กี่วันแล้วนะ ที่เขาไม่ได้เห็นหน้า ไม่ได้ยินเสียง
ชายหนุ่มเผลอยิ้มอย่างไม่รู้ตัว ไม่รู้เลยว่าการไม่มีหญิงสาวผู้นั้นอยู่ใกล้แล้วจะทำให้รู้สึกราวกับข้างกายขาดหายอะไรบางอย่างไป ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรมากมายนัก ทว่าหลังจากเขาได้รับพิษจนดวงตาพร่าเลือน นางกลับมาเติมเต็มราวกับเป็ดวงตาให้เขาเสียเอง
สองปีมานี่ เขามาพักรักษาตัวที่บ้านสกุลเหวินเป็ระยะๆ สี่ห้าเดือนจะมาสักครั้ง ครั้งละสิบหรือสิบห้าวันเพื่อให้แช่น้ำร้อนในบ่อน้ำพุร้อน ขับเอาพิษในร่างกายออก เมื่อร่างกายฟื้นคืนกำลังก็กลับเมืองหลวงไป เป็เช่นนี้เรื่อยมา และทุกครั้งที่มา เขาจะได้พบหน้าหญิงสาวคนนั้น นางนิสัยเหมือนเด็กซุกซนทั้งที่ตัวโตและเป็สาวสะพรั่ง นางอาจไม่ได้งามล้ำเช่นหญิงในเมืองหลวง ทว่ามีดวงตาใสซื่อและรอยยิ้มจริงใจ นางยิ้มเต็มแววตาและหัวเราะสุดเสียงโดยไม่หวั่นว่าใครจะมองนางเป็เช่นไร เขาชอบความมีชีวิตชีวาของนางยิ่งนัก แต่ด้วยสภาพร่างกายที่อ่อนแอมาั้แ่กำเนิดตลอดจนไม่รู้ว่าจะถึงวันตายเมื่อใด เขาจึงไม่คิดอื่นใดกับใครทั้งนั้น เพียงเพราะเมื่อเวลาต้องจากไปก็อยากไปด้วยจิตใจที่สงบ ไม่ทิ้งอาวรณ์ไว้เื้ั
เขาเองเคยชินกับสภาพร่างกายที่เจ็บป่วยมาั้แ่เล็กแต่น้อย เติบโตมาจนอายุได้ยี่สิบแปดนี่นับว่าบุญหนักมากแล้ว ตัวเองก็คุ้นชินกับความตายราวมิตรสหายไฉนเลยต้องรู้สึกถึงความหวาดกลัว สิ่งที่เป็กังวลใจคือการที่ทุกคนต่างพยายามสรรหายาดีๆ มายื้อชีวิตเขาไว้กับมือของมัจจุราช แม้ครั้งนี้เขาบังเอิญรับพิษแทนน้องชายและบรรดาหมอต่างส่ายหน้าหาทางแก้พิษมิได้ เขาก็ไม่ได้หวาดกลัวกับความตายที่คืบคลานมาอย่างเชื่องช้า แม้เขาจะไม่ยี่หระและทนกับความเจ็บป่วยจากพิษได้ แต่คนรอบข้างก็เพียงพยายามหายามารักษา ดวงตาที่พร่าเลือนลงไปทุกขณะแต่ก็ยังให้เห็นร่างาเ็สาหัสของต้าซื่อได้ชัดเจน
“ข้าน้อยขออภัยที่ไม่อาจนำไข่มุกหมื่นราตรีกลับมาได้”
“แค่เ้านำชีวิตตนเองกลับมาได้ก็มากพอแล้ว”เขาปลอบ
ใจคนสนิท ที่ได้รับาเ็สาหัสจากการไปตามหายามาถอนพิษในกายของเขา
“แต่...”
มือใหญ่ยกขึ้นห้ามไม่ให้เอ่ยปากพูดสิ่งใด “ข้าเคยพูดแล้ว ไม่จำเป็ต้องเสาะหายาแก้พิษใดๆ อีก เ้าเองก็จงรักษาตัวให้ดี เมื่อเ้าพร้อมเดินทางเมื่อไหร่ เราจะกลับเมืองหลวงกัน”
ต้าซื่อมีท่าทีอึดอัดเหมือนอยากพูดอะไร แต่ก็เปลี่ยนเป็เงียบไป พร้อมปล่อยให้ความเ็ปเข้า ชายหนุ่มเดินมายืนรับลมปลายเดือนกันยายน อย่างไรเสียเขาปลงกับชีวิตไปนานแล้ว ไม่้าเห็นใครต้องมาเจ็บตัวแทนเขาอีก
“ดูท่าทางท่านเป็คนป่วยที่อารมณ์ดียิ่งนัก”
“เหวินเฮ่าหลัน” หันไปทางผู้ที่เดินเข้ามาใกล้ พร้อมรอยยิ้ม
“ถ้าไม่นับเื่ดวงตาของท่าน ข้าคิดว่าท่านดูเป็ปกติดีทุกอย่าง”
เหวินเฮ่าหลันแย้มยิ้มท่าทีของเขาเหมือนคุณชายเ้าสำราญ อาภรณ์ของเขามักจะเรียบแต่หรูหราบ่งบอกฐานะได้ชัดเจนว่าเป็ถึงคุณชายบ้านสกุลเหวินผู้มั่งคั่งจากการค้าขาย มีเรือขนส่งสินค้าของตัวเอง แม้จะชอบแสดงตนเป็หนุ่มเ้าสำราญแต่แท้จริงแล้วเป็การกระทำเพื่อกลบเกลื่อนฐานะของตนเอง ภายใต้ใบหน้าหล่อเหลาคมคายซุกซ่อนความโเี้ไว้ แน่นอน หากใครเป็ปรปักษ์ต่อเขา มันผู้นั้นก็หาได้มีลมหายใจอยู่ได้ แม้เขาจะมีสองโฉมหน้าที่เป็ดุจหน้ากากสวมอยู่นั้น ลึกๆแล้วเขาเพียงแค่ไม่ชอบถูกผู้อื่นเอารัดเอาเปรียบ ในวัยเด็กเขามักถูกรังแกเสมอเมื่ออยู่กับบิดาที่เข้มงวดเพราะ้าให้เขาสืบทอดกิจการการค้าขาย เขาจึงยิ่งต้องแข็งแกร่งและแข็งกร้าวจนหลายคนไม่กล้าเข้าใกล้
หากมิตรสหายที่มีอยู่ มีเพียงไม่กี่คนที่เขารู้ซึ้งแก่ใจว่าเป็คนจริงมีน้ำใจไม่เสแสร้ง หนึ่งในนั้นคือ คุณชายเฉิน ที่ผู้อื่นรู้จัก ทว่าแท้จริงแล้วเป็ใครนั้น เขาย่อมรู้ดีและจะไม่เอ่ยปากหากสหายไม่ปริปากบอกใครด้วยตนเอง
“ท่านดูไม่ยี่หระกับความตายเช่นนี้ ข้าเลยไม่รู้จะช่วยท่านอย่างไร” ชายหนุ่มโคลงศีรษะไปมาพลางยิ้มที่มุมปาก “นอกจากไข่มุกหมื่นราตรีแล้วยังมีสิ่งใดที่นำมารักษาท่านได้อีกหรือไม่”
“เื่นี้ข้าก็ไม่ทราบ” คุณชายเฉินยิ้มราวกับไม่ทุกข์ร้อนกับความตายที่คืบคลานมาทุกขณะ “เป็เพียงคำชี้แนะของท่านหมอมู่เท่านั้น”
“ไข่มุกหมื่นราตรี... เหมือนคำเล่าขาน ไม่เคยได้ยินว่ามีผู้ใดได้หรือเคยพบเห็น” การพูดอย่างตรงไปตรงมานั้นไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายเคืองโกรธ ซ้ำยังยิ้มแย้มปนหัวเราะน้อยๆ ราว
กับฟังเื่ตลกขบขัน
“ข้ารอให้คนสนิทอาการดีขึ้นสักหน่อยแล้วจะเดินทางกลับเมืองหลวง”
“เอ...คุณชายเฉินที่ข้ารู้จัก มิใช่คนที่จะถอดใจกับสิ่งใดง่ายดายนัก”
“ข้าเพียงปลดปลงกับความตายนานแล้ว เพียงแค่ห่วงงานที่คั่งค้าง หากจะตายก็ขอสะสางให้ผู้อื่นรับ่ดูแลต่อให้เรียบร้อย”
“เช่นนี้ท่านยังห่วงงานอีกหรือ? ข้านึกว่าท่านอยากจะใช้ชีวิต่สุดท้ายให้เต็มที่ แต่นี่ท่านกลับห่วงงานงั้นรึ? ท่านมิมีสิ่งอื่นที่อยากจะทำมากกว่านี้หรืออย่างไรกัน”
“ข้าใช้ชีวิตแต่ละวันเหมือนเป็วันสุดท้ายของชีวิตอยู่แล้ว ไม่มีสิ่งใดให้ติดค้างอยู่ในใจอีก...” เขาเกิดลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ประหลาดใจที่ใบหน้าของแม่นางเคอปรากฏในห้วงความคิดขึ้นมา เขาควรบอกลานางสักครั้ง หรือจากไปเช่นที่เคยเป็มาราวไร้ร่องรอย
“หากมีสิ่งใดที่ข้าช่วยได้ ได้โปรดบอกมาเถิดอย่าได้เกรงใจ”
“สองปีมานี่ ท่านนับข้าเป็สหายนับเป็วาสนาของ
ข้าแล้ว”
เหวินเฮ่าหลันถึงกับแหงนหน้าหัวเราะในถ้อยคำที่ได้ยิน
“เป็ข้าต่างหากที่ได้เป็สหายกับัสุริยัน”
“เห็นท่าคืนนี้ ควรดื่มเหล้าฉลองที่เราได้เป็สหายกันมา”
“ดียิ่งแล้ว วันนี้ข้าได้เหล้าองุ่นชั้นเลิศมา ในวังยังหาดื่มยากยิ่ง วันนี้วันดีเราควรฉลองกันดีกว่า”
เหวินเฮ่าหลันตบไหล่สหายอย่างรื่นเริง บุรุษหนุ่มทั้งสองหมุนตัวเดินกลับเข้าในเรือนพัก แต่ยังไม่ทันไรพ่อบ้านก็เดินเข้ามาอย่างนอบน้อมและรายงานให้ผู้เป็นายทราบ
“มีคนมาจากเมืองหลวงขอพบคุณชายเฉินขอรับ”
“คนจากเมืองหลวง?” คุณชายเฉินออกจะแปลกใจนัก ปกติไม่ค่อยมีใครมาหาเขา เพราะเมื่อถึงเวลาเขาจะกลับไปเอง
“ตอนนี้อยู่ที่ใด” เหวินฮั่วหลันเอ่ยถามก่อน
“ห้องรับรองแขกขอรับ”
“ดี งั้นไปเถิด”
“เอ่อ... แม่นางให้เรียนว่ามีธุระด่วนขอรับ ให้คุณชายเฉินรีบไปพบ”
“แม่นาง?”
คราวนี้ผู้มีดวงตาพร่าเลือนถึงกับขมวดคิ้ว ใครกันที่จะมาพบเขาในเวลาแบบนี้ ชายหนุ่มพยักหน้ารับ ด้วยดวงตาที่มองเห็นได้ไม่ชัดจึงต้องอาศัยพ่อบ้านช่วยประคองไปถึงห้องรับรองแขก แม่นมยืนรออย่างกระสับส่ายเมื่อเห็นคุณชายเดินเข้ามาก็รีบเข้าไปหา เพียงขยับเท้าเข้าไปใกล้กลิ่นหอมเครื่องแป้งแบบฉบับของนางในวังก็โชยมาแตะปลายจมูก ชายหนุ่มมีท่าทีอึดอัดใจ
“องค์...”
อีกฝ่ายชะงักไปทันทีที่มือใหญ่ยกมือห้ามไว้ก่อน หญิงสาวใบหน้างดงามจึงเม้มปากเสียแล้วนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะแย้มยิ้มออกมา
“เ้ามาที่นี่ทำไม”
เหวินเฮ่าหลันเลิกคิ้วอย่างฉงน ปรกติสหายผู้นี้สุภาพอ่อนโยนแม้แต่กับบ่าวไพร่ก็ไม่เคยขึ้นเสียงใส่ แต่นี่...กับสตรีที่งดงามดุจนางฟ้ากลับทำเสียงแข็งเ็ายิ่งนัก
“ข้ามาเยี่ยมท่าน” แม้ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มแต่หัวใจของหญิงสาวเ็ปเมื่อเห็นท่าทางราวน้ำแข็งในฤดูหนาวของเขา หลายปีมานี่ เขาไม่เคยเห็นความรักในแววตาของนางเลยหรือไรกัน
“อย่างไรข้าก็ต้องกลับเมืองหลวงอยู่ดี เ้าจะลำบากมาเพื่ออะไรกัน”
“ท่าน...”
“จะไม่แนะนำสาวงามผู้นี้สักหน่อยหรือ” เหวินเฮ่าหลัน
ทำลายบรรยากาศเยียบเย็นเสียเอง
“อ่อ...”
“ข้าน้อยเจี้ยนเหิงเยว่เ้าค่ะ” หญิงสาวย่อตัวลงคารวะด้วยกิริยาอ่อนหวาน
“ข้าเหวินเฮ่าหลัน” เขาแนะนำตัวเองบ้าง “แม่นางเดินทางมาไกลคงเหนื่อยไม่น้อย ข้าจะให้บ่าวไพร่จัดที่พักให้ก่อนดีกว่า”
หญิงสาวมองชายหนุ่มที่ดวงตาเริ่มเป็ฝ้าขาวไม่ใช่ดวงตาสุกสกาวเหมือนดาวบนฟากฟ้า เอาเถิดเขาไม่มองนางก็ไม่เป็ไร แต่ขอให้นางได้มองเขาก็เพียงพอแล้ว เจี้ยนเหิงเยว่หยิบถุงผ้าออกมาแล้วยื่นให้เฉินหยางหลง ชายหนุ่มมองเห็นเพียงเลือนรางจึงไม่อาจยื่นมือไปรับได้ นางเห็นเช่นนั้นจึงเป็ฝ่ายจับมือของเขาหงายขึ้นแล้ววางถุงผ้าเล็กๆ ในฝ่ามือของเขา
“เ้านำสิ่งใดมาให้ข้า”
“ไข่มุกหมื่นราตรี”
เพียงสิ้นเสียงของหญิงสาว ราวกับทั้งห้องเงียบงันไปอึดใจใหญ่ และเป็หญิงสาวที่เอ่ยปากทำลายความเงียบนั้นเอง
“ข้าเห็นควรให้รีบเชิญท่านหมอมาปรุงยาขับพิษในร่างกายท่าน หากนานกว่านี้เกรงว่าร่างกายของท่านจะต้านพิษร้ายไม่ไหว”
“เจี้ยนเหิงเยว่” ชายหนุ่มสูดลมหายใจลึก
“เ้าได้สิ่งนี้มาอย่างไร”
“สิ่งใดที่ช่วยชีวิตท่านได้ ข้าล้วนยินดีทำ” นางตอบด้วยน้ำเสียงแน่วแน่
เหวินเฮ่าหลันเห็นทุกคนยังนิ่งงันอยู่จึงรีบสั่งการให้บ่าวไพร่ไปเชิญท่านหมอมู่มาปรุงยารักษา แม้ไม่รู้ว่าสิ่งที่อยู่ในถุงผ้าเป็ไข่มุกหมื่นราตรีจริงหรือไม่ ทว่าเวลาที่เหลือน้อยลงไปหากมีหนทางใดให้ลองเสี่ยงก็ควรลอง
มีเพียงแม่นมเหมยที่มองเหตุการณ์เบื้องหน้าอย่างประหลาดใจ นางรู้จักคุณหนูเจี้ยนเหิงเยว่บุตรสาวคนเดียวของคหบดีสกุลเจี้ยน
นางเป็หญิงงามกิริยาอ่อนหวานงดงามอ่อนช้อย ทว่าสิ่งที่นางประหลาดใจคือไยคุณหนูเจี้ยนเหิงเยว่เป็ผู้นำไข่มุกหมื่นราตรีมามอบให้ แล้วหญิงสาวอีกนางนั้นเล่า
นางไปอยู่ที่ใดเสีย หรือจะได้รับาเ็สาหัสเช่นเดียวกับต้าซื่อ.
