ถึงแม้เขาจะโกรธมากที่หลิงเซียวกินยาเม็ดนั้นไป แต่แค่ครู่เดียว
เขาหลอมยาเม็ดนั้นสำเร็จ หมายความว่าสามารถหลอมเม็ดที่สองได้อีก ทว่ายังไม่ทันเห็นความแตกต่างกับตัวยาตัวอื่น เลยรู้สึกเสียดายเล็กน้อย
ตลอดทั้งบ่ายวันนี้ โหยวเสี่ยวโม่หลอมหญ้าเซียนทั้งสามร้อยต้นเป็เม็ดยาจนหมด ไม่ได้เสียของแม้แต่อย่างเดียว ความเร็วก็ไวกว่าแต่ก่อนเยอะ ประเด็นหลักมาจากการฝึกเป็ประจำ ถึงได้ผลลัพธ์เช่นนี้
แต่สาเหตุอีกประการหนึ่งคือ ยาพวกนี้เขาใช้การหลอมร้อนแค่รอบเดียว
แต่ก่อนยาเม็ดนึง เขาใช้เวลาห้านาที แต่ตอนนี้ในเวลาเท่ากันเขาสามารถหลอมยาเซียนตันขั้นหนึ่งได้ถึงสองเม็ด ห้าสิบเม็ดใช้เวลาไปประมาณหนึ่งชั่วยาม
เพราะใช้เวลาน้อยลง เวลาที่เหลือเขาจึงใช้ไปกับการหลอมยาเม็ดนั้นที่หลิงเซียวกินไป
ยาเม็ดนั้นเป็เม็ดที่เขาใช้รอบการหลอมร้อนมากที่สุดถึงห้ารอบ มากสุดก็แค่สี่รอบเท่านั้น แต่ตอนที่หลอมร้อนรอบที่ห้า เขาใช้พลังปราณไปจนเกลี้ยง สุดท้ายก็ยื้อทำจนเสร็จด้วยพลังใจ
แต่ยังไม่ทันได้ตรวจสอบว่าความอันตรายในเม็ดยานั้นลดลงเหลือเท่าไร ก็โดนหลิงเซียวเขมือบไปเสียนี่
จึงได้แต่ปลอบใจตัวเอง โชคดีที่นี่เป็เพียงยาเม็ดขั้นหนึ่ง อีกหน่อยค่อยหาเวลาหลอมใหม่
“ศิษย์น้องเล็ก”
ขณะที่เขากำลังคิดอย่างใจลอย หลิงเซียวก็เอ่ยปากเรียก
โหยวเสี่ยวโม่ปฏิกิริยาเชื่องช้า ผ่านไปชั่วครู่ถึงรู้ตัวว่ามีคนเรียก เงยหน้ามองเขา ดวงตาดำขลับสื่อถึงความสงสัย
หลิงเซียวเข้าใจว่าศิษย์น้องเล็กเคืองเขาแล้ว ตั้งใจจะแกล้งเขาต่ออีกหน่อย ไม่คิดว่าผ่านไปแค่ครู่เดียว ใบหน้าบึ้งตึงก็หายไปแล้ว เปลี่ยนอารมณ์ได้เก่งกว่าที่เขาคิด นี่ช่างน่าสนใจจริงๆ
“ศิษย์น้องเล็ก ครั้งหน้าอย่าใช้พลังปราณเกินขีดอีกล่ะ” หลิงเซียวพูดเสียงเคร่งขรึม
“ทำไมล่ะ?” โหยวเสี่ยวโม่ถามอย่างฉงน
“เพราะมันส่งผลร้ายกับดวงิญญาเ้า พลังปราณที่เ้าใช้เกินขีดนั้นเท่ากับใช้พลังจากิญญา และดวงิญญาคือพื้นฐานของมนุษย์ ไม่ว่าจะคนธรรมดาหรือนักฝึกตน ถ้าไร้ซึ่งิญญา เ้าก็ไม่สามารถมีชีวิตต่อบนโลกใบนี้ได้ และเื่นี้สำหรับนักหลอมโอสถสำคัญมากๆ” หลิงเซียวกล่าว
“ทำไมงั้นหรือ?” โหยวเสี่ยวโม่ถามใสซื่ออีกรอบ เขาไม่เคยคิดถึงเื่นี้มาก่อน
ในหอคัมภีร์อาจมีบันทึก แต่สิ่งที่เขาอ่านได้มีจำกัด เนื้อหาเกี่ยวกับพลังปราณและดวงิญญาในชั้นหนึ่ง เขาจึงไม่เคยเห็น
“นักหลอมโอสถสามารถหลอมยาได้นั้นก็เพราะว่าดวงิญญาต่างกับนักฝึกตน ศิษย์พี่ของเ้าคงเคยเอ่ยกับเ้าบ้าง พลังปราณจากิญญามีแค่นักหลอมโอสถเท่านั้นที่มี ฉะนั้นถ้าไม่มีพลังปราณิญญาก็ไม่สามารถหลอมยาได้อีก ถ้าเ้าใช้พลังเกินขีด มันก็จะทำลายดวงิญญาเ้า เข้าใจรึยัง?”
พูดจบก็เคาะหัวเขาหนึ่งที พริบตาเดียว ท่าทีเคร่งขรึมจริงจังเมื่อกี้ราวกับคนละคนเลย
โหยวเสี่ยวโม่กุมหัวมองตาปริบๆ เขาคิด เขาไม่ยอมรับหรอก ท่าทีจริงจังของหลิงเซียวเมื่อครู่เขาไม่ค่อยคุ้นชิน ถ้าเกิดยอมรับเท่ากับเขาเป็พวกมาโซคิสม์? เื่น่าอายเช่นนี้มีแต่คนโง่ถึงจะยอมรับ
หลิงเซียวเอ่ยพร้อมเสียงหัวเราะ “แต่ว่า เม็ดสุดท้ายที่เ้าหลอม รสชาติไม่เลวนะ”
โหยวเสี่ยวโม่ฟังแล้วขนลุก จู่ๆ ก็รู้สึกถึงลางไม่ดี
ว่าแล้วเป็อะไร สิ่งต่อมาที่เขาได้ยินก็คือ “ข้าตัดสินใจแล้ว ขอเปลี่ยนจากห้าสิบเม็ดเป็ยี่สิบเม็ด แล้วก็เม็ดนั้น ข้าขอเพียงเม็ดเดียว เป็ไง ศิษย์พี่ใหญ่ดีกับเ้าใช่ไหมล่ะ?”
ดีบ้าอะไรล่ะ! โหยวเสี่ยวโม่ย้อนในใจ
“ศิษย์พี่หลิน เมื่อครู่ท่านบอกข้าเองว่าห้ามใช่พลังเกินขีด?” โหยวเสี่ยวโม่เงยขึ้นมองเขาอย่างใสซื่อ
คิ้วสวยของหลิงเซียวขมวดขึ้นเล็กน้อย “พลังปราณของเ้าในตอนนี้จะหลอมแค่เม็ดเดียวไม่ได้เชียวหรือ?”
โหยวเสี่ยวโม่ส่ายหัว “ตอนนี้ยังไม่ได้ หญ้าเซียนเมื่อหลอมถึงรอบที่ห้า ต้องใช้พลังปราณเยอะกว่าที่ข้าคิดมาก เม็ดก่อนหน้าที่ข้าหลอมคือตอนที่พลังข้าสมบูรณ์ แต่ก็ยังไม่พอ”
ที่จริงเขาเองไม่ทันได้คิด ในตอนนั้นเขาพึ่งหลอมยาไปเก้าสิบเก้าเม็ด ร่างกายอ่อนเพลีย ฉะนั้นจึงเอาน้ำจากในทะเลสาบมาดื่ม
น้ำจากทะเลสาบพวกนั้นช่างอัศจรรย์ ไม่เพียงแต่กำจัดความเมื่อยล้า แถมยังฟื้นฟูพลังปราณจนกลับมาอิ่มสมบูรณ์ นอกเหนือความคาดหมายเขาจริงๆ
ตอนนั้นไม่รู้เขาคิดยังไง ตอนที่หลอมร้อนหญ้าเซียนนั้น จู่ๆ ก็คิดว่าตัวเองสามารถหลอมร้อนรอบที่ห้าได้ แต่พอทำแล้ว ใครจะคิด รอบที่ห้านั้นกลับยากเย็นกว่ารอบที่สี่สองสามเท่าตัวได้ กลับกลายเป็ว่าดูดพลังเขาไปตั้งสองในสามส่วน
ไม่อยากจะเลิกกลางคัน โหยวเสี่ยวโม่ถึงได้ใช้เรี่ยวแรงอันน้อยนิดบดนวดตัวยาจนครบห้าท่วงท่า
“ดูเหมือน เ้ารีบขนาดนี้เพื่อที่จะเพิ่มพูนพลังตัวเองสินะ”
หลิงเซียวเมื่อรู้ว่าไม่ได้ดั่งใจหมาย สีหน้าดูไม่จืด ตอนพูดยังแอบกัดฟัน นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เด็กหนุ่มนี่ขัดคำพูดเขา แต่อีกฝ่ายยังทำหน้าใสซื่อใส่
โหยวเสี่ยวโม่ไม่ทันสังเกตเห็น “เอ๊ะ พลังปราณต้องเพิ่มพูนด้วยหรือ”
หลิงเซียวขมวดคิ้ว “ศิษย์พี่เ้าไม่เคยพูดเื่นี้กับพวกเ้าเลยรึ?”
โหยวเสี่ยวโม่นึกย้อน ไม่เคยจริงๆ แต่ก็โทษศิษย์พี่ฟางไม่ได้ พวกเขาพึ่งเข้าร่วมสำนักได้ไม่กี่วัน จะหลอมยาได้หรือไม่ นั่นคือปัญหาหลัก นอกนั้นข้อมูลเกี่ยวกับพลังปราณสำหรับพวกเขาคงยังไม่จำเป็
หลิงเซียวกลับไม่คิดเช่นนี้ เขาคิดว่าฟางเฉินเล่อเลินเล่อนัก พร้อมอธิบายต่อ “การเพิ่มพูนพลังปราณนั้นมีอยู่สองวิธี วิธีที่หนึ่งคือ การสะสมพลังนั้นสามารถพัฒนาไปสู่การเปลี่ยนแปลง ฉะนั้นการฝึกฝนอย่างไม่ขาดสายนั้นเพิ่มพูนพลังปราณได้ ทว่าวิธีนี้ค่อนข้างช้า ต้องใช้เวลานานถึงจะเห็นความเปลี่ยนแปลง แน่นอนว่าเ้าเปรียบเทียบตัวเองกับศิษย์พี่คนอื่นย่อมได้ ถ้าสามารถหลอมยาได้เยอะกว่าในคราวเดียว ก็แสดงว่าพลังปราณของเ้านั้นมีมากกว่า”
นี่เป็ครั้งแรกที่หลิงเซียวพูดเยอะขนาดนี้นับั้แ่วันที่รู้จักกัน
โหยวเสี่ยวโม่ฟังอย่างมีอรรถรส ถามต่อ “แล้ววิธีที่สองล่ะ?”
หลิงเซียวมองเขาครู่หนึ่ง “วิธีที่สองคือวิชายุทธ์ คัมภีร์วิชายุทธ์ที่ใช้ฝึกพลังปราณิญญาโดยเฉพาะเพียงเล่มเดียว มีประโยชน์กว่าการฝึกทั้งวันทั้งคืนของเ้ามากโขทีเดียว”
โหยวเสี่ยวโม่ตาเป็ประกายทันใด ถามอย่างเร่งรีบ “จริงเหรอ? วิชายุทธ์นั่น…”
หลิงเซียวยิ้มมุมปาก เผยท่าทางที่โหยวเสี่ยวโม่คุ้นเคยที่สุดออกมา พลันสะดุ้งจนหน้าตาดีอกดีใจนั้นนิ่งกริบ ทว่าหน้าตาที่ในั้นกลับทำให้เขาพริ้มใจ อารมณ์ดีขึ้นเยอะทีเดียว “ศิษย์น้องเล็ก เ้าคิดว่าวิชายุทธ์การฝึกฝนพลังปราณนั้นได้มาอย่างง่ายดายเช่นนั้นรึ?”
“ถ้างั้น?” โหยวเสี่ยวโม่เอ่ยถาม ถูกขู่ราวกับแมวน้อยที่โดนริบกรงเล็บ ถึงจะไม่มีกรงเล็บอยู่แล้วก็เถอะ
หลิงเซียวพูดยิ้มกริ่ม “วิชายุทธ์การฝึกฝนพลังปราณ แม้นักหลอมโอสถระดับสูงก็ใช่ว่าจะมี”
โหยวเสี่ยวโม่เอ่ยอย่างครุ่นคิด “หรือว่า วิชายุทธ์พลังปราณนั้นมีน้อยหรือ”
“หาใช่แค่น้อย ทั้งดินแดนหลงเสียงก็มีไม่ถึงสิบเล่ม เท่าที่ข้ารู้ ในสำนักใหญ่อย่างเทียนซินเอง ก็มีเพียงเล่มเดียว อีกทั้งยังถูกเก็บมิดชิด เว้นแต่จะเป็ลูกศิษย์สายตรง ฉะนั้นไม่มีทางถ่ายทอดให้ศิษย์คนอื่นง่ายๆ แน่นอน”
เื่พวกนี้ล้วนอยู่ในความทรงจำของหลินเซียวนั่นเอง
สำหรับตัวเขาเอง เขาไม่เคยถามไถ่เื่ดินแดนหลงเสียง เวลาครึ่งหนึ่งของเขานั้นหลับใหลอยู่ ไม่รู้ย่อมไม่แปลก
“ศิษย์สายตรง…” โหยวเสี่ยวโม่คอตก เขาในตอนนี้เป็แค่ศิษย์ฝึกหัด แม้แค่จินตนาการยังยากเลย
เมื่อเห็นท่าทีผิดหวัง ความไม่สบายใจก็ถาโถมหลิงเซียวอย่างไม่รู้สาเหตุ พลันเอ่ย “แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีทางเป็ไปได้” พูดจบก็รู้สึกเสียใจทีหลัง เพราะว่า…
โหยวเสี่ยวโม่ราวกับฟื้นคืนชีพ จ้องเขาด้วยความหวัง
ท่าทางแบบนี้ช่างเหลือทนจริง ราวกับแมวน้อยที่น่ารักน่าชัง ดวงตาโตดำขลับที่เหมือนนิลหยก เงาวิบวับจ้องมายังเขา หลิงเซียวรู้สึกคันไม้คันมือเหลือเกิน
หลิงเซียวกระแอมและเอ่ย “สถานะเช่นเ้า สำนักเทียนซินย่อมไม่มีทางมอบวิชายุทธ์ให้เ้าแน่ แต่ว่า…”
โหยวเสี่ยวโม่พยักหน้า “แต่ว่าอะไร?”
“ข้ามีหนทางได้มันมา”
“จริงเหรอ?” โหยวเสี่ยวโม่ยิ้มแป้นดีใจ แต่ไม่ทันไรก็นึกสงสัยขึ้นมา พร้อมเอ่ยถามอย่างตะลึง “ท่านจะไปขโมยวิชายุทธ์ในสำนักเทียนซินงั้นหรือ?”
พูดจบปุ๊บ ก็โดนมะเหงกหลิงเซียวเข้าให้ “พูดอะไรของเ้าน่ะ ข้าดูเหมือนคนใจคดลักเล็กขโมยน้อยเช่นนั้นรึ”
โหยวเสี่ยวโม่อยากตอบว่าใช่ แต่พอไตร่ตรองแล้ว ก็พลันส่ายหัว “ไม่เหมือน”
คำตอบนี้มีผลกับท่านเท้าหลิงเซียวมาก ส่วนเื่ที่เขาจะลักเล็กขโมยน้อยหรือไม่นั้น มีแต่เขาเท่านั้นที่รู้