"หญิงหม้ายสวี?" ท่ามกลางกลุ่มคนมีคนร้องะโขึ้นด้วยความใ
หญิงหม้ายสวีถือเป็บุคคลล่องหนในหมู่บ้านเสี่ยวหนิว ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นนาง นางก็ไม่เคยข้องแวะกับผู้ใด หากไม่ใช่เพราะมีเด็กคนหนึ่งที่ตัวไม่ถึงหัวเข่าอยู่กับนาง เกรงว่านางคงไม่อาจมีชีวิตต่อไปได้แล้ว
ทว่าคิดไม่ถึง ว่าวันนี้หญิงหม้ายสวีจะออกหน้าเช่นนี้ ช่างเป็เื่ที่พบเจอยากยิ่งนัก
เวลานี้หญิงหม้ายสวียืนอยู่ด้านหน้าสุดของฝูงชน ยามเผชิญหน้ากับบรรดาผู้าุโ นางดูเป็คนหัวอ่อนคล้อยตามง่าย คล้ายว่าหากเกิดเื่ไม่คาดคิดบางอย่างขึ้นนางก็จะวิ่งหนีทันที แต่โชคดีที่ว่าแม้นางจะดูเหมือนเป็คนเช่นนี้ แต่นางกลับยังคงยืนอยู่ตรงนั้นด้วยความหนักแน่น เผชิญหน้ากับสายตาพิจารณาของบรรดาผู้าุโ
"เ้าบอกว่า เ้ามองเห็นเช่นนั้นหรือ?" ลุงสือโถวเอ่ยถาม
สายตามากมายจับจ้องเช่นนี้ ทำให้หญิงหม้ายสวีหวาดกลัวเล็กน้อย เสียงของนางแ่เบายิ่งกว่าเดิม
"ตอน...ตอนนั้นข้าขึ้นไปตัดฟืนบนหุบเขาทางตะวันออกของหมู่บ้าน เหตุเพราะฟืนหนักเกินไป ดังนั้นหลังจากลงมาจากหุบเขาข้าจึงนั่งพักที่ละแวกบ้านซ่งอวี้ จากนั้นข้าก็บังเอิญเห็น...บังเอิญเห็น..."
พูดถึงตรงนี้ นางก็หยุดนิ่ง แก้มของนางแดงก่ำ
เื่มาถึงขั้นนี้แล้วนางไม่อาจยอมแพ้กลางทาง ด้วยเหตุนี้หญิงหม้ายสวีจึงรวบรวมความกล้า "ข้ามองเห็นหวังกุ้ยถือถ้วยข้าวสารเอาไว้ในมือและพูดคุยกับซ่งอวี้ จากนั้นเขาก็พุ่งตัวเข้าหาซ่งอวี้ทำให้ซ่งอวี้ล้มลงบนพื้น หวังกุ้ยเห็นเช่นนั้นจึงรีบวิ่งหนี ข้าเดินเข้าไปดูซ่งอวี้ครู่หนึ่ง บนพื้นเต็มไปด้วยเื สีหน้าของซ่งอวี้ซีดขาวยิ่งนัก ข้าขวัญอ่อนกลัวว่านางจะเป็อะไรขึ้นมา ข้าจึงรีบวิ่งหนีไป"
หญิงหม้ายสวีเล่าเหตุการณ์ที่ตนเห็นคร่าวๆ ถึงแม้ในตอนหลัง การแกล้งทำเป็ไม่รู้และเพิกเฉยต่อเื่ที่เกิดขึ้นของนางจะทำให้คนมากมายบ่นในใจ แต่ทุกคนต่างรู้ดีว่าหญิงหม้ายสวีเป็คนขวัญอ่อน วันนี้นางรวบรวมความกล้าแล้วพูดความจริงเช่นนี้ ทำให้ทุกคนมองนางเปลี่ยนไปมาก
ลุงสือโถวพูดเสียงเคร่งขรึม "สิ่งที่เ้าพูดทั้งหมดคือเื่จริงหรือ?"
หญิงหม้ายสวีกัดริมฝีปาก จู่ๆ นางก็คุกเข่าด้านหน้าศาลบรรพชน แล้วพูดสาบาน "เสี่ยวเป่าคือลูกเพียงคนเดียวของข้า ทั้งยังเป็ชีวิตของข้า หากสิ่งที่ข้าพูดเมื่อครู่มีคำใดโกหก เช่นนั้นก็ขอให้ข้ากับลูกต้องแยกจากกัน!”
เสี่ยวเป่าคือทายาทเพียงคนเดียวของหญิงหม้ายสวี นางรักเสี่ยวเป่าราวกับแก้วตาดวงใจ วันนี้นางกล้าเอาเสี่ยวเป่ามาสาบาน เช่นนั้นก็หมายความว่าทุกอย่างที่นางพูดคือความจริง ไม่ได้พูดจาเหลวไหล
ลุงสือโถวได้ฟังเช่นนั้นก็พูดขึ้น "ในเมื่อหญิงหม้ายสวีเป็พยานแล้ว เช่นนั้นพวกเราตัดสินใจว่าขับไล่หวังกุ้ยออกจากหมู่บ้าน นับจากนี้ห้ามย่างกายเข้ามาในหมู่บ้านเสี่ยวหนิวแม้แต่ก้าวเดียว!”
หวังกุ้ยถึงกับหมดสติทันที เฉินต้าฮวาร้องห่มร้องไห้และร้องะโราวกับสามีตายจาก ลุงสือโถวไม่อาจทนดูต่อไปได้ จึงสั่งให้คนสองคนช่วยกันแบกหวังกุ้ยกลับเรือน
สำหรับเฉินต้าฮวาไม่ต้องลงโทษแล้ว หวังกุ้ยถูกขับไล่ออกจากหมู่บ้าน เฉินต้าฮวาที่เป็ภรรยาก็ต้องย้ายออกไปด้วยกัน ไม่ว่าจะลงโทษอะไรก็ไร้ความหมาย
เปิดศาลบรรพชนหลังจากผ่านมาห้าปี ขับไล่ชาวบ้านออกจากหมู่บ้านสองคน หลังจากนี้ไร้ที่พึ่งพิง ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ใดล้วนคือต่างแดน ถือเป็โทษร้ายแรงที่สุดของหมู่บ้านเสี่ยวหนิวแล้ว
หลังจากจบการเปิดศาลบรรพชนในครั้งนี้ ชาวบ้านต่างแยกย้ายกันกลับไป มีเพียงผู้าุโห้าคน ซ่งอวี้และหลี่เฉิงเท่านั้นที่ยังอยู่ในศาลบรรพชน ไม่ได้ออกไป
"ซ่งอวี้ เ้าวางใจได้แล้ว ต่อจากนี้หมู่บ้านเสี่ยวหนิวของพวกเราจะไม่มีคนประเภทเดียวกับหวังกุ้ยอีกแล้ว" ลุงสือโถวมองไปที่ซ่งอวี้แล้วพูด
แม้จะไม่อาจให้หวังกุ้ยชดใช้ด้วยชีวิต แต่ซ่งอวี้ทำความเข้าใจแล้ว รู้ว่าการที่คนคนหนึ่งถูกขับไล่ออกไปจากหมู่บ้าน ในยุคสมัยนี้ถือเป็การลงโทษร้ายแรง ถือว่านางช่วยเ้าของร่างเดิมแก้แค้นแล้ว ไม่มีเหตุใดต้องผูกใจเจ็บกับเื่นี้อีก
ซ่งอวี้พูดกับผู้าุโทั้งห้าคน "ข้าไม่มีบิดามารดาั้แ่เล็ก เพียงอยากจะอยู่ในหมู่บ้านเสี่ยวหนิวด้วยความสงบเท่านั้น ทว่าคิดไม่ถึง...เดิมทีข้าอยากจะเก็บเื่นี้ไว้ ไม่ทวงขอความยุติธรรม ซ่งอวี้ขอขอบคุณผู้าุโทั้งห้าคนด้วยเ้าค่ะ ขอบคุณพวกท่านที่ทวงคืนความยุติธรรมให้ข้า"
ลุงสือโถวพูดด้วยรอยยิ้ม "คนชั่วช้าเช่นนี้ แม้จะไม่ได้อยู่ในหมู่บ้านเสี่ยวหนิวของเราก็ย่อมมีจุดจบเช่นนี้เหมือนกัน ในเมื่อพวกข้าถูกแต่งตั้งเป็ผู้าุโของหมู่บ้านแล้ว เช่นนั้นเื่นี้คือหน้าที่ของพวกข้า เ้าไม่ต้องขอบใจพวกข้า"
แม้จะพูดเช่นนี้ แต่ซ่งอวี้ก็ขอบคุณผู้าุโทั้งห้าคนอีกครั้ง แล้วค่อยจับมือหลี่เฉิงเดินกลับเรือนด้วยกัน
ซ่งอวี้ปิดประตูลง ถามเขาอย่างไม่อาจทนรอต่อไปได้ "ท่านวางแผนมานานเพียงใด? รีบสารภาพออกมา ห้ามโกหกข้า"
นางสงสัยยิ่งนัก หลี่เฉิงวางแผนการแต่ละขั้นได้อย่างไร ทำให้ทุกคนอยู่ในแผนการได้อย่างไร ระหว่างทางนางอยากจะถาม แต่เพราะมีชาวบ้านเดินขวักไขว่ไปมา กลัวว่าหากพวกเขาได้ยินเข้า จะทำให้เกิดเื่ขึ้นอีก ดังนั้นนางจึงอดทนมาโดยตลอด กระทั่งกลับมาถึงเรือน
หลี่เฉิงแกล้งทำเป็ไม่เข้าใจ "คนที่นินทาว่าร้ายคือพวกเขา เ้ามาถามข้าเพื่อการใด?"
หึๆ ข้าเชื่อในความร้ายกาจของท่านแล้วจริงๆ
ซ่งอวี้หัวเราะเยาะโดยไม่ซ่อนเร้นแม้แต่น้อย "ตอนตัดสินโทษท่านยอมรับอย่างตรงไปตรงมา แต่ตอนนี้กลับปฏิเสธ มีความหมายหรือ?" แววตาของนางยากจะซ่อนเร้นความดีใจ ทั้งที่เป็การหัวเราะเยาะ แต่กลับไม่ค่อยเหมือนเท่าใดนัก
แม้จะเป็เช่นนี้ หลี่เฉิงยังคงรู้สึกว่าซ่งอวี้ในเวลานี้น่ารักยิ่งนัก เขาอยากจะบีบแก้มนาง ไม่เพียงแค่อยาก แต่เขายกมือขึ้นจะบีบแก้มนางจริงๆ ทว่าซ่งอวี้รีบปัดมือของเขาออก
ตอนนี้นางกำลังพูดคุยกับหลี่เฉิงด้วยความจริงจัง แต่เขากลับมือไม้อยู่ไม่สุข ไม่จริงจังแม้แต่น้อย!
นางพยายามทำสีหน้าเคร่งขรึม เพื่อแสดงความจริงจังของตนเอง แต่สุดท้ายไม่รอให้หลี่เฉิงพูด นางก็หัวเราะขึ้นมาก่อน
เสียงหัวเราะของนางราวกับได้รับความอบอุ่นท่ามกลางอากาศที่หนาวเหน็บ ราวกับกาทองคำบินผ่านท้องฟ้าขับไล่ทุกความหม่นหมองไปจนหมด
"มีความสุขมากขนาดนี้เชียวหรือ?" หลี่เฉิงไม่เคยเห็นซ่งอวี้มีความสุขเช่นนี้มาก่อน
ั้แ่วันที่เขาและซ่งอวี้รู้จักกัน สิ่งที่นางพูด สิ่งที่นางกระทำ ล้วนมีแผนการของตนเอง มีเป้าหมายของตนเอง พยายามทำทุกอย่างเพื่อบรรลุเป้าหมาย ไม่เคยเห็นนางผ่อนคลายมาก่อน แต่ซ่งอวี้ในเวลานี้ หลี่เฉิงรู้สึกว่า ราวกับแม่กุญแจในหัวใจของนางถูกไขออกแล้ว
รอยยิ้มนี้งดงามยิ่งนัก จู่ๆ เขาก็เข้าใจแล้ว เหตุใดั้แ่โบราณจนถึงปัจจุบัน ฮ่องเต้หลายต่อหลายคนจึงรักหญิงงามไม่รักแผ่นดิน หากหญิงงามคนนั้นคือความรักของตน เช่นนั้นข้าใช้สองมือนี้ยกนางขึ้นเหนือขุนเขาธาราหมื่นลี้แล้วจะเป็เช่นไร?
ซ่งอวี้พยักหน้าด้วยดวงตาทอประกาย "ข้ามีความสุขยิ่งนัก เื่ที่เกิดขึ้นในตอนนั้นอยู่ในใจข้ามานาน เดิมทีข้าคิดว่าต้องใช้เวลาอีกเล็กน้อยกว่าจะทวงคืนความยุติธรรมให้ตนเองได้ ทว่าคิดไม่ถึง วันนี้ก็ได้เห็นพวกเขามีจุดจบที่แสนอนาถแล้ว ข้าจึงอารมณ์ดียิ่งนัก"
นางไม่ซ่อนเร้นความดีใจของตนในเวลานี้แม้แต่น้อย ถึงขั้นอยากจะออกไปวิ่งสักสองรอบ
ไม่เพียงแค่เพราะหวังกุ้ยถูกลงโทษร้ายแรง แต่เพราะความรู้สึกที่ไม่เป็อันหนึ่งอันเดียวกันระหว่างร่างกายและดวงิญญาที่เป็มานานหายไปจนหมดสิ้นแล้ว
หลังจากลุงสือโถวประกาศบทลงโทษของหวังกุ้ย ซ่งอวี้รู้สึกคล้ายมีลมโอบล้อมนางเอาไว้ หลังจากนั้นนางก็เห็นหญิงสาวเลือนรางอยู่ตรงหน้า สีหน้าของหญิงสาวไม่ทุกข์ระทมอีกแล้ว ในทางตรงกันข้ามรอยยิ้มของนางคือการได้รับการปลดปล่อย
หญิงสาวพยักหน้าให้นาง แล้วพูดว่า "ขอบคุณแม่นางที่ทวงคืนความยุติธรรมให้ข้า เวลานี้ข้าสมปรารถนาแล้ว ความพะวงของข้าหายไปแล้ว ยินดีที่จะปล่อยมือจากร่างนี้ ถือว่านี่คือการตอบแทนของข้า แม่นางมีชีวิตแทนข้าด้วยเถอะ มีชีวิตที่ดีดังที่ข้าปรารถนา"
ั้แ่วินาทีนั้น ดวงิญญาของซ่งอวี้ก็ประสานรวมเป็หนึ่งกับร่างกาย ไม่แบ่งแยกกันอีกแล้ว
นาง คือหญิงกำพร้าซ่งอวี้ของหมู่บ้านเสี่ยวหนิว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้