เมื่อเห็นว่าลูกชายคนโตและลูกชายคนรองกลับมา ในที่สุดใบหน้าซีดเผือดของโจวซื่อก็ดูสดใสขึ้น "เ้าทิ้งหรือยัง ?"
“อืม” ฉือเทายืนอยู่ข้างกรอบประตู ปากกัดหญ้าหางสุนัขห้อยออกมา เขาทำหน้ามุ่ย “ท่านแม่ ทำไมถึงต้องไปโยนทิ้งให้เหนื่อยด้วย รอให้นางตายก่อนแล้วค่อยเผาด้วยไฟจะไม่ดีกว่าหรือ!”
ฉือซู่ยืนอยู่ข้างๆ รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย
แม้ว่าน้องสะใภ้สามจะเป็ไข้ทรพิษ แต่ถ้านางยังไม่ตายแล้วถูกหมาป่ากัดกินจะเกิดอะไรขึ้น?
โจวซื่อนั่งบนเก้าอี้ไม้เล็กๆ สานที่ตักขยะต่อไปโดยไม่เงยหน้าขึ้น นางหลุบตาลง "ลูกสะใภ้คนนี้ไม่มีลูก นางไม่สามารถอยู่ในห้องโถงบรรพบุรุษได้ หากนางตายในบ้านจะกลายเป็ความอัปมงคลเสียเปล่า!"
บ้านทรุดโทรม อากาศหนาวเย็น
แสงแดดส่องเข้ามาทางหน้าต่างที่ทรุดโทรม ผ้าม่านเตียงเรียบๆ ยังคงสะอาดสะอ้านอยู่ กลิ่นของดวงอาทิตย์ยังคงโชยมาจางๆ
แม้ว่าผ้าปูที่นอนและเครื่องนอนจะเก่าและเต็มไปด้วยรอยปะ แต่ก็นับว่าสะอาดสะอ้าน
บุรุษคนหนึ่งนอนอยู่บนเตียง ดวงตาหลับพริ้มทว่าขมวดคิ้วราวกับว่าเขากำลังฝันถึงเื่เลวร้ายบางอย่าง
ทันใดนั้น ดวงตาของบุรุษบนเตียงก็เปิดขึ้นอย่างกะทันหัน ดวงตาของเขาเ็าราวกับเสือดาวในป่า
กู๋หยู่ละ?
ฉือหางลุกขึ้นนั่งอย่างร้อนรนกระวนกระวาย สวมรองเท้าแล้วเดินออกไปข้างนอก
ก่อนที่เขาจะไปถึงประตู เขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้า ฉือหางหยุดชั่วคราว เห็นฉือซู่พี่ชายของเขาเดินเข้ามาจากด้านนอก
"พี่ใหญ่..." ฉือหางเอ่ยเรียกเบาๆ สายตาของเขาก็จับจ้องไปที่โจ๊กในมือของฉือซู่ เป็ไปได้ไหมว่าสิ่งที่อยู่ในความฝันนั้นเป็เื่จริง?
"กู๋หยู่อยู่ที่ไหนหรือ?" ฉือหางรีบไปหาฉือซู่ ดวงตาของเขามองไปที่ฉือซู่อย่างประหม่า
เดิมทีฉือซู่มาส่งอาหารด้วยคำสั่งของโจวซื่อ แต่เขาไม่คาดคิดว่าฉือหางจะตื่นขึ้นแล้ว
“น้องสาม” ฉือซู่รู้สึกว่าเขาจำเป็ต้องทำให้น้องชายคิดให้กระจ่างแจ้ง “น้องสาม น้องสะใภ้สามไม่สามารถช่วยให้รอดได้แล้ว นางป่วยเป็ไข้ทรพิษ ถึงจะอยู่ในบ้านก็ไม่รอดอยู่ดี”
อะไรคือความหมายที่ว่า ถึงจะอยู่ในบ้านก็ไม่รอดอยู่ดี?
เมื่อก่อนด้วยคิดว่าเขาจะไม่รอดชีวิตแล้ว พวกเขาจึงแยกครอบครัวในวันที่กู๋หยู่แต่งงานเข้ามา?
ฉือหางโกรธมากจนแทบจะเป็ลม เขาหอบอย่างหนัก หลังจากนั้นไม่นาน เสียงของเขาจึงดังขึ้น "นางอยู่ที่ไหน?"
ฉือซู่วางชามในมือของเขาบนโต๊ะ เงยหน้าขึ้นและมองไปที่น้องชายที่รูปร่างสูงกว่าเขา "น้องสาม เ้าอย่าโง่เลย น้องสะใภ้สามไม่มีทางรอดชีวิตได้ แม้ว่าเ้าจะตามหานางเจอในตอนนี้ แต่เ้าจะทำอะไรได้?"
“น้องสี่ก็เป็ฝีดาษเหมือนกัน” หน้าอกของฉือหางอึดอัดมาก ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา และขอบตาของเขาเป็สีแดง “แต่น้องสี่ได้รับการดูแลจากพวกพี่ไม่ใช่หรือ?”
ฉือหางรับรู้อย่างกระจ่างแจ้งแล้วว่ามารดาของเขาไม่สนใจเขาเลยแม้แต่น้อย
ฉือซู่สะอึก ทนไม่ได้ที่จะพูดว่า "ท่านแม่สั่งให้พวกเราเอานางไปโยนที่เชิงเขาเป็อาหารให้หมาป่า!"
ฉือหางผลักฉือซู่ออกไปอย่างรุนแรง เด็กหนุ่มเดินเซออกไปด้านนอก
เดิมทีร่างกายของเขายังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ยิ่งเขาเดินเร็วมากเท่าไร ใบหน้าที่ซีดเซียวของเขาก็ยิ่งอัปลักษณ์
ด้วยอากาศในฤดูร้อนนั้นร้อนมาก หากเป็วันปกติทั่วไป ฉือหางจะรู้สึกถึงเหงื่อซึมทั่วร่างกาย ทว่ายามนี้แผ่นหลังของเขากลับเย็นเยียบดุจน้ำแข็ง
สาเหตุที่เขารอดมาได้ก็เพราะนางให้ชีวิตเขา
อาจเป็เพราะหลายคนในหมู่บ้านป่วยเป็โรคฝีดาษ เขาจึงไม่เห็นใครเลยในระหว่างทาง
เมื่อเขามาถึงที่ที่พี่ชายของเขากล่าวถึง เขาก็เห็นหลินกู๋หยู่ยังคงถูกมัดกับไม้ นอนอยู่บนพื้นด้วยใบหน้าซีดเซียว
ฉือหางรีบเดินไปหาด้วยความตื่นตระหนก ปลดเชือกออกจากร่างกายของหลินกู๋หยู่ โยนไม้ที่ถูกผูกติดกับร่างของนางทิ้งไป
ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่?
เป็ครั้งแรกที่ฉือหางตื่นตระหนกใถึงเพียงนี้ เขาคุกเข่าข้างหลินกู๋หยู่ ยื่นนิ้วมืออันสั่นเทาไปที่ปลายจมูกของนาง
ในความสับสน ดูเหมือนว่าเขาจะได้ยินเสียงหายใจหอบ หลินกู๋หยู่ถูกแบกไว้บนหลังของเขาและลมหายใจที่คุ้นเคยก็ลอยเข้ามาในจมูก
นางดิ้นเบาๆ คนที่อยู่ใต้นางก็หยุดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นดูเหมือนจะเริ่มเคลื่อนไหวอีกหน
จิตใจของหลินกู๋หยู่อยู่ในสภาวะสับสน ร่างกายของนางร้อนทรมานมาก นางรู้สึกเพียงว่าภายใต้ร่างกายของนางเย็นมาก ดังนั้นนางจึงอดไม่ได้ที่จะกอดไว้แน่น
หลังจากพยายามอย่างหนัก ฉือหางก็สามารถแบกหลินกู๋หยู่เดินไปได้ เขาไม่กล้ากลับบ้าน เพราะกลัวว่าโจวซื่อจะพบหลินกู๋หยู่และเอาตัวนางไปทิ้งอีกหน
เขาเดินไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย เดิมทีเอวของเขายังไม่หายสนิท ตอนนี้เขาแบกคนหนักๆ ไว้บนแผ่นหลังเป็เวลานาน สุดท้ายเขาไม่สามารถพยุงมันไว้ได้
ด้วยความเ็ปที่ศีรษะ หลินกู๋หยู่อดทนต่อความเหนื่อยล้า ค่อยๆ ลืมตาขึ้น
นางอยู่บนแผ่นหลังของฉือหางงั้นหรือ?
“ปล่อยข้าลงเถอะ” หลินกู๋หยู่กระซิบเบาๆ
มือที่ประคองขาของนางคลายนางออกก่อนจะกระชับแน่น น้ำเสียงของเขาดูอ่อนล้า "ข้าไม่เหนื่อย"
"ข้าเดินเองได้" หลินกู๋หยู่ไม่รู้ว่าเขาแบกนางไว้บนหลังมานานแค่ไหนแล้ว แต่นางรู้ว่าฉือหางไม่สามารถแบกนางไว้ได้นาน อาการาเ็เก่าของเขายังไม่หายดี นางกลัวว่าจะเป็การเพิ่มอาการาเ็ใหม่ให้เขาอีก
หลินกู๋หยู่พยายามเอามือของฉือหางออกอย่างสุดแรง ร่างของนางก็ล้มลงกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง
ฉือหางหันกลับมาด้วยความตื่นตระหนก กำลังจะแบกหลินกู๋หยู่กลับไปบนหลังของเขา
เมื่อมองไปที่ใบหน้าตื่นตระหนก ดวงตาของหลินกู๋หยู่ปรากฏความซาบซึ้งเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเป็เพราะความเ็ปจากการไข้สูง หรือเป็เพราะผู้ชายตรงหน้าของนาง เบ้าตาของนางเป็สีแดงอย่างไม่อาจห้ามได้
"ช่วยประคองข้าเดินก็พอแล้ว" หลินกู๋หยู่พยายามอย่างเต็มที่เพื่อระงับความรู้สึกไม่สบาย ความรู้สึกวิงเวียนศีรษะเนื่องจากก้อนหินก่อนหน้าค่อยๆ หาย ตอนนี้นางรู้สึกตัวแล้ว
หากไม่ใช่เพราะฉือหางประคองนาง นางอาจจะล้มลงั้แ่เดินด้วยตนเองภายในสองก้าว
ร่างกายของนางอ่อนแรงจนไม่อาจควบคุมได้
ตามเส้นทางในความทรงจำ หลินกู๋หยู่พบบ้านของครอบครัวสตรีวัยกลางคนคนนั้นแล้ว
"ที่นี่หรือ?" ฉือหางมองไปที่หลินกู๋หยู่อย่างสงสัย ตัวบ้านทรุดโทรมดูเหมือนไม่ได้ซ่อมแซมมานานหลายปี หากลมแรงอีกสักเล็กน้อย บ้านหลังนี้คงจะถูกลมพัดถล่มพังทลายอย่างแน่นอน
“อืม” ลำคอของหลินกู๋หยู่แหบแห้งราวกับเปลือกไม้หยาบๆ ถูกขีดข่วนบนผ้าไหม เสียงที่เปล่งออกดูคล้ายเสียงกระซิบเบาหวิว
ฉือหางยกมือขึ้นเคาะประตูที่เปิดกว้าง แล้วเอนตัวเข้าไป "มีใครอยู่ในบ้านหรือไม่?"
เมื่อแม่ม่ายสูได้ยินเสียงเคาะประตู นางป้อนยาให้ลูกชายของนางเสร็จแล้วก็เดินออกไปข้างนอก นางเห็นชายหญิงคู่หนึ่งยืนอยู่ที่ประตู โดยหันหลังให้ดวงอาทิตย์ แสงแดดส่องจ้าจนดวงตาถึงกับต้องหลุบลง นางมองเห็นหน้าตาของสองคนนั้นไม่ชัดเจนเท่าใดนัก!
"ใครบอกให้พวกเ้ามาที่บ้านพวกเราหรือ ออกไป!" แม่ม่ายสูพูด มือหยิบไม้พลอง แล้วเดินไปที่ประตูอย่างดุเดือด
เดิมทีคนเป็แม่ม่ายทำอะไรก็มักจะถูกคนครหาและซุบซิบนินทาได้ง่าย แล้วนับประสาอะไรกับแม่ม่ายสู นางไม่ใช่หญิงเกเร เมื่อใดที่บุรุษมาที่หน้าประตูบ้านของนาง แม่ม่ายสูจะไล่พวกเขาออกไปทั้งหมด
ความฉุนเฉียวของแม่ม่ายสูนั้นนับได้ว่าอยู่ในอันดับที่หนึ่งในหมู่บ้าน
"พี่หญิง" หลินกู๋หยู่เงยหน้าขึ้นมองไปที่แม่ม่ายสู ร่างกายของนางเ็ปสุดจะทน เสียงของนางก็ต่ำมาก
"น้องหญิง!" แม่ม่ายสูได้ยินเสียงของหลินกู๋หยู่ นางมองไปที่สภาพหลินกู๋หยู่ที่หายใจรดต้นคอคล้ายกำลังจะหมดลมหายใจ "ทำไมเ้าถึงได้อยู่ในสภาพนี้ละ?"
ฉือหางชำเลืองมองที่แม่ม่ายสู พูดเบาๆ ว่า "ไข้ทรพิษ!"
เมื่อพูดถึงไข้ทรพิษ ในที่สุดแม่ม่ายสูก็คลี่ยิ้มบนใบหน้าของนาง และรีบเอ่ยพูดกับหลินกู๋หยู่ว่า "น้องหญิง เ้าเป็หมอเทวดาจริงๆ ตอนนี้ลูกชายของข้าดีขึ้นมากแล้ว เขารอดแล้ว!"
เมื่อได้ยินคำพูดของแม่ม่ายสู ดวงตาของฉือหางก็เบิกกว้างด้วยความใ เขามองไปที่หลินกู๋หยู่ด้วยความประหลาดใจ
"พาข้าไปที่คอกวัว!" หลินกู๋หยู่พูดด้วยเสียงที่เข้มงวด นางพยายามอย่างหนักที่จะเบิกตา แต่กระนั้นก็ตาม นางก็ยังคงรู้สึกว่าคนตรงหน้าของนางสั่นเล็กน้อย
เมื่อแม่ม่ายสูได้ยินคำพูดของหลินกู๋หยู่ นางก็รีบช่วยประคองหลินกู๋หยู่เดินไปหาวัวตัวนั้น
ในมุมมองของแม่ม่ายสู หลินกู๋หยู่เป็เซียน เป็หมอคืนชีวิตคนได้ ด้วยวิธีการรักษาของนาง อาการป่วยสามารถดีขึ้นได้ในเวลาไม่นาน
แม่ม่ายสูจับวัวเหมือนแต่ก่อน
หลินกู๋หยู่ยื่นมือผลักฉือหางออกไป นางกัดมือตนเองอย่างแรงจนเืออก
“เ้า!” ฉือหางมองไปที่หลินกู๋หยู่ด้วยความประหลาดใจ คิ้วของเขาขมวดแน่น
โรคฝีดาษ
นางนั่งยองไม่ได้ จึงได้แต่คุกเข่าข้างๆ วัว ถ้าไม่ใช่เพราะแม่ม่ายสูคอยจับวัว นางอาจจะถูกวัวถีบได้
เด็กสาวยื่นมือไปบีบตุ่มฝีดาษข้างเต้านมวันให้แตก แล้วปล่อยให้ของเหลวในตุ่มนั้นไหลลงไปที่มือที่ถูกกัด
“พี่หญิง ข้าขอนมสักหนึ่งถ้วยได้หรือไม่?” หลินกู๋หยู่ค่อยๆ ถอนมือออก เงยหน้าขึ้นมองแม่ม่ายสู
แม่ม่ายสูรีบตอบ ผู้มีบุญคุณพูดเช่นไร นางย่อมทำตามที่บอกอย่างแน่นอน
หลินกู๋หยู่ไม่มีเรี่ยวแรง นางจึงพิงราวบันไดด้านข้าง มีเพียงมุมปากที่ยกขึ้น
เมื่อรู้ว่าตนเองป่วยเป็ฝีดาษ หลินกู๋หยู่คิดว่าจะตายก็ตายเถอะ บางทีนางอาจจะได้ข้ามภพกลับไปได้
ยามถูกโยนที่เชิงูเา นางรู้สึกว่าตายเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน
แต่เมื่อฉือหางปรากฏตัวต่อหน้านาง จู่ๆ นางก็ไม่อยากตายแล้ว
ความคิดของคนเรานั้นก็มักจะแปลกประหลาดอยู่เสมอ สิ่งที่คิดไว้ก่อนหน้าแปรเปลี่ยนไปหลังจากเวลาผ่านไปเพียงชั่วขณะหนึ่ง
แม่ม่ายสูกลับไปที่ห้องและนำนมออกมา จากนั้นนางนำยาออกมาด้วย
"นี่คือยาที่ข้าปรุงให้ลูกชายของข้า ยังเหลืออยู่บ้าง น้องสาว เ้ารีบดื่มเร็วเข้า" แม่ม่ายสูพูดพร้อมกับป้อนยาให้หลินกู๋หยู่ด้วยตัวเอง
ฉือหางดูแม่ม่ายสูดูแลหลินกู๋หยู่อย่างใส่ใจ เขานั่งยองๆ แล้วพูดอย่างตะกุกตะกักว่า "พี่หญิง ข้าให้ภรรยาของข้าอาศัยอยู่กับพี่ที่นี่ได้หรือไม่?"
ฟังคำพูดของฉือหาง แม่ม่ายสูขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วหันหน้าไปมองฉือหาง
อุปนิสัยของฉือหางเป็อย่างไร นางพอจะรู้มาบ้าง แม่ม่ายสูเอ่ยถามด้วยความสับสนว่า "ทำไมหรือ?"
"ข้าจะมาดูแลนางทุกวัน" ฉือหางเม้มริมฝีปากเล็กน้อย ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็สีแดงอย่างควบคุมไม่ได้ น้ำเสียงของเขาตะกุกตะกัก "บ้านของข้า บ้านของข้า..."
หลินกู๋หยู่มองดูสภาพของฉือหาง ยื่นมือไปจับมือของแม่ม่ายสู ก่อนพูดเบาๆ ว่า "สุขภาพของเขาก็ไม่ดีเช่นกัน หากมันเป็การรบกวนพี่หญิง ข้าจะออกไปอาศัยอยู่ข้างนอกก็ได้!"
“น้องหญิง!” แม่ม่ายสูคร้านเกินกว่าจะฟังเหตุผลเ่าั้แล้ว แต่หลินกู๋หยู่เป็ผู้หญิงที่ออกเรือนแล้ว ดังนั้นการอยู่ในบ้านของนางย่อมไม่เป็ไร “เ้าจะอยู่นานเท่าใดก็ได้ อยู่ได้นานเท่าที่เ้า้า!”
ฉือหางและแม่ม่ายสูช่วยประคองหลินกู๋หยู่เข้าไปในห้อง มองเด็กชายที่นั่งอยู่บนเตียงกำลังเล่นของเล่นด้วยรอยยิ้มจางๆ บนใบหน้า "ตอนนี้เขาอาการดีขึ้นแล้ว แม้ว่าเขาจะััคนที่เป็ไข้ทรพิษ เขาก็จะไม่เป็ไข้ทรพิษอีกต่อไป!”
แม่ม่ายสูปูพื้น จากนั้นนางกับฉือหางก็พยุงหลินกู๋หยู่ให้นอนลง
ในขณะที่แม่ม่ายสูคลุมผ้าห่มหลินกู๋หยู่อย่างระมัดระวัง จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงะโดังของคนหลายคนจากด้านนอก ตามมาพร้อมกับเสียงฝีเท้าที่วุ่นวาย
มีบางอย่างเกิดขึ้นข้างนอก แม่ม่ายสูเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นในใจ นางขมวดคิ้ว เอื้อมมือไปหยิบไม้พลองแล้วเดินออกไปข้างนอก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้