” มู่กุยอวิ๋นรับรู้ถึงพลังอันน่าสยดสยองที่แฝงอยู่ในลำแสงแห่งกระบี่ซึ่งกำลังพุ่งเข้ามาหาในทันทีเขาคำรามเสียงดังสนั่น พลันเงาัก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ มันร้องคำรามอย่างทรงพลังก่อนจะกลายเป็ลำแสง แล้วพุ่งเข้าไปพันรอบหอกยาวในพริบตา
ลำแสงแห่งกระบี่อันแสนแข็งแกร่งของเป่ยทงเสวียนแตกสลายลงเล่มแล้วเล่มเล่าทันทีที่ปะทะเข้ากับลำแสงแห่งับนหอกแดง
เขาขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะหัวใจกระตุกวูบ แล้วพุ่งถอยออกไปด้านหลังหลายจั้งราวกับว่าวถูกตัดสายก็ไม่ปาน จากนั้นจึงประกบนิ้วชี้กับนิ้วกลางเข้าด้วยกันแล้วใช้นิ้วทั้งสองแตะลงไปที่กลางหน้าผากของตัวเอง
“จิตกระบี่!”ทันใดนั้น ลำแสงสีดำก็ปะทุออกมาจากกลางหน้าผากเป็จังหวะเดียวกับที่เขาใช้มือขวาคว้าไปที่กลางอากาศแล้วดึงกระบี่ที่เปล่งประกายไปด้วยแสงริบหรี่ออกมาจากกลางหน้าผากในเวลาต่อมา
“ไป!”เขาพูดขึ้นอีกครั้งด้วยเสียงที่แ่เบา
ทันทีที่สิ้นเสียง สายลมบ้าคลั่งปะทุขึ้นทั่วตำหนักไท่เหอ โหมกระหน่ำรุนแรงทำให้สุราอาหารบนโต๊ะของทุกคนรวมไปถึงม่านที่ห้อยอยู่สองข้างตำหนักปลิวสะบัดไปตามๆ กัน
สายลมต่างไปรวมกันที่กระบี่เล่มนั้นราวกับมีชีวิตจิตใจกลายเป็สายลมที่มีเงาสีเทา และมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าในเสี้ยววินาที
เสียงหวีดหวิวของสายลมดังกึกก้อง เป็จังหวะเดียวกับที่กระบี่เล่มนั้นทะยานออกไป
มู่กุยอวิ๋นที่ยังไม่ทันทำลายลำแสงแห่งกระบี่ของเป่ยทงเสวียนลงจนหมดหน้าถอดสีไปในทันทีเขาเก็บหอกของตัวเองกลับมากันเอาไว้เหนืออกอย่างไม่รีรอ
แต่การโจมตีของเป่ยทงเสวียนทั้งรุนแรงและแข็งแกร่งเหลือเกินเพราะแม้มู่กุยอวิ๋นจะรับการโจมตีในครั้งนี้เอาไว้ได้ทันเวลาแต่แรงกระแทกก็ยังทำให้ร่างของเขาลอยถลาถอยออกไปไกลอยู่ดีจนเมื่อถอยถลาไปสุดหน้าประตูตำหนักแล้ว ร่างนั้นจึงหยุดลงและตั้งหลักได้ในที่สุด
“เ้าแข็งแกร่งมาก” เป่ยทงเสวียนถ่ายทอดคำสั่งไปยังอาวุธคู่กายด้วยพลังจิตกระบี่ของเขาไม่ได้พุ่งตามเข้าไปโจมตีศัตรูต่อ แต่กลับลอยวนเวียนอยู่รอบตัวเป่ยทงเสวียนผู้เป็เ้าของราวกับนกน้อยที่บินวนอยู่รอบตัวเ้านายอย่างไรอย่างนั้น “แต่เ้ายังหนุ่มเกินไป”
ถูกต้อง มู่กุยอวิ๋นแข็งแกร่งมาก
เขามีพลังอยู่ในระดับคุมพิภพทั้งยังถูดจัดให้เป็อันดับหนึ่งในอันดับปฐี แต่ที่น่าสนใจก็คือ ผู้ที่ถูกจัดให้อยู่ในอันดับที่สองรองจากเขามีระดับพลังด้อยกว่าเขามาก ต่อสู้กับเขาได้เพียงไม่กี่กระบวนท่าเท่านั้น
แต่อย่างไรเสีย เขายังอ่อนเยาว์เกินไปคือมีอายุเพียงยี่สิบสองปีเท่านั้น ผิดกับเป่ยทงเสวียน เขาอายุมากกว่าสามสิบปีแล้วเขาอายุมากกว่ามู่กุยหยุนถึงสิบปี และในเวลาสิบปี การฝึกฝนของเขาย่อมมากพอจะเติมเต็มความเสียเปรียบด้านพร์ที่เขาด้อยกว่ามู่กุยอวิ๋นได้แล้ว
“เ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า” เป่ยทงเสวียนส่ายหน้าในที่สุดเขาก็ประกายความรู้สึกออกมาทางสีหน้าจนได้ ความรู้สึกเช่นนั้น คล้ายจะเป็ความเสียดายที่เกิดขึ้นเพราะบางสิ่งแต่ก็เหมือนกำลังเคร่งเครียดกับเื่บางอย่างอยู่เช่นกัน
“อย่างนั้นรึ? ” มู่กุยอวิ๋นกลับมายืนตระหง่านอีกครั้ง
“แล้วหากนับรวมเ้านี่ด้วยละ? ” เขากระตุกมือที่ถือหอกเล็กน้อยเพียงเท่านั้น หอกยาวสีแดงก็ถูกปักลงบนพื้นตำหนักอีกครั้ง เขายื่นมือขวาขึ้นไปคว้าหมับที่กลางอากาศแล้วดึงบางอย่างออกมาจากห้วงอากาศอันแสนว่างเปล่า
มันเป็กระบี่เล่มหนึ่ง!
กระบี่สีดำที่ตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตาย!
ซูฉางอันหน้าถอดสีไปในทันที เขาในตอนนี้มีสีหน้าย่ำแย่เหลือเกิน
แม้ซูฉางอันไม่เคยเห็นกระบี่เล่มนั้นมาก่อน แต่เขาก็รู้ได้ทันทีที่เห็นว่ามันคือกระบี่อะไร...
เพราะมันเป็กระบี่ที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาก
มันมีชื่อที่พิเศษเหนือผู้ใดอยู่
กระบี่ไน่เหอ...
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้