ไม่ช้า ชุดเกราะเหล็กก็ถูกยกขึ้นมาวางไว้บนหอสังเกตการณ์อย่างเป็ระเบียบทั้งหมดยี่สิบสองชุด ชายฉกรรจ์ทั้งยี่สิบสองคนยืนอย่างเงียบๆ ราวกับเป็เทพแห่งา ชุดโลหะสะท้อนแสงอาทิตย์จนเป็ประกายจนไม่อาจเข้าไปดูใกล้ๆ ได้
นี่เป็ชุดอัศวินเกราะหนักที่าาองค์ก่อนของเมืองแซมบอร์ดได้เก็บสะสมมาชั่วชีวิต ทั้งหมดมียี่สิบสองชุดซึ่งสร้างมาจาก ‘อลูมิเนียม’ จำนวนมากผสมกับเหล็กกล้าละเอียดที่ทนทานที่สุด รูปแบบที่ทรงพลังประเมินค่าไม่ได้และมีพลังป้องกันที่น่าทึ่ง อาวุธทั่วไปไม่สามารถทำลายเกราะป้องกันนี้ได้ ชุดเกราะนี้เหมาะกับานี้อย่างแน่นอน
ตลอดชีวิตของาาองค์ก่อนทรงถือว่า ชุดเกราะทั้งยี่สิบสองชุดนี้เป็สมบัติของชาติที่ล้ำค่าและเก็บไว้ในพระราชวังไม่ยอมนำออกมาใช้ บ่อยครั้งที่พระองค์นำมันออกมาเช็ดถูอย่างทะนุถนอมอยู่คนเดียว เรียกได้ว่าาาองค์ก่อนรักมันเท่าชีวิตตัวเองเลยก็ว่าได้
คาดไม่ถึงว่า วันนี้กลับถูกซุนเฟยสั่งคนให้ไปขน ‘สมบัติของชาติ’ ขึ้นมาบนกำแพงอย่างไม่คิดเสียดาย
เห็นฉากนี้ ทุกคนบนกำแพงต่างไม่รู้ว่าองค์าาอเล็กซานเดอร์คิดจะทำอะไร จึงพากันกระซิบกระซาบด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“เป็อย่างไร เหล่านักรบของข้า ชุดเกราะหนักพวกนี้พวกเ้าสวมมันเป็ใช่ไหม?” ซุนเฟยชี้ไปที่ชุดเกราะหนักที่ประกายแสงแวววาวสีเงินทั้งยี่สิบสองชุด พลางถามพวกเขา
“ไม่มีปัญหาขอรับ ฝ่าา!” เห็นชุดเกราะทั้งยี่สิบสองชุดที่กำลังแวววาวพวกนี้แล้ว เหล่าชายฉกรรจ์ก็เหมือนกับกระต่ายน้อยกำลังจ้องมองแครอทตาวาว นักรบที่แท้จริงต้องคู่กับอาวุธที่องอาจ
“งั้นก็ดี เลือกชุดเกราะที่เหมาะกับตัวเองเสีย รีบสวมอุปกรณ์ที่ข้ามอบให้เร็วที่สุด พวกเราเหลือเวลาไม่มากแล้ว”
เหล่าชายฉกรรจ์ต่างเป็พวกเถรตรง ภายใต้คำสั่งของซุนเฟย พวกเขาไม่มีท่าทางบ่ายเบี่ยงแม้แต่น้อย ต่างพากันแย่งเลือกชุดเกราะอย่างรื่นเริง
“เพียร์ซ เ้าก็ไปเลือกด้วยหนึ่งชุด อีกสักพักก็ไปสังหารศัตรูด้วยกันกับข้า”
“เยี่ยมไปเลย” เพียร์ซได้ยินแบบนี้ก็พลันดีใจ เขาคลายคิ้วที่ขมวดแล้วรีบไปเลือกชุดเกราะ
ชุดเกราะพวกนี้แม้ว่าจะมีพลังป้องกันที่น่าทึ่ง แต่เนื่องจากที่มันสร้างจากเหล็กกล้าที่ผสมด้วย ‘อลูมิเนียม’ นอกจากจะราคาแพงแล้วยังหนักมากด้วย ชุดหนึ่งหนักไม่น้อยกว่าหกสิบเจ็ดสิบจิน (สามสิบกิโลกรัม) นี่เป็เหตุผลว่าทำไมซุนเฟย้าให้บรู๊คคัดเลือกทหารที่มีพละกำลังแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาทหาร เพราหากคนธรรมดาสวมพวกมัน อย่าว่าแต่จะสวมเกราะไปฆ่าศัตรูเลย เกรงว่าแม้แต่เดินยังคงต้องให้คนช่วยประคองด้วยซ้ำ
เหล่านักรบทั้งยี่สิบคนนี้ คือกองกำลังที่ซุนเฟยตัดสินใจจะใช้เข้าโจมตีศัตรูก่อน
ยี่สิบคนนี้แม้ว่าจะไม่มีคลื่นพลัง แต่ทุกคนต่างเป็บุรุษที่ทรงพลัง แค่สวมชุดอัศวินเกราะหนักยังไม่ทันหยิบอาวุธใดๆ พวกเขาทั้งยี่สิบกว่าคนก็เหมือนพยัคฆ์ร้ายที่พร้อมจะออกไปขย้ำคน สะพานหินแคบๆ นั่น หากใช้ดีๆ เมื่อถึงคราวที่ทั้งสองฝ่ายประทะกันคนที่ได้ประโยชน์คือฝ่ายเรา
ั้แ่ต้น ซุนเฟยไม่คิดจะนำคนจำนวนมาบุกเข้าไปโจมตีเหล่าข้าศึกเกราะดำ
กวาดสายตามองบรู๊คสักพัก ซุนเฟยก็เริ่มลังเล
เดิมทีผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ที่มีพลังนักรบหนึ่งดาวก็เป็ตัวเลือกที่ไม่เลว แต่ทันใดนั้นซุนเฟยก็คิดขึ้นว่า หากมีผู้บัญชาการที่สามารถวางแผนกลยุทธ์อยู่บนกำแพงเมือง ในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นบนกำแพงเมืองก็ยังมีเขาคอยควบคุมดูแล
ซุนเฟยพิจารณาอยู่สักพักก็ตัดสินใจทิ้งผู้บัญชาการคนนี้ให้อยู่รักษาการณ์บนกำแพง เขาเบนสายตามองเลยบรู๊คไป ก่อนจะหันไปมองบริเวณไกลๆ ก็บังเอิญพบพัศดีโอเลเกร์ที่ยืนอยู่ตำแหน่งช่องว่างของผนัง สีหน้าก็พลันเปล่งประกาย ในใจกระตุกเล็กน้อย ก่อนจะกวักมือเรียกเ้าภูตตูดม้ากลัวตายนั่นให้เข้ามาหา
“ไปเลือกชุดเกราะมาสวม” ซุนเฟยไม่อธิบายใดๆ ต่อเ้าภูติตูดม้า
โอเลเกร์มองอย่างุนงง เมื่อกี้เขาอยู่ไกลไปหน่อยเลยไม่ได้ฟังต้นสายปลายเหตุอะไรและไม่รู้ว่าเลือกชุดเกราะไปทำไมทั้งยังคิดว่าองค์าาเมตตากรุณาอยากจะช่วยปกป้องชีวิตตัวเองด้วยการมอบชุดเกราะให้ ทันใดนั้นคิ้วเข้มๆ ของภูติตูดม้าก็คลายออกมาก่อนจะวิ่งไปหยิบชุดเกราะที่เหลือมาสวม
ไม่ช้าก็มีทหารอีกสองสามนายยกอาวุธขนาดใหญ่ขึ้นมา
อาวุธหนักพวกนี้ก็ถูกขนออกมาจากในพระราชวัง เป็ของรักของหวงของาาองค์ก่อนเช่นกัน วันนี้ได้ถูกซุนเฟยหยิบออกมาใช้สอยให้เป็ประโยชน์แล้ว
ตึง! ตึง!
ของพวกนี้เป็อาวุธประเภทขวานและค้อนขนาดใหญ่ทั้งยี่สิบเอ็ดชิ้น รูปแบบของมันช่างน่าเกรงขาม อาวุธเ่าั้ะเิแรงกดดันที่เต็มไปด้วยบรรยากาศอึมครึม ทั้งยังแผ่กลิ่นอายหนาวเย็นะเื ขณะที่วางบนพื้น อาวุธก็กระแทกพื้นหินจนแตกละเอียด เห็นได้ชัดว่ามันหนักมาก
“แต่ละคนไปเลือกอาวุธมาคนละชิ้น”
ได้ยินฝ่าารับสั่งเช่นนี้ เหล่านักรบต่างพากันเข้าไปเลือกหยิบอาวุธอย่างไม่ลังเล เพียร์ซเลือกค้อนเหล็กั์ที่รูปทรงอลังการ ส่วนดร็อกบาเลือกขวานั์ด้ามยาวหนึ่งอัน ใบขวานใหญ่เหมือนกับบานประตู แค่มองก็ทำให้คนที่เห็นต่างกลัวจนหัวหดยังไม่รวมกับบรรยากาศเย็นะเืของมันอีก
ตอนนี้โอเลเกร์เริ่มรู้สึกว่าบรรยากาศแบบนี้มันแปลกๆ
แต่เห็นสีหน้าของอเล็กซานเดอร์ที่แสดงอาการเคร่งขรึม เขาก็ไม่กล้าถามมาก รีบทำตามคำสั่ง เขาหยิบทวนที่สูงกว่าตัวเองแล้วยืนอยู่ข้างๆ
บรู๊คไม่เห็นส่วนของตัวเองจึงรีบถามออกมา “ฝ่าา ข้า...”
“เ้าอยู่ที่กำแพง เพื่อรักษาการบนกำแพงเมืองแซมบอร์ดให้ข้า รอพวกเรากลับมา” ซุนเฟยตบไหล่ของบรู๊คแล้วพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ที่นี่มีแค่เ้าที่ข้าเชื่อใจ”
บรู๊คได้ยินดังนั้นร่างก็สั่นสะท้าน ยืนอึ้งอยู่กับที่
ซุนเฟยไม่พูดอะไรอีก เขารับถุงน้ำที่บรรจุน้ำเต็มถุงทั้งสี่สิบหกใบที่เตรียมมาก่อนหน้านี้จากทหารที่อยู่ข้างๆ พร้อมกำชับบางอย่าง จากนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงสายตาของทุกคน เขาหันหลังเดินเข้าไปในหอสังเกตการณ์
แค่คิด ก็นำ ‘น้ำยารักษาชีวิตขวดกลาง’ หนึ่งขวดและ ‘น้ำยาฟื้นฟูความแข็งแกร่ง’ หนึ่งขวดออกมา แล้วเทลงไปในถุงน้ำ เขย่าเล็กน้อยเพื่อให้เจือจาง ใช้ไปแค่สองขวดเท่านั้น จากนั้นก็เรียก ‘นักรบเกราะเหล็ก’ ทั้งยี่สิบสองคนให้เข้ามาในหอสังเกตการณ์ แบ่งให้ทุกคน คนละสองถุง
“ด้วยพรของพระเ้าที่อวยพรพวกเรา น้ำในถุงน้ำสีฟ้า ดื่มแค่อึกเดียวสามารถขจัดความเมื่อยล้าได้ น้ำในถุงน้ำสีแดง ดื่มแค่อึกเดียว สามารถฟื้นฟูอาการาเ็ได้...หลังจากที่เข้าบุกโจมตีข้าศึก จงระวังและรักษาชีวิตตัวเองไว้ ในกรณีที่าเ็หรือเหนื่อยล้าให้รีบดื่มน้ำ”
ได้ยินซุนเฟยพูดจบ เหล่านักรบและเพียร์ซพากันดีใจ
แม้ว่าพวกเขาจะมีพละกำลังแข็งแกร่งมาแต่กำเนิด แต่ร่างที่สวมชุดเกราะหนักกว่าหกสิบเจ็ดจิน (สามสิบกิโลกรัม) หากต้องต่อสู้เป็เวลานานก็อาจรู้สึกเหนื่อยล้า หากมีน้ำวิเศษของพระเ้าสองถุงที่มีฤทธิ์ตามที่าาอเล็กซานเดอร์กล่าว ก็แก้ปัญหาที่พวกเขาวิตกได้ สามารถที่จะตะลุยไปไล่ฆ่าศัตรูได้อย่างสะใจ
ในที่สุดพัศดีโอเลเกร์ก็เข้าใจแล้วว่า จุดประสงค์ที่มอบชุดเกราะและอาวุธให้ตัวเองคืออะไร ใบหน้าก็พลันซีดกลัวตายขึ้นมา เหงื่อแตกพลั่กๆ สมองว่างเปล่า พูดติดอ่าง “ฝ่าา...ข้า...ข้า”
ซุนเฟยมองเขา ในดวงตาเป็ประกายเ็า
ในใจโอเลเกร์เต้นโครมครามอย่างบ้าคลั่ง เหงื่อกาฬไหลยิ่งกว่าเดิม ได้แต่กลืนคำพูดตัวเองลงท้องไป ฆ่าให้ตายก็ไม่กล้าพูด
“ทุกคนดื่มน้ำถุงสีฟ้าก่อนเลยนะ จากนั้นก็เตรียมตัวลงจากกำแพง”
ซุนเฟยพูดพลางสวมชุดอัศวินเกราะหนักที่วางไว้ในหอสังเกตการณ์
อึก อึก
เพียร์สและนักรบอีกยี่สิบคนต่างดื่มน้ำในถุงน้ำสีฟ้าอึกหนึ่ง
เมื่อน้ำไหลผ่านลำคอ ในหอสังเกตการณ์ก็พลันมีเสียงอุทานอย่างใ
ทุกคนต่างเผยสีหน้าแปลกใจ
เพราะว่าพวกเขาสามารถรู้สึกได้อย่างว่าชัดเจน ราวกับว่ามีพลังมหัศจรรย์อันน่าเหลือเชื่อไหลไปทุกส่วนของร่างกายของพวกเขา เพียงชั่วพริบตา ทั่วทั้งร่างกายเต็มไปด้วยพลังไม่มีที่สิ้นสุด
ความรู้สึกหนักชุดเกราะก็พลันหายไป ราวกับว่าบนร่างพวกเขาสวมเพียงเสื้อผ้าบางๆ ชุดหนึ่ง ไม่ต้องพูดถึงเดินเลย วิ่งพวกเขาก็สามารถวิ่งได้ อาวุธั์ในมือที่หนักสี่สิบห้าสิบจิน (ยี่สิบกิโลกรัม) ก็เหมือนฃกำลังถือฟางข้าว เบาเหมือนไม่ได้ถืออะไร
ทั้งหมดนี้ก็ดูเหมือนจะเป็ภาพลวงตาที่สวยงาม
แต่จากสายตาที่ตื่นใของหน้าเหล่าสหาย พวกเขาจึงมั่นใจความรู้สึกที่พวกเขาััมันเป็ความจริง นั่นเป็ผลจากพลังมหัศจรรย์ ราวกับว่าพวกเขาทุกคนถูกนักเวทร่ายมนต์ไร้น้ำหนักใส่
เป็เื่ที่น่าเหลือเชื่อมาก
“หลังจากที่ลงจากกำแพงแล้ว ทุกคนต้องฟังคำสั่งข้า ไม่อนุญาตให้ขัดคำสั่ง มิฉะนั้นจะถูกปะาทันที...” ซุนเฟยกวาดสายตามองนักรบที่ตัวเองคัดเลือกมาด้วยรังสีฆ่าฟัน มือขวาถือขวานั์สีดำที่ตัวเองใช้ในตอนแรก มือซ้ายหนีบหมวกเกราะไว้ที่รักแร้ หันกายเดินออกจากหอสังเกตการณ์คนแรก
“ลุย!”
เหล่าวีรบุรุษต่างพากันเดินออกจากหอสังเกตการอย่างเร่งรีบ
ด้วยรับสั่งก่อนหน้านั้นของซุนเฟยที่กำชับเหล่าทหารให้เตรียมเชือกหนามายี่สิบเส้น ผูกไว้กับเสาหินแล้วทิ้งลงไปข้างล่าง เพียร์ซเป็คนแรกที่ไปก่อน เขาสวมหมวกเกราะและโบกค้อนั์ในมือไปทางทหารที่อยู่ห่างไกลเป็การบอกลา การไปครั้งนี้จะอยู่หรือตายก็ไม่อาจจะคาดเดาได้ แต่ถึงอย่างนั้นเพียร์ซกลับไม่สนใจแม้แต่น้อย เขาหัวเราะขณะที่จับเชือกก่อนจะโดดลงจากกำแพง...
น้ำยาฟื้นฟูความแข็งแกร่งที่เจือจางในน้ำทำให้ความแข็งแกร่งของเพียร์ซถึงระดับที่เกินจริง แม้ว่าจะสวมชุดเกราะหนักๆ นี้อยู่ แต่ร่างกายของเขายังคงคล่องแคล่วเหมือนลิงั์ จับเชือกหลวมๆ แล้วสไลด์ตัวลงจากกำแพง
ตึง!
เมื่อเท้าแตะถึงพื้น ทันใดนั้น เมื่อประทับรอยเท้าลึกบนพื้น ฝุ่นก็คลุ้งไปทั่ว
ตึง! ตึง! ตึง!
ในขณะเดียวกัน เหล่านักรบอีกยี่สิบคนก็จับเชือกแล้วโรยตัวจากกำแพงลงมาถึงพื้น ราวกับปีศาจเหล็กั์ทั้งยี่สิบตนหล่นลงมาจากฟากฟ้าสู่ดิน พื้นะเืไปครู่หนึ่ง พวกเขาเริ่มรวมตัวเป็กระบวนทัพ ขยับเข้าหากันกลายเป็รูปกระบวนทัพตัว V โดยมีเพียร์ซเป็แกนหลัก
ซุนเฟยอยู่ยืนอยู่บนกำแพง หันกลับไปมองบรู๊คและแลมพาร์ดก่อนจะสวมหมวกเหล็กและจับเชือกหนา ตอนนั้นเอง มีเสียงะโดังมาจากไกลๆ
“อเล็กซานเดอร์ ท่านห้ามไปนะ...”
สาวงามยกกระโปรงวิ่งขึ้นมาจากบันไดหินไกลๆ น้ำเสียงของเธอแฝงไปด้วยเสียงสะอื้นร้องไห้ นางอยากจะห้ามอเล็กซานเดอร์ไม่ให้ออกไปเสี่ยงอันตราย เห็นแต่ไกลๆ ว่าใบหน้างดงามนั่นเต็มไปด้วยสีหน้าหวาดกลัวขนาดไหน...
“แองเจล่า...”
ซุนเฟยมองด้วยสายตาลึกล้ำ อยากจะจดจำใบหน้าของแองเจล่าไว้ในหัว ไม่มีคำพูดใดจะกล่าว เขาดึงหมวกเหล็กให้เข้าที่ จับเชือกหนาแล้ว เขามองลอดช่องตาหมวกเกราะมองไปยังแองเจล่าด้วยสายตาอาวรณ์ ก่อนจะหมุนกายกำเชือกแน่นแล้วโดดลงไป
เมื่อเริ่มดำเนินการแล้ว ก็ต้องลงมือรวดเร็วดุจสายฟ้า ไม่อาจจะรั้งรอใดๆ ไม่เช่นนั้น ฝ่ายศัตรูจะสังเกตเห็น
ซุนเฟยไม่มีเวลาจะพูดกับแองเจล่าแม้แต่ประโยคเดียว
------------------
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้