ถึงแม้เจิ้นหนานอ๋องจะรู้ว่าอวิ๋นซีก็แค่ถามไถ่ไปตามมารยาท แต่ในใจกลับอดไม่ได้ให้รู้สึกเต็มตื้นเหมือนน้ำตาจะไหล เมื่อได้เห็นหน้าหลานสาว เขาก็มีความรู้สึกเหมือนยิ่งใกล้บ้านก็ยิ่งหวั่นใจ [1] ถึงขนาดที่กำลังคิดว่า หากลูกชายไม่ยอมรับตนจริงๆ ขอแค่หลานสาวพูดจาด้วยสักสองสามประโยค ยิ้มแย้มให้เขาอีกสักหน่อย เพียงเท่านี้ก็รู้สึกพอใจแล้ว
“ดีขึ้นมากแล้ว เพียงแต่มารดาเ้าบอกว่ายังไม่อาจเร่งเดินทางได้ชั่วคราว มิเช่นนั้นตัวข้าคงจะกลับชายแดนใต้ไปแล้ว” เมื่อคิดถึงว่าจะต้องกลับแดนใต้ เจิ้นหนานอ๋องก็ให้รู้สึกหงุดหงิดงุ่นง่าน ตอนนี้ลูกชายลูกสะใภ้ต่างก็อยู่กันที่นี่ แต่ตัวเขากลับต้องกลับไปยังจวนอ๋องที่แห้งแล้งไร้น้ำจิตน้ำใจด้วยความโดดเดี่ยว
“เอาละ ข้ามีเื่สำคัญจะสนทนากับท่านอ๋องและพระชายา พวกเ้าออกไปก่อนเถอะ” เจิ้นหนานอ๋องมองไปยังกลุ่มคนที่รวมตัวกันอยู่ ณ ที่แห่งนี้ จากนั้นก็ออกปากไล่ สำหรับคนที่ได้ชื่อว่าเป็ญาติสนิทที่เอาแต่จับจ้องตำแหน่งเจิ้นหนานอ๋องของเขาอย่างไม่วางตาเหล่านี้ เขาได้หมดความอดทนไปแล้ว
อย่าคิดว่าเขาไม่รู้ว่า ลูกสาวแสนดีผู้นั้นทำอะไรลับหลังเขาอยู่บ้าง หากไม่ใช่เพราะคนตระกูลจางทุกรุ่นไม่เคยมีปรากฏผู้ใดมีใจเป็อื่น และหากไม่ใช่เพราะเห็นแก่สิ่งที่ตระกูลจางต้องเสียสละไปเพื่อปกป้องชายแดนใต้ไว้ เกรงว่าลูกสาวตนคงถูกมัดติดกับหิน โยนลงบ่อน้ำไปแล้ว
จางเหวินเหมยได้ยินคำพูดบิดาก็คร้านจะเชื่อ นางมองบิดา เอ่ยถาม “เสด็จพ่อ ทรงไล่พวกเราออกไปหรือ? ”
ตอนนี้นางไม่สนใจอีกแล้วว่าใครเป็ใคร ท่านอ๋องก็ดี องค์หญิงก็ช่าง อย่างไรเสีย ในใจนางยามนี้หลงเหลือเป้าหมายเพียงอย่างเดียว ก็คือต้องแย่งตำแหน่งนั้นมาให้ได้ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องห้ามมิให้เื่ที่ตนวางแผนมาหลายปีต้องเป็อันล้มเลิกไป
อีกทั้ง สุขภาพของเสด็จพ่อไม่ได้แข็งแรงเหมือนก่อน ยามนี้รีบร้อนจะพบอวิ๋นซีและจวินเหยียนให้ได้ ไม่แน่ว่าอาจเป็เพราะเื่ผู้สืบทอดของจวนอ๋อง ดังนั้น นางจะจากไปในยามนี้ไม่ได้เป็อันขาด
เจิ้นหนานอ๋องมองท่าทีดื้อดึงของบุตรสาว ก่อนจะเหลียวมองไปทางลูกเขยและบรรดาหลานสาว จากนั้นก็หัวเราะหึหึ “พวกเ้ากังวลอันใดหรือ? ซื่อจื่อของจวนอ๋องคือผู้ใด เกรงว่าในพระทัยของฝ่าาย่อมต้องชัดเจนดี พวกเ้ายังคิดว่าเกิดเื่มากมายเพียงนี้ขึ้น อำนาจการตัดสินใจนี้ยังจะอยู่ในมือของเปิ่นหวางอีกอย่างนั้นหรือ พวกเ้าสำคัญตนเกินไปแล้ว”
ครอบครัวหลินหรงเว่ยทั้งห้าคนได้ยินคำกล่าวนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที
ใช่แล้ว พวกเขาต่างก็ลืมไปว่า ที่นี่มิใช่จวนเจิ้นหนานอ๋อง แต่เป็เมืองหลวง เมืองที่อยู่ภายใต้ฝ่าเท้าของโอรส์ ที่นี่มีเพียงฮ่องเต้เท่านั้นที่มีอำนาจชี้เป็ชี้ตายเหล่าผู้คนในหนานเย่า การที่พวกตนมาเยือนยังที่นี่ ผู้ที่จะได้รับเลือกเป็ซื่อจื่อของจวนอ๋องก็หาใช่เื่ที่พระบิดาของตนจะตัดสินใจได้ พวกเขาคิดคำนวณถึงเื่นี้เป็พันหมื่น แต่เหตุใดจึงไม่ได้นึกถึงเสี้ยวเหวินตี้ที่เป็ตัวแปรสำคัญ
คิดถึงตรงนี้ สีหน้าของคนเ่าั้ก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง
“เสด็จพ่อ นี่ท่านมองว่าพวกเราเดินไปสู่ทางตันแล้วจริงๆ หรือ? ” จางเหวินเหมยยืนขึ้นมองบิดาตนด้วยสายตาเกรี้ยวกราดเต็มที่ ถามเสียงเข้ม “ใช่ อำนาจการตัดสินใจนี้ ท้ายที่สุดย่อมตกอยู่ในพระหัตถ์ฝ่าา แต่หากท่านช่วยพูดสักสองสามประโยค ฝ่าาจักต้องเชื่อท่านอย่างแน่นอน”
“สำหรับฮูหยินหลิน แม้แต่การให้ความเคารพต่อบิดาตนก็ยังทำไม่ได้ อย่าไปพูดถึงว่าจะดีต่อประชาชนหรือไม่เลย เพราะตำแหน่งเจิ้นหนานอ๋องนี้ หากมอบให้อยู่ในมือพวกท่าน เกรงว่าวันหน้าหากมีศึกมาถึงชายแดนหนานเย่า ไม่แน่พวกท่านอาจถึงขั้นเปิดประตูเมืองร้องหาบิดามารดา ขอให้พวกเขาไว้ชีวิตเลยกระมัง” หวานหว่านมองสตรีที่โกรธถึงขีดสุด พูดขึ้นเรียบๆ
เสียงของนางเบาและราบเรียบมาก เมื่อรวมกับน้ำเสียงเหมือนเด็กน้อย ไม่รู้เพราะเหตุใดเมื่อฟังเข้าหูกลับให้ความรู้สึกราวเสียงของผู้ที่อยู่เหนือกว่าที่ชวนให้รู้สึกครั้นคราม อวิ๋นซีรู้สึกได้เช่นกัน จึงมองไปยังลูกสาวตน เห็นเพียงอีกฝ่ายกำลังจ้องมองจางเหวินเหมยที่แทบจะกลืนกินคนลงไปอย่างนึกสนุก
“ลูกสาวที่แต่งออกไปแล้ว ในยามที่ยังมิได้รับความเห็นชอบจากบิดากลับแอบช่วยกันกับมารดาตนหาคนมาเป็เขยแต่งเข้า ยามนี้ยังคิดจะประเคนทุกสิ่งอย่างของบ้านเดิมตนให้อีก ท่านปู่ทวดจาง ท่านช่างเลี้ยงดูคนออกมาได้เป็บุตรสาวแสนดีผู้หนึ่งจริงๆ ”
ท่าทางแฝงไปด้วยความหยอกล้ออยู่หลายส่วนของหวานหว่าน ทำให้เจิ้นหนานอ๋องหน้าแดงก่ำขึ้นทันที หากจะกล่าวโทษใครก็คงเป็เขาที่ตลอดมาไม่รู้จักควบคุมคนในครอบครัวเหล่านี้ให้ดี ทำให้ในใจของลูกสาวและลูกเขยต่างมีความคิดชั่วร้ายงอกเงยขึ้น กระทั่งยามนี้ที่มาถึงจุดที่ไม่อาจยื้อกลับมาได้อีกแล้ว
เมื่อก่อนลูกชายไม่อยู่ข้างกาย จวนเจิ้นหนานอ๋องจะเป็อย่างไร เขาล้วนไม่สนใจแม้แต่น้อย แต่ว่ายามนี้ลูกชายกลับมา ทั้งยังมีหลานสาว และเหลนสาวเหลนชาย ่ที่ผ่านมานี้เขาได้ขบคิดมากมายราวกับเพิ่งได้สติ หากตอนแรกเขาเข้มงวดสักหน่อย โดยเฉพาะหลังจากที่ลูกสาวเสียสามีไป คอยอบรมสั่งสอนนางให้ดี เื่ราวก็คงจะไม่กลายเป็ดังเช่นที่เป็อยู่ในยามนี้ ใช่หรือไม่
อวิ๋นซีมองบุตรสาว ในใจยิ่งสงสัย ก่อนจะคาดคะเนอยู่เงียบๆ คนเดียว แล้วจึงเบนสายตากลับมายังร่างของจางเหวินเหมยอย่างรวดเร็ว นางยิ้มเ็าอย่างคนเกียจคร้าน “สิ่งที่พวกเ้าเห็นเป็ดังสมบัติล้ำค่า ไม่แน่บิดาข้าคงไม่้ากระมัง หากให้พูดตามจริง กองทัพใหญ่หลายแสนนายของเจิ้นหนานอ๋องก็นับเป็สิ่งที่เย้ายวนใจมากจริงๆ แต่น่าเสียดาย ชื่อเสียงตระกูลจางย่ำแย่เกินไป ไม่เข้ากับภาพลักษณ์ของบิดาข้าที่อยู่ในใจชาวประชาแม้แต่น้อย ดังนั้น ตำแหน่งเจิ้นหนานอ๋องนี้ พวกเ้าก็ไปอยากได้กันเอาเองเถอะ”
“นั่นสิ นั่นสิ ท่านตาท่านยายเป็หมอเทวดาที่ทุกคนต่างก็ยกย่อง ทั้งยังมีจิตใจดีงาม มีใจทำเพื่อคนที่้าความช่วยเหลืออย่างแท้จริง เมื่อเทียบกับชื่อเสียงของตระกูลจางที่ทำให้คนหมดคำจะพูดเ่าั้ ภาพลักษณ์ของท่านตาก็เรียกได้ว่ายิ่งใหญ่กว่ามาก จวนเจิ้นหนานอ๋องอะไรนั่น ท่านตาข้าไม่สนใจหรอก”
จางเหวินเหมยถูกหวานหว่านและอวิ๋นซีสองแม่ลูกร่วมกันพูดยียวนจนหน้าคนถึงกับเปลี่ยนสี นางมองหวานหว่านด้วยสายตาดุร้ายแล้วจึงพูดว่า “หากเ้ายังจะพูดมากอีกประโยคเดียว อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ”
ขาน้อยๆ ของหวานหว่านกระทืบลงบนพื้น เสียงหัวเราะหึหึก้องกังวานในห้อง นางเดินไปตรงหน้าจางเหวินเหมย ถามด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ไม่เกรงใจเปิ่นจวิ้นจู่ จริงหรือ? เช่นนั้นลองบอกข้าหน่อย เ้าจะไม่เกรงใจข้าอย่างไรกัน”
นางมีสีหน้าสงสัย ทำเป็ทาย “คิดอยากจะจับข้าขึ้นมาตี จากนั้นก็บีบข้าให้ตาย หรือว่า จะเอาตัวข้าไปขาย? ”
หลินหลานอี๋เห็นว่าเื่ราวในตอนนี้กำลังจะท่าไม่ดีแล้ว ในใจแอบด่าว่ามารดาตนช่างโง่เขลา ถึงขนาดกล้าไปหาเื่ครอบครัวของอวิ๋นซีในยามนี้ ตอนนี้เป็อย่างไรเล่า คนพาลพาให้ท่านตายิ่งไม่พอใจไปด้วย ทำให้อวิ๋นซียิ่งหัวเราะเยาะ ซ้ำร้ายยังจะเป็การไปล่วงเกินคนของจวนหนิงอ๋องอีก
ถึงแม้ตัวนางเองจะไม่ชอบใครในจวนหนิงอ๋องเลย ทว่า ในยามอ่อนไหวเช่นนี้ บุญคุณความแค้นระหว่างจวนหนิงอ๋องยังไม่สามารถแสดงออกมาให้เห็นอย่างโจ่งแจ้งได้ อีกทั้ง หลังจากที่มารดาตนะโโหวกเหวกไปเมื่อครู่ สถานการณ์ย่อมเกิดการเปลี่ยนแปลง
คิดถึงตรงนี้ นางก็เคียดแค้นจนกัดฟัน จากนั้นจึงขึ้นหน้าไปจูงมือหวานหว่านไว้แล้วกล่าวว่า “หวานหว่าน เ้าฟังอาสะใภ้พูดนะ มารดาข้าถูกท่านยายข้าที่เสียไปแล้วเลี้ยงดูตามใจจนเสียคน เ้าเป็เด็กที่รู้ความ อย่าได้คิดเล็กคิดน้อยกับนางเลย”
เมื่ออวิ๋นซีได้ยินก็ยิ้มเย็นในใจ หากจางเหวินเหมยฉลาดได้สักครึ่งของหลินหลานอี๋ ก็คงไม่ถึงขนาดเล่นไพ่ดีๆ ในมือจนเสียหายย่อยยับ [2] อย่างไรเสีย บิดาอวิ๋นของนางก็ตีจากตระกูลจางไปนับสามสิบปีแล้ว แต่พวกเขาก็ยังไม่สามารถ่ชิงตำแหน่งซื่อจื่อแห่งจวนเจิ้นหนานอ๋องมาไว้ในมือได้ หากจะบอกจางเหวินเหมยโง่เขลานัก นางก็เชื่อว่า จักต้องไม่มีคนคัดค้านแน่
หวานหว่านกะพริบตาปริบๆ พูดด้วยใบหน้าราวผู้บริสุทธิ์ “ท่านอาสะใภ้ หากข้าตบท่านหนึ่งที จากนั้นก็บอกท่านว่า ข้าอายุยังน้อย ไม่รู้ความ ท่านอย่าได้คิดเล็กคิดน้อยกับข้าเลย ตัวท่าน ก็จะไม่คิดเล็กคิดน้อยกับข้าแล้วจริงๆ หรือ? ”
เมื่อจวินเหยียนและอวิ๋นซีได้ยินก็สบตากันทีหนึ่ง ในดวงตาเต็มไปด้วยแววแย้มยิ้มและปลง
————————————————————————————————
เชิงอรรถ
[1] ยิ่งใกล้บ้านก็ยิ่งหวั่นใจ(近乡情怯)หมายถึง คนที่จากบ้านเกิดไปนานเมื่อกลับมาบ้าน ยิ่งใกล้บ้านมากเท่าไรก็ยิ่งจิตใจไม่สงบมากเท่านั้น เกรงจะเกิดเื่อะไรขึ้นที่บ้าน ใช้เปรียบเทียบถึงความรู้สึกอันซับซ้อนของคนที่เพิ่งกลับบ้านมาหลังจากห่างไปไกล
[2] ไพ่ดีๆ ในมือเสียหายย่อยยับ(一手好牌给打烂)หมายถึง คนที่มีต้นทุนชีวิตดีมาก แต่กลับไม่ได้ใช้ประโยชน์จากต้นทุนที่ดีเลย ถึงขนาดแย่ยิ่งกว่าคนที่ไม่มีต้นทุนอะไรเลยเสียอีก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้