เสิ่นม่าน “...”
นางรีบโบกมือ “ไม่ใช่นะ ข้าไม่ได้...”
ด้วยกลัวที่จะถูกผู้อื่นจับได้ว่าคือตัวปลอม นางจึงรีบเสริม “อันที่จริงข้าพละกำลังเยอะมาแต่เกิด อีกทั้งสมัยก่อนพี่ชายข้าเคยสอนวิชาป้องกันตัวบ้าง เพียงแต่สมัยก่อนข้าไม่เคยมีโอกาสได้ใช้ก็เท่านั้น ตอนนี้ข้าเลี้ยงเด็กสามคนลำพัง ทั้งยังเป็หญิงหม้าย คงไม่อาจปล่อยให้ครอบครัวตนเองถูกผู้อื่นรังแกฝ่ายเดียวได้ ใช่หรือไม่?”
เมื่อใช้ลูกไม้ขอความเห็นใจ จึงทำให้นางเจียงลดความระแวงสงสัยลง และไว้ใจในตัวนางมากขึ้น
“ที่แท้ก็เป็เช่นนี้ เฮ้อ… เ้าดูคนเ่าั้พูดไร้สาระสิ… คนดีๆ ทั้งคนกลับถูกลือจนกลายเป็ครึ่งผีครึ่งคน อันที่จริงข้าดูเ้าตอนนี้แข็งแกร่งกว่าสมัยก่อนนัก!”
เสิ่นม่านหัวเราะแห้งๆ และรีบเสริม “จนปัญญา ชีวิตบังคับน่ะ สมัยก่อนข้านิสัยไม่ดี เพราะข้าทำเื่ผิดพลาดมามาก ตอนนี้จึงไม่อาจเปลี่ยนมุมมองผู้อื่นได้ แต่ข้าเองก็ต้องให้โอกาสตนเองได้แก้ไข ท่านว่าใช่หรือไม่?”
พูดจบ นางแสร้งทำเป็ปาดน้ำตาพลางร้องไห้กระซิกๆ
“เฮ้อ ท่านน้า ข้า้าให้ครอบครัวเรามีชีวิตดีขึ้น ข้าทำอะไรผิดหรือ? โจวชุ่ยหลานโยนปัญหาไว้ให้ข้ามากมาย ข้าก็ทำได้เพียงกัดฟันกล้ำกลืน ตอนนี้พวกเขาเข้าใจข้าผิดไม่เท่าไหร่ แต่เพื่อเด็กๆ แล้ว ข้าก็ได้แต่ต้องใช้ชีวิตต่อไปให้ดี!”
เสิ่นม่านโยนความผิดไปที่พี่สะใภ้โฉดชั่วผู้นั้นเต็มๆ พร้อมเรียกร้องความเห็นใจให้กับตนเองอย่างสำเร็จ นางเจียงมองนางด้วยสายตาชื่นชมและปลอบโยนนางอยู่สักพัก
ส่วนเื่เครื่องโม่หิน เมื่อไม่มีคนช่วย เสิ่นม่านจึงขนด้วยตนเอง! อย่างไรก็ตามนางยังมีอาวุธลับ!
อาศัยจังหวะที่นางเจียงไม่ได้ตามมาด้วย เสิ่นม่านที่ยืนอยู่ในเรือนหลังจึงเปล่งเสียงค่อย “พลังงานปาลาลา”
“ฉันอยู่นี่”
“เปิดโหมดแข็งแกร่ง”
หลังจากจิ้มปุ่มยืนยันในสมองแล้ว พริบตาเดียวเสิ่นม่านก็รู้สึกว่าทุกอณูเซลล์ในร่างกายเต็มเปี่ยมไปด้วยพละกำลัง
นางยืดเส้นเอ็นและทำการอบอุ่นร่างกายเล็กน้อย เสร็จแล้วก็เดินไปข้างเครื่องโม่หิน จากนั้นงัดแผ่นฝาเครื่องโม่ขึ้นมาแบกไว้บนหลัง
แผ่นหินหนักหนึ่งร้อยชั่งถูกแบกอยู่บนหลังของนาง แต่มันเบาอย่างเหลือเชื่อ!
นางถึงขั้น้าแบกฐานเครื่องโม่ที่หนักสองร้อยกว่าชั่งขึ้นมาพร้อมกันเสียเลย! เพียงแต่นางไม่อาจทำเช่นนั้นได้ หากแบกเพิ่มอีกหนึ่งอย่าง นางเจียงคงแน่ใจว่านางถูกิญญาชั่วร้ายเข้าสิงแน่
ทว่าพอหันกลับมาก็เห็นนางเจียงกำลังอ้าปากค้างมองนางเสียแล้ว สายตานั้นทั้งตะลึงทั้งเลื่อมใส!
เสิ่นม่านแสร้งทําเป็ออกแรงจากท้อง โดยพึ่งพาเทคนิคการแสดงประหนึ่งดาราออสการ์ จากนั้นพยายามสื่อออกมาให้นางเจียงรับรู้ว่านางคือคนที่มีพละกำลังเยอะมาั้แ่เกิดจริงๆ
นางเจียงเชื่อสนิท!
เสิ่นม่านอาศัยการแสดงอันไร้เทียมทานของตนเองมากลบเกลื่อน พอแบกฝาเสร็จนางก็ย้อนกลับไปแบกฐานเครื่องโม่อีกครั้ง นางเดินกลับบ้านของตนท่ามกลางสายตาตกตะลึงนางเจียงและบรรดาชาวบ้านทั้งหลาย
แต่วินาทีก่อนที่จะถึงที่หมาย จู่ๆ ระบบกลับส่งเสียงเตือน “ติ๊ดๆ พลังงานไม่เพียงพอ โหมดแข็งแกร่งกำลังจะปิดการใช้งาน”
เสิ่นม่าน “แย่แล้ว”
เพียงครู่เดียวนางก็ได้ยินเสียง ‘กร๊อบ’ จากนั้นฐานเครื่องโม่บนบ่าก็ถูกนางเหวี่ยงไปยังลานบ้าน เสิ่นม่านล้มลงกับพื้นร้องโอดครวญน้ำตาไหลพราก
“โอ๊ย! หลังของข้า!”
เจ็บชะมัด!
ฐานเครื่องโม่หนักสองร้อยกว่าชั่ง โชคดีที่นางโยนออกไปเร็ว มิฉะนั้นทั้งหมู่บ้านคงได้มากินข้าวงานศพของสกุลเสิ่นในอีกไม่กี่วันแน่
นี่หาใช่เื่ล้อเล่น ขืนถูกหินหนักขนาดนี้ทับเข้า ต่อให้ไม่ตายก็คงพิการ
หลังของนางเจ็บอย่างรุนแรง เสิ่นม่านอยากลุกขึ้นนั่ง แต่กลับพบว่า่ล่างไร้ความรู้สึก! นางไม่อยากพิการ ดังนั้นจึงรีบเข้าสู่ระบบและอาศัยพลังงานสิบเปอร์เซ็นต์ที่เหลืออยู่เริ่มใช้งานฟังก์ชันการรักษา
การใช้พลังงานในการรักษาอาการาเ็ที่หลังสามารถช่วยได้ร้อยละแปดสิบ เสิ่นม่านรู้สึกถึงความอุ่นที่ไหลมารวมอยู่ที่่หลัง อาการาเ็ของนางดีขึ้นไม่น้อย
เมื่อพลังงานสุดท้ายของระบบถูกใช้จนหมด นางจึงสามารถขยับได้ ไม่กล้าคิดเลยว่าหากไม่มีระบบ เดาว่าชีวิตนี้ของนางที่กำลังจะหลุดพ้นจากความยากจน คงต้องะโเข้าสู่โลกที่แสนโหดร้ายอีกครั้ง
ขณะที่กำลังจะลุกขึ้น ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของคนตรงประตู
เอี๊ยด
ประตูลานบ้านถูกผลักออก หนิงโม่ยืนตระหง่านราวกับต้นไผ่หยก ด้านหลังมีศีรษะดำๆ ของเด็กน้อยสามคน ดวงตาทั้งสี่คู่จ้องมองพร้อมกัน คิ้วคมเข้มสวยงามของหนิงโม่ตั้งขึ้น แต่ในสายตากลับแฝงแววเยาะเย้ย
“เ้ากำลังเล่นอะไรอยู่? คิดจะแสดงละครแบกหินใส่อกหรือ? แม้จะเลี้ยงเด็กไม่ไหว แต่ก็ไม่ถึงขั้นต้องขายการแสดงเช่นนี้หรอกกระมัง?”
เสิ่นม่าน “...”
เสียหายหลายแสน เ้าพูดเช่นนี้ข้าเสียหายนัก!
เสิ่นม่านตบก้นลุกขึ้น ต้าเป่าเข้ามาก่อนคนแรกและช่วยนางปัดฝุ่นบนตัว “ท่านแม่ ท่านเจ็บหรือไม่?”
ลูกชายแท้ๆ ย่อมใส่ใจ พอเข้ามาก็ถามไถ่ว่าเจ็บหรือไม่
เสิ่นม่านถูกยั่วโมโหจนอารมณ์ไม่ดี แต่เมื่อได้ยินเสียงของเด็กน้อยทั้งหลาย ความอึดอัดใจทั้งหมดก็มลายหายไป นางลูบศีรษะน้อยของทั้งสามอย่างเอ็นดู
“แม่ไม่เป็ไร เหตุใดวันนี้พวกเ้าเลิกเรียนเร็วนัก? พอดีเลย พวกเ้าไปล้างไม้ล้างมือมาช่วยเร็ว คืนนี้เราจะทำเกี๊ยวกินกันให้อิ่มหนำเลย!”
ทันทีที่พวกเขาได้ยินว่ามีเกี๊ยวให้กิน ดวงตาของเด็กทั้งสามก็เป็ประกายวิบวับ
เกี๊ยว!
สมัยที่ท่านย่ายังอยู่ เวลาตรุษจีนที่บ้านก็ได้ทำของอร่อยกินกันเช่นนี้ แต่ว่าแป้งกับไส้มีจำกัด ทุกคนจึงได้กินอย่างจำกัด
เด็กทั้งสามไปที่ห้องครัว ต่างก็ล้างมืออย่างตื่นเต้น ส่วนเสิ่นม่านเหลือบมองไปที่หนิงโม่ พบว่าชายหนุ่มกำลังมองนางด้วยสายตาล้ำลึก
เสิ่นม่านปรายตามองไปอย่างเฉยเมยและยืดอกหลังตรง มือแสนอวบอิ่มเท้าสะเอวพร้อมพูดจายั่วยุอีกฝ่าย “เ้ามองข้าทำไม? หรือว่ามีใจให้พี่สาวคนนี้แล้ว?”
หนิงโม่เม้มปาก ั์ตาดำขลับส่องประกายระยิบระยับ จากนั้นตอบกลับไปด้วยเสียงแ่เบาดุจเมฆ “ข้าเคยบอกแล้ว ข้ามีคนในดวงใจอยู่แล้ว”
“หึ ดูไม่ออกเลยว่าเ้าก็คลั่งรักเช่นกัน!” เสิ่นม่านไม่สนใจชายที่มีเ้าของแล้ว นางเพียง้าแตะต้องเนื้อตัวเขาบ้างเป็ครั้งคราว
แม้ว่าเ้าหนุ่มคนนี้จะดูผอมบางอ่อนแอ แต่วรยุทธ์ไม่ได้แย่ ที่ผ่านมานางมักฉวยโอกาสััร่างกายเขา หากไม่ใช่ถูกตบจนกระเด็นออกมา ก็แทบไม่ได้ัักระทั่งชายเสื้อของเขาด้วยซ้ำ
สิ่งที่น่าโมโหที่สุดคือ เมื่อสองวันก่อน นางแอบเอายานอนหลับที่ได้มาจากระบบใส่ลงในน้ำให้เขาดื่ม แต่เขากลับได้กลิ่นผิดปกติ สุดท้ายก็โยนทิ้งไปทั้งถ้วย
ไม่ได้แล้วยังขาดทุนอีก!
เสิ่นม่านรู้สึกว่าตนเองกับผู้ชายคนนี้เปรียบเสมือนชาวประมงที่จับเม่นทะเล แม้จะได้ของดี แต่ก็ทิ่มแทงมือ มีของดี แต่ไม่อาจัั!
นางไม่คิดจะเสวนากับเขามากมาย เพียงพิจารณาว่าคืนนี้จะลองหาโอกาสตอนที่เขาหลับ จากนั้น…
ฮี่ๆ
เสิ่นม่านหัวเราะอย่างชั่วร้ายในใจแต่ใบหน้ากลับนิ่งขรึมจริงจัง นางหันหลังจะจากไป ด้านหลังก็พลันได้เสียงเ็าของหนิงโม่
“เ้าทําได้อย่างไร?”
“อะไร?” เสิ่นม่านหันหลังกลับมาปะทะเข้ากับดวงตาที่ยากจะอ่านออก
หนิงโม่ยืนห่างจากนางราวหนึ่งเมตร เขาอยู่ในชุดสีดำยืนตระหง่าน “แบกหินหนักสองร้อยชั่ง เ้าทำได้อย่างไร?”
เสิ่นม่านตกตะลึง เขาเห็นหรือ?
นางอ้าปาก บทที่เขียนเตรียมไว้ล่วงหน้ายังไม่ทันได้เอ่ยออกมา หนิงโม่ก็ถามอีก “เมื่อครู่ตอนอยู่ข้างนอก ข้าเห็นเ้าหลังาเ็ ล้มกองกับพื้นจนไม่อาจขยับ แต่เพียงไม่นานก็สามารถลุกขึ้นได้ เ้าอย่าบอกข้าว่าข้าตาฝาดไปเอง”
รอยยิ้มตรงมุมปากของเสิ่นม่านแข็งค้าง
หนิงโม่เดินเข้ามาช้าๆ ทั้งที่ผอมบางจนแทบปลิวไปกับลม แต่ร่างกายของเขากลับแผ่ความน่าเกรงขามออกมาจนสะกดนางไว้อยู่หมัด
“สมัยก่อน เ้าเป็เพียงหญิงชาวบ้านธรรมดา ไม่เคยออกนอกบ้านไปไหน เหตุใดจึงทำมีฝีมือการปรุงอาหารที่ครบทั้งศาสตร์และศิลป์เช่นนี้? ได้ยินคนในหมู่บ้านบอกว่า ั้แ่ครั้งก่อนที่พี่สะใภ้ของเ้า นางโจวขับไล่เ้าออกจากบ้านเ้าก็ป่วยหนัก จากนั้นนิสัยของเ้าก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง? เ้าไม่รู้สึกว่าเื่ทั้งหมดนี้มันไม่เชื่อมโยงกันหรือ?”
เสิ่นม่าน “...”
จิตใจของนางค่อนข้างสับสน ชายคนนี้ หรือว่าเขารู้อะไรเข้าแล้ว? เขากำลังใบ้อะไรหรือเปล่า?
เป็ไปได้ไหมว่าเขาเองก็...
-----