หลังจากเข้าบ้านมาแล้ว เฝิงหย่งก็พูดคุยกับเด็กทั้งสองคนอย่างกระตือรือร้น
“หนูก็คือหยางหยางสินะ ตอนนี้เรียนอยู่ชั้นไหนแล้วล่ะ เรียนเป็อย่างไรบ้าง? ปกติหนูชอบเล่นอะไรหรือ?”
“เสี่ยวเยวี่ยเอ๋อร์ ส่วนหนูก็เป็พี่สาวสินะ ไอหย๋า โตมาหน้าตาสะสวยจริงๆ ตอนนี้อยู่ชั้นป.2 แล้ว? เก่งจริงๆ เลยนะ!”
“……”
ซ่งวั่งซูพูดคุยกับเฝิงหย่งอยู่พักหนึ่งก็เริ่มร้อนใจขึ้นมา เธอหันไปถามซย่านีเงียบๆ ว่า “แม่ พรุ่งนี้พ่อจะกลับบ้านไหมคะ?” เธอชอบคุยกับพ่อของตนเอง เธอรู้สึกว่าพ่อของเธอนั้นเก่งมากๆ และรู้ทุกเื่เลย ตอนที่ได้คุยกับพ่อนั้นเธอได้เรียนรู้อะไรจากพ่อหลายอย่าง
นอกจากเื่ที่ซ่งหานเจียงมักจะถูกเรียกตัวเข้าห้องปฏิบัติการอะไรนั่นแล้ว หากไม่มีอะไรเป็พิเศษ เขามักจะกลับบ้านใน่บ่ายๆ ของวันหยุดสุดสัปดาห์ และเขาจะนอนค้างที่บ้านแค่คืนเดียวเท่านั้น
ซย่านีส่ายหน้า ตอบเสียงเบา “พ่อของลูกก็น่าจะกลับบ้านวันอาทิตย์นี้แหละ”
“อืม” ซ่งวั่งซูก้มศีรษะเล็กๆ ลงอย่างเสียใจ
ซย่านีดูเวลา และเดาว่าลูกน้อยของเธอน่าจะต้องดื่มน้ำแล้ว เธอจึงอุ้มลูกไปที่ห้องครัวเพื่อหาน้ำดื่ม
ครั้นเดินเข้าประตูมา ซย่านีก็เห็นเซี่ยงเหมยกำลังมองไปที่เฝิงหย่งด้วยท่าทางรู้สึกผิด พร้อมกับลูบที่ท้องของตนเองโดยไม่ตั้งใจ จากนั้นก็ถอนหายใจออกมา
สามีของเธอรักเด็กขนาดนี้ แต่เธอกลับไม่อาจตั้งท้องได้ เซี่ยงเหมยจึงรู้สึกผิดต่อสามีเหลือเกิน
ซย่านีรู้ว่า เวลานี้หากจะโน้มน้าวเซี่ยงเหมยไปก็ไร้ประโยชน์ รอให้ผ่านปีหน้าไปก่อน เซี่ยงเหมยก็จะตั้งครรภ์ลูกของตัวเองได้แล้ว สิ่งที่ซย่านีทำได้ในเวลานี้ก็คือ พยายามบรรเทาอาการเสียใจ และการโทษตัวเองของเซี่ยงเหมย
“พี่สะใภ้ ซิงซิงหิวน้ำแล้ว มีน้ำเหลืออยู่บ้างไหมคะ?”
เซี่ยงเหมยได้สติกลับมาทันควัน “มี...มีสิ! เธอรอก่อนนะ เดี๋ยวพี่ไปเอามาให้”
น้ำในกระติกค่อนข้างร้อน เซี่ยงเหมยจึงนำน้ำที่ต้มนั้นเทใส่ภาชนะแล้ววางทิ้งไว้จนเย็นก่อนหน้านี้มาผสมลงไปในขวดนม ทำให้น้ำมีอุณหภูมิกำลังพอเหมาะ ซิงซิงรับขวดนมมาแล้วก็กอดไว้ ก่อนที่จะยกขวดนมขึ้นดูด
เมื่อเห็นซิงซิงตัวน้อยดื่มน้ำอึกใหญ่ลงท้อง เซี่ยงเหมยก็กล่าวขึ้นว่า “เธอว่าพี่ควรจะกินยาบำรุงหน่อยดีไหม พี่เคยได้ยินมาว่า มียาที่กินแล้วจะช่วยให้ตั้งครรภ์ได้อยู่...”
“พี่ได้ไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาลบ้างหรือเปล่า ถ้าหมอบอกว่าร่างกายของพี่ไม่ได้มีปัญหาอะไร พี่ก็อย่าไปกินยาสุ่มสี่สุ่มห้าเลยนะ หากกินไปแล้วทำลายสุขภาพขึ้นมาแบบนั้นคงแย่แน่!” ซย่านีคิดในใจว่าจะต้องรีบทำให้พี่สะใภ้เซี่ยงเหมยยุ่งจะไม่มีเวลาคิดเื่นี้ซะแล้ว เพราะเวลาที่คนเรายุ่งมากๆ มักจะลืมคิดถึงเื่อื่นนอกจากเื่ตรงหน้าเท่านั้น
บนโต๊ะอาหาร ทุกคนในบ้านกำลังนั่งล้อมวงรับประทานอาหารกันอย่างคึกครื้น พวกเขากินกันอย่างเอร็ดอร่อย
ั้แ่ที่ซ่งวั่งซู และซ่งตงซวี่มาที่ปักกิ่ง ก็ไม่เคยได้ทานอาหารอร่อยๆ และมีความสุขเท่านี้มาก่อน ตอนอยู่ที่บ้านมีแค่ลูกพี่ลูกน้องของพวกเขาเท่านั้นที่ได้กินอาหารดีๆ อย่างพวกเนื้อสัตว์และก็ไข่ มีแค่ตอนที่พ่อของพวกเขากลับมาบ้านเท่านั้น เขาจึงจะมีโอกาสได้กินอาหารดีๆ ขึ้นมาหน่อย ดังนั้นเด็กทั้งสองคนจึงตั้งหน้าตั้งตารอให้ถึง่วันหยุดสุดสัปดาห์ มันเป็่ที่พ่อของเขากลับบ้าน
เซี่ยงเหมยคีบขนมหัวไชเท้าทอดให้เด็กๆ คนละชิ้น ขนมชนิดนี้ทำจากไข่ไก่ หัวไชเท้าฝอย และแป้ง นำไปทอดจนมีสีเหลืองกรอบทั้งสองด้าน มีกลิ่นหอมยิ่งนัก
“ไม่ต้องเกรงใจ กินเยอะๆ ล่ะ พวกหนูจะได้โตไวๆ ”
“ขอบคุณคุณป้าครับ/ค่ะ”
เด็กทั้งสองกล่าวขอบคุณขึ้นพร้อมกัน ก่อนจะหยิบขนมหัวไชเท้าทอดขึ้นมากินเต็มปากเต็มคำ
“ผมเพิ่งเข้าบ้านมาก็สะดุดตากับผ้ากองโตตรงนั้นก่อนเลย พวกคุณไปเอาวัสดุดีๆ แบบนี้มาจากไหนกันน่ะ? แล้วเตรียมตัวจะทำอะไรกันหรือ?” เฝิงหย่งเอ่ยถาม
เซี่ยงเหมยเหลือบมองไปทางซย่านี ครั้นเห็นว่าซย่านีไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบอันใด เธอก็เริ่มพูดออกมา “มันเป็เศษผ้าที่ซย่านีได้มาจากร้านตัดเสื้อค่ะ พวกเราวางแผนกันว่า จะทำเครื่องประดับผมขายกัน”
เฝิงหย่งคิดไม่ถึงเลยว่า สตรีตรงหน้าทั้งสองนี้จะมีความคิดริเริ่มทำธุรกิจด้วยกันจริงๆ เขาค่อนข้างสนับสนุนเื่นี้ “เช่นนั้นก็เยี่ยมมากเลย!”
ภรรยาของเขามีทะเบียนบ้านอยู่ที่ชนบท จึงเป็เื่ยากมากที่จะหางานในเมืองหลวงที่ดูเหมาะสมกับเธอ หากทำธุรกิจเล็กๆ ล่ะก็ นับว่าเป็เื่ที่เหมาะมากจริงๆ
เซี่ยงเหมยเห็นว่าสามีสนับสนุนแบบนี้ เธอก็มีความสุขขึ้นมา จากนั้นจึงกล่าวว่า “เดี๋ยวฉันเอาเครื่องประดับผมมาให้พี่ดูสักชิ้นนะ”
พูดจบเธอก็เข้าไปในบ้าน แล้วหยิบยางรัดผมวงใหญ่ติดมือออกมาสามสี่ชิ้น
ชิ้นหนึ่งเป็ลายจุดสีขาว อีกชิ้นเป็สีแดงสด ส่วนชิ้นที่สามเป็สีน้ำเงิน และอันสุดท้ายประดับด้วยลูกไม้ หนังยางรัดผมทั้งสี่ชิ้นล้วนมีสีสันสดใสและเนื้อผ้าอ่อนนุ่ม นอกจากนี้ยังมีแบบที่ทำจากผ้าแพรอีกด้วย พอผ้าถูกแสงไฟก็สะท้อนเป็ประกาย
เฝิงหย่งหยิบหนังยางรัดผมวงใหญ่ขึ้นมา เขาเป็ผู้ชายจึงไม่เข้าใจสิ่งของของพวกผู้หญิงเท่าไหร่ “สวย ก็สวยอยู่หรอก แต่ว่าเ้านี่...มันใช้อย่างไรหรือ?”
“เสี่ยวเยวี่ยเอ๋อร์ มาช่วยป้าหน่อยได้ไหมจ๊ะ?” เซี่ยงเหมยเรียกซ่งวั่งซูให้มาหาตน
ซ่งวั่งซูวางตะเกียบลงแล้วพยักหน้ารับ
จากนั้นเซี่ยงเหม่ยก็หยิบหวีไม้ออกมาจากไหนไม่รู้ เธอคลายผมเปียบนหัวของซ่งวั่งซูออก จากนั้นก็นำหนังยางชิ้นหนึ่งมารัดผมของซ่งวั่งซูเป็ทรงหางม้าสูง
พอผมหางม้าธรรมดาๆ ถูกประดับด้วยหนังยางอันใหญ่ก็ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาไม่น้อย
จากนั้นเธอก็คลายผมหางม้าออก แล้วใช้หนังยางรัดผมที่มีขนาดเล็กลง มาถักเปียสองข้าง นั่นทำให้ซ่งวั่งซูดูยิ่งน่ารักมากขึ้นไปอีก
“สวยมาก!” เฝิงหย่งชมไม่หยุดปาก “สวยมากๆ เลย! มันทำจากเศษผ้ากับหนังยางงั้นหรือ? พวกเธอคิดวิธีดีๆ แบบนี้ได้อย่างไรกัน?”
“พี่ว่าธุรกิจนี้ จะประสบความสำเร็จไหม?” เซี่ยงเหมยเอ่ยถาม
เฝิงหย่งตอบอย่างหนักแน่น “ได้แน่!”
เซี่ยงเหมยยิ้มอย่างเขินอาย “ฉันไม่ใช่คนคิดหรอก เป็ซย่านีต่างหาก นี่เป็ความคิดของเธอนะคะ เธอชวนฉันมาทำธุรกิจนี้ด้วยกัน”
ซย่านีกล่าวเสริม “ถ้าไม่มีพี่เซี่ยงเหมย ฉันก็คงทำธุรกิจนี้ไม่สำเร็จหรอกค่ะ สถานการณ์ที่บ้านของฉันเป็อย่างไรพวกพี่ๆ ก็คงจะรู้กันดี มีพี่เซี่ยงเหมยอยู่ด้วย พี่ช่วยฉันดูแลลูกๆ แถมยังให้ฉันยืมจักรเย็บผ้าอีก...ฉันอยากขอบคุณพี่เซี่ยงเหมยจริงๆ ที่ไม่รังเกียจธุรกิจเล็กๆ ของฉัน แถมยังยอมเป็หุ้นส่วนธุรกิจกับฉันอีกด้วย”
เซี่ยงเหมยดึงมือของซย่านีไปจับพลางตบหลังมือของเธอเบาๆ “น้องสาว อย่าพูดแบบนี้เลยนะ ถือว่าพวกเราต่างช่วยเหลือซึ่งกันและกันเถอะ”
“เอาล่ะๆ” เฝิงหย่งทำลายบรรยากาศซาบซึ้งแล้วยิ้ม “พวกเธอสองคนรีบกินข้าวเถอะนะ อาหารจะเย็นหมดแล้ว พวกเราเป็เพื่อนบ้านกันนะ จะมาพูดขอบคุณอะไรกันเล่า” เขากล่าวเสริมอีกว่า “น้องซย่านี ผ้าของพวกเธอพอใช้หรือไม่ ถ้าไม่พอ พี่สามารถให้คนมาช่วยหาผ้าได้นะ”
เซี่ยงเหมยกล่าวต่ออย่างตื่นเต้น “ใช่แล้วๆๆ เฝิงหย่งเขาทำงานอยู่ในโรงงานเครื่องจักร โรงงานของพวกเขามีการผลิตจักรเย็บผ้ากันด้วยนะ แถมโรงงานเย็บผ้ายังเป็พันธมิตรกันอีก นอกจากนี้แล้ว เฝิงหย่งก็มักจะไปซ่อมเครื่องจักรที่โรงงานเย็บผ้าอยู่บ่อยๆ เขาเลยมีคนรู้จักอยู่ที่โรงงานเย็บผ้าไม่น้อยเลยทีเดียว”
ซย่านีรู้สึกตื่นเต้นมาก “ถ้าเป็อย่างนั้นก็ดีมากเลย! พี่เฝิงหย่ง ต้องขอรบกวนพี่แล้ว”
เฝิงหย่งโบกมือ “พูดว่ารบกวนอะไรกันอีก ไม่รบกวนเลย...แล้วพวกเธอสองคน้าวัสดุเท่าไหร่กันล่ะ?”
ซย่านีตอบ “ได้เท่าไหนก็เท่านั้นเลยค่ะ พยายามเลือกที่เป็วัสดุดีๆ กับสีสันสดใสหน่อยก็ได้แล้ว แม้สีจะดูเข้มสักนิด แตขอแค่เป็วัสดุที่ดี ฉันก็เอาหมดเลยค่ะ”
ซย่านีมั่นใจในธุรกิจนี้มากๆ ผู้หญิงทุกคนมีนิสัยรักสวยรักงาม อีกทั้งพวกผู้หญิงทั้งหลายต่างก็ยอมทุ่มเงินเพื่อความงามเ่าั้ แต่ก่อนตอนที่อยู่ชนบท เพื่อนของเธอบางคนนั้นถึงกับยอมกินอยู่อย่างประหยัด เพื่อเก็บเงินซื้อครีมเกล็ดหิมะเลยนะ
ตัดภาพไปที่ทางด้านซ่งตงซวี่นั้น เขาก็รู้จักแต่เื่กินอย่างเดียว ต่างจากซ่งวั่งซูที่คอยเงี่ยหูฟังพวกผู้ใหญ่คุยกันอยู่ตลอด
ซย่านีสังเกตเห็นสีหน้าของซ่งวั่งซู บวกกับเห็นว่าซ่งวั่งซูใกล้จะกินเสร็จแล้ว จึงโบกมือให้เด็กสาวพร้อมกับพูดว่า “ไปกัน เดี๋ยวแม่พาไปดูเครื่องประดับผมที่แม่ทำไว้”
ซ่งวั่งซูดวงตาเป็ประกาย แทบจะะโลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันที
เครื่องประดับผมทั้งหมดถูกวางไว้บนเตียงของเซี่ยงเหมย โดยจัดเรียงเป็ประเภทต่างๆ มีทั้งกองสีอ่อน กองลายดอกไม้ และกองผ้าแพรกับกองผ้าลูกไม้อีกหนึ่งกอง แล้วยังแบ่งแยกตามขนาดของหนังยางรัดผมออกเป็ขนาดเล็ก และขนาดใหญ่อีกด้วย
ซ่งวั่งซูหยิบสีที่ตนชอบขึ้นมาจากแต่ละกองอย่างละสองสามชิ้น เธอยิ่งมองก็ยิ่งชอบมันมากๆ โดยเฉพาะชิ้นที่เป็ผ้าลูกไม้ ทำเอาเธอชอบจนวางไม่ลงเลยทีเดียว
“ชอบไหมจ๊ะ?” ซย่านีถามลูก
“ชอบค่ะ!” ซ่งวั่งซูหันหน้ากลับไปถามซย่านี “แม่คะ แม่เป็คนทำเองทั้งหมดจริงๆ หรือคะ?”
ซย่านีเชิดคางขึ้นพลางกล่าวตอบ “แน่นอนอยู่แล้ว เป็อย่างไรบ้าง แม่เก่งไหม?”
“อืมๆๆๆ!” ซ่งวั่งซูพยักหน้ารัว
แต่ก่อนเธอไม่เคยรู้เลยว่า แม่ของเธอมีความสามารถเช่นนี้ด้วย ที่แท้แล้วแม่เองก็ไม่ใช่คนที่ไร้ประโยชน์สักนิด
“ลูกชอบอันไหน? ลูกหยิบได้ตามใจเลยนะ!” ซย่านีโบกมือด้วยกำลังวังชาพร้อมกับกล่าวขึ้นว่า ‘นี่คือบ้านเมืองที่เจิ้น[1] มอบให้เ้า’
“จริงหรือคะ?!” ั์ตาของซ่งวั่งซูคล้ายกับมีดาวตกอยู่ในนั้น เธอเป็เด็กผู้หญิงที่รักสวยรักงามคนหนึ่ง เพราะแบบนี้เธอจึงชอบเครื่องประดับที่มีขนาดเล็กๆ แบบนี้เป็พิเศษ
ตอนอยู่ชั้นป.1 มีเพื่อนร่วมห้องคนหนึ่งนำกิ๊บติดผมแสนสวยจากฮ่องกงมาฝากเธอ บนกิ๊บติดผมอันนั้นประดับด้วยหินแวววาว มันสวยมากๆ ซ่งวั่งซูชอบมันยิ่งนัก ตอนนี้เธอก็ยังจำมันได้ขึ้นใจ เพื่อแลกกับสิทธิ์ในการสวมใส่กิ๊บติดผมชิ้นนั้น เธอถึงขั้นยอมทำการบ้านแทนเด็กผู้หญิงคนนั้นเลยที่เดียว
ซย่านีกล่าวว่า “แน่นอนอยู่แล้ว ลูกชอบชิ้นไหนก็หยิบชิ้นนั้นไปได้เลย”
ซ่งวั่งซูหยิบหนังยางรัดผมวงใหญ่ออกมาอย่างตื่นเต้น เธอชอบชิ้นที่มีสีแดงกับชิ้นที่เป็ลายดอกไม้สีขาว ทว่าชิ้นที่เธอชอบที่สุดก็ยังคงเป็ชิ้นที่ทำจากผ้าลูกไม้สองสามชิ้น
ซ่งวั่งซูเลือกหยิบออกมากองใหญ่ แต่จู่ๆ เธอก็เหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้ ก่อนจะค่อยๆ หยิบยางรัดผมที่เลือกไว้ กลับไปวางที่เดิมทีอย่างละชิ้น
ซย่านีงุนงงขึ้นมา “เป็อะไรไปลูก?”
ซ่งวั่งซูกล่าวตอบ “ของพวกนี้ล้วนแต่เป็ของที่แม่ต้องเอาไปขายนี่นา”
แม้ว่าั์ตาของเด็กสาวจะเต็มไปด้วยแววอาลัยอาวรณ์ แต่การกระทำกลับปฏิเสธหนังยางรัดผมวงใหญ่นั่นอย่างเด็ดขาด
ซย่านีรู้สึกประทับใจการกระทำของลูกสาวยิ่งนัก ไฉนลูกสาวสุดที่รักของเธอถึงได้รู้ความมากขนาดนี้กันนะ! ซย่านีกอดซ่งวั่งซูไว้ในอ้อมแขนพลางกล่าวว่า
“เสี่ยวเยวี่ยเอ๋อร์ของแม่นี่นะ ลูกเพิ่งจะเลือกไปไม่กี่ชิ้นเอง แม่ยังมีของที่จะขายอีกเพรียบเลย”
“ชิ้นนี้ แล้วก็ชิ้นนี้ ให้ชิ้นนี้อีกอัน…” ซย่านีหยิบยางรัดผมวงใหญ่ที่ซ่งวั่งซูเพิ่งเก็บเข้าไป ออกมาให้ทั้งหมด “ยางรัดผมพวกนี้ แม่ให้ลูกทั้งหมดเลยจ้ะ”
[1] เจิ้น 朕 คือ คำเรียกแทนตนเองของฮ่องเต้ในสมัยก่อน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้