ฮ่องเต้ทรงมีพระราชโองการ บุตรชายคนเล็กของจงหย่งโหว หลี่ซวี่ มีเมตตากรุณา ฉลาดเฉลียว กตัญญูกตเวที พระราชทานนาม หลี่ลั่ว สืบทอดตำแหน่งขั้นหนึ่ง จงหย่งโหว พระราชทานเงินจำนวนแปดพันตำลึง ไข่มุกบูรพาิโหลว (สิบเม็ด) ปิ่นปักผมผีเสื้อทองคำ ปิ่นปักผมเคลือบลายเมฆา กำไลหยกขาวแปดเซียน และลูกประคำแก้วจำนวนสองสาย
หลี่ลั่วยังกลับไม่ถึงจวนจงหย่งโหว พระราชโองการของฮ่องเต้กลับไปถึงจวนก่อนแล้ว เหตุผลนั้นง่ายดายยิ่งนัก แม้ว่าเมื่อสี่ปีก่อนจ้าวหนิงฮ่องเต้ทรงมีพระราชโองการปากเปล่า ทว่ากลับไม่ได้มีพระราชโองการเป็ลายลักษณ์อักษรออกมา หากหลี่ลั่วกลับถึงจวนจงหย่งโหวก่อนพระราชโองการของฮ่องเต้ สถานะของหลี่ลั่วจะดูพิลึกพิลั่นมาก แต่ถ้ามีพระราชโองการนำไปก่อน ทันทีที่ก้าวเข้าประตูจวนโหวเขาก็คือโหวเหฺย
ทว่ากงกงที่รับหน้าที่อัญเชิญพระราชโองการของฮ่องเต้นั้นได้รับอั่งเป่า[1]มูลค่าสูงจากหลี่หยางซื่อออกจากจวนโหวไปแล้ว เงาของหลี่ลั่วก็ยังกลับมาไม่ถึงจวนโหว หลี่หยางซื่อหลังจากใคร่ครวญดูแล้วจึงเอ่ยกับหลี่เหล่าไท่ไท่ว่า “ท่านแม่เ้าคะ มีความเป็ไปได้ว่าฮ่องเต้อาจจะทรงรั้งตัวเสี่ยวโหวเหฺยเอาไว้เย็นสักหน่อย มิสู้ท่านกลับไปพักผ่อนที่เรือนว่านโซ่วเสียก่อน เสี่ยวโหวเหฺยเร่งเดินทางกลับมาเมืองหลวงตลอดเส้นทาง เกรงว่าอาจจะเหนื่อยล้า มิสู้พรุ่งนี้เช้าสะใภ้เชิญเสี่ยวโหวเหฺยไปคารวะท่านยามเช้า[2]ดีหรือไม่เ้าคะ”
หลี่เหล่าไท่ไท่พยักหน้ารับ “เด็กน้อยเพิ่งเดินทางไกลกลับมา ให้เขาพักผ่อนให้ดีสักหลายวันค่อยมาก็ไม่สาย”
“ขอบคุณท่านแม่เ้าค่ะ”
หลี่เหล่าไท่ไท่จากไปแล้ว ภรรยาของหลี่ฮุยนำคนในเรือนของหลี่ฮุย ภรรยาของหลี่ฮ่าวนำคนในเรือนของหลี่ฮ่าว ต่างคนต่างแยกย้ายกันกลับออกไป
“ท่านแม่ เมื่อสักครู่ท่านเห็นปิ่นปักผมนั่นหรือไม่เ้าคะ ช่างสวยงามนัก” หลี่หม่านคล้องแขนเข้ากับมือของมารดาตนเอง “นั่นเป็ปิ่นปักผมของผู้หญิง น้องหกเองก็มิได้ใช้ มิสู้...” หากนับตามลำดับพี่น้องในสกุลหลี่ คุณชายใหญ่คือหลี่เวินผู้ปีนี้มีอายุยี่สิบสามปี คุณชายรองคือหลี่หงปีนี้มีอายุสิบแปดปี คุณชายสามคือหลี่ฉือปีนี้อายุสิบแปดปี คุณชายสี่คือหลี่โจวปีนี้อายุสิบสี่ปี คุณชายห้าคือหลี่เฉาปีนี้อายุแปดขวบ และคุณชายหกคือหลี่ลั่วปีนี้มีอายุห้าขวบ ส่วนคุณหนูใหญ่คือหลี่หลินปีนี้มีอายุสิบหกปี คุณหนูรองคือหลี่หม่านปีนี้อายุสิบห้าปี คุณหนูสามคือหลี่อวิ๋นปีนี้อายุสิบสี่ปี คุณหนูสี่คือหลี่รุ่นปีนี้อายุสิบสองปี และคุณหนูห้าคือหลี่โหยวปีนี้อายุสิบเอ็ดปี
“ช่างงดงามจริงๆ” เด็กน้อยอายุห้าขวบจะเอาของเหล่านี้ไปทำอะไร? สิ่งของที่ฝ่าาพระราชทานให้นั้น มิใช่นำมามอบให้หญิงสาวในจวนหรือไร? “รอให้น้องหกของเ้ามาถึงแล้ว เ้าก็ไปกล่อมเขาสักหน่อย เขาอารมณ์ดีแล้วจะให้ยกให้เ้าเอง”
“เ้าค่ะ เด็กน้อย คุยง่าย หากไม่ใช่กินก็เล่น” หลี่หม่านเต็มไปด้วยความมั่นใจ
ปิ่นปักผมอันนี้ อย่าว่าแต่หลี่หม่านคิดอยากได้ หลี่อวิ๋นเองก็มีความคิดอยากเช่นเดียวกัน ครอบครัวสกุลหลี่ฝั่งนี้แม้ว่าจะมีจิ้นซื่อ[3]ถึงสองคน แต่เงินรายปีของเรือนฝั่งนี้ค่อนข้างน้อย นอกจากหลี่เหล่าไท่ไท่ที่ในมือยังมีของดีล้ำค่าออกมาบ้าง สิ่งของชิ้นอื่นที่ได้รับพระราชทานนั้นหาได้มีไม่ และต่อให้ของในมือของหลี่เหล่าไท่ไท่จะเป็สิ่งของมีค่า มีค่าเป็มูลค่าเงินทอง แต่ก็มิใช่สิ่งของที่ฮ่องเต้ทรงพระราชทานลงมา ไฉนเลยจะมีค่าเทียบเท่ากับสิ่งของพระราชทานได้
“ท่านย่า ข้าอยากได้กำไลข้อมืออันนั้นเ้าค่ะ มันเป็หยกขาวมันแพะ[4] ข้าไม่เคยพบเห็นหยกใดที่สวยงามเท่านี้เลยเ้าค่ะ” หลี่อวิ๋นจับมือหลี่เหล่าไท่ไท่พลางกล่าวอ้อน
“นั่นเป็สิ่งของที่องค์ฮ่องเต้พระราชทานแก่น้องหกของพวกเ้า หากเ้า้าก็ต้องไปขอจากน้องหกของพวกเ้า” ยังมีเงินอีกแปดพันตำลึง เงินกองกลางต้องใช้เลี้ยงคนจำนวนมากมาย แม้ว่าสกุลหลี่จะมีเรือกสวนไร่นานับหมื่นหมู่ เป็เ้าของร้านค้าและหมู่บ้าน ทว่านางไม่มีฐานะของผู้นำครอบครัว ย่อมไม่สามารถหาเงินได้ ดังนั้นเงินกองกลางของสกุลหลี่นั้นจึงมิได้สบายนัก ด้วยนาง้าตัดปัญหายุ่งยาก ดังนั้นที่นาหนึ่งหมื่นห้าพันไร่จึงได้ปล่อยเช่าเอา ร้านค้าก็ปล่อยเช่าเช่นกัน ที่นาและร้านค้าดอกเบี้ยปีหนึ่งรวมแล้วเป็จำนวนหนึ่งหมื่นกว่าตำลึงเงิน แต่ต้องเลี้ยงคนทั้งบ้าน สินน้ำใจในการไปมาหาสู่ย่อมต้องมีของขวัญ ยิ่งไปกว่านั้นสมาชิกหลักในบ้านแต่ละคนในปีหนึ่งต้องมีจับจ่ายใช้สอยกันคนละสามร้อยถึงห้าร้อยตำลึงเงิน รวมที่ให้ข้ารับใช้เข้าไปด้วยก็สี่พันตำลึงแล้ว นี่ยังไม่รวมอาหารการกิน สมาชิกในเรือน และค่าของขวัญอีก ดังนั้นทรัพย์สินกองกลางจึงขาดสภาพคล่องทางการเงินยิ่งนัก หลี่เหล่าไท่เหฺยผู้รั้งตำแหน่งขุนนางขั้นสาม กวงลู่ซื่อชิง[5] นั้น เดิมทีเป็หน้าที่ที่มีช่องทางหาเงินได้มากมาย เนื่องจากทำหน้าที่จับจ่ายสิ่งของจำเป็ต้องใช้เข้ามาในวังหลวง ย่อมมีเงินที่ได้จากการวิ่งเป็ธุระ แต่ด้วยความที่หลี่เหล่าไท่เหฺยเป็ขุนนางตงฉิน[6] มิกล้ารับสินบน ฉะนั้นตำแหน่งขุนนางขั้นสามที่รั้งอยู่มาสิบกว่าปีจึงทำให้สถานะการเงินในกองกลางของสกุลหลี่ยังคงหาได้เพียงพอไม่
หลี่เหล่าไท่ไท่เองมิใช่ไม่เคยลองทาบทามเรือนของเ้ารอง ทว่าเมื่อครั้งเ้ารองแยกเรือนออกไปนั้น นางและหลี่เหล่าไท่เหฺยต่างก็ยังอยู่ในเรือนเดิม ดังนั้นจึงมิได้แบ่งทรัพย์สมบัติใดๆ ติดตัวออกมาด้วย หากตอนนี้นางและหลี่เหล่าไท่เหฺย้าให้ทรัพย์สินกองกลางรวมกันแล้วไซร้ ยังมิอาจหาเหตุผลที่เหมาะสมได้
“เช่นนั้นรอให้น้องหกกลับมาแล้วข้าค่อยไปขอเ้าค่ะ” ในใจของหลี่อวิ๋นนั้น ไม่ว่าในบ้านมีอะไรที่เป็ของดีล้วนเป็ของๆ นางทั้งสิ้น เป็เื่ที่สมควรแล้ว
[1] อั่งเปา หรือ หงเปา (红包) หมายถึง ซองแดงที่คนจีนมักจะใส่เงินเป็สินน้ำใจ และเป็เงินยาซุ่ยในเทศกาลตรุษจีนของทุกปี
[2] คารวะยามเช้า (请安) เป็ธรรมเนียมประเพณีของจีนโบราณที่ลูกหลานต้องมาสวัสดียามเช้า หรือ ฉิ่งอัน ในทุกๆ เช้า
[3] จิ้นซื่อ (进士) หมายถึง บัณฑิตชั้นสูงที่รอเรียกเข้ารับราชการ
[4] หยกขาวมันแพะ (羊脂白玉) ถือได้ว่าเป็หยกเนื้อดีที่สุด มีลักษณะมันวาวและขาวเหมือนมันแพะ จึงเรียกกันว่า หยกขาวมันแพะ
[5] กวงลู่ซื่อชิง (光禄寺卿) “กวงลู่ซื่อ” หมายถึง วัดกวงลู่ “ชิง” หมายถึงตำแหน่งที่มีมาตั้งสมัยราชวงศ์ฮั่น เป็แผนกหนึ่งในวังหลวงดูแลจัดงานการเซ่นไหว้บูชา, พระกระยาหารของฮ่องเต้ และงานเลี้ยง ซึ่งลำดับขั้นแบ่งเป็ ชิง, เซ่าชิง, เฉิง และจู่ป๋อ ตำแหน่งละหนึ่งคน
[6] ตงฉิน (忠臣) หมายถึงขุนนางที่ซื่อสัตย์ ตรงข้ามกับ กังฉิน (奸臣)