สายลมจากยอดเขาพัดชายเสื้อคลุมของต้วนเจิ้งสิงให้ปลิวไสว กระบี่ิญญาในฝักยังคงเงียบงัน ราวกับเขากำลังครุ่นคิดสิ่งใดอยู่
ครู่ต่อมา เขาก็ถอนหายใจยาวเหยียด ราวกับแบกรับความทุกข์ไว้เต็มอก
“เ้าก็รู้ดี พวกเราล้วนพลาดพลั้ง” เขากล่าว “เพื่อมิให้ความผิดพลาดเช่นนี้เกิดขึ้นอีก จึงต้องมีคนไปทำ และมีแค่พวกเขาเท่านั้นที่ทำได้”
ร่างจำแลงของสตรีผู้นั้นคล้ายกำลังหวั่นไหว นางลุกขึ้นยืน ประสานมือไว้ จ้องไปยังเซียนกระบี่ด้วยความรู้สึกสับสน แล้วก้มศีรษะลง หยาดน้ำตาของนางหยดจากปลายคาง ซึมลงบนหน้าผากของเด็กหญิงที่นางโอบกอดอยู่
“ต่อให้โลกเข้าใจผิด ต่อให้ผู้คนชิงชัง...ก็หาเป็ไรไม่” ต้วนเจิ้งสิงกำหมัดแน่น คล้ายกับว่าไม่ได้เพียงกำหมัดเท่านั้น หากแต่กำลังบดขยี้เจตนารมณ์และศรัทธา “โลกพิสูจน์แล้วว่าเราผิด โลก้าให้เราวิชามาร ร้องสรรเสริญสิ่งที่ไม่ควรดำรงอยู่ สิ่งที่ถูกต้อง...ได้ประจักษ์ให้เราเห็นแล้ว...”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ เจี่ยหลีก็รู้สึกว่าภาพมายากำลังเลือนรางพร้อมจะจางหายไป
เขาถูกขับไล่ออกจากภาพมายานั้น เมื่อไร้การปกป้อง เขาจึงถูกผลักออกมา ถ้อยคำของต้วนเจิ้งสิงก็เลือนรางและไม่ชัดเจน อากาศที่ขุ่นมัวเริ่มขวางกั้น เขาอยากจะเอื้อมมือออกไปไขว่คว้า อยากจะเอ่ยถาม ทว่ากระแสพลังมืดมนกลับเผาผลาญห้วงจิตสำนึก เจี่ยหลีผู้ซึ่งพลังบำเพ็ญสูญสิ้น จึงทำได้เพียงปล่อยให้กระแสพลังมืดมิดนั้นกลืนกินอีกครั้ง
ทว่าเขากลับเหมือนถูกอ้อมกอดโดยร่างจำแลง เจี่ยหลีรู้สึกอีกครั้งว่ามีใครบางคนกำลังโอบกอดเขาอย่างอ่อนโยนจากด้านหลัง
เมื่อเขาหันหลังกลับมา ก็พบว่าเป็หญิงสาวผิวสีน้ำผึ้งดวงตาสีแดงดุจทับทิม ผมสีขาวดุจหิมะ กำลังจ้องมองมาที่เขาด้วยสีหน้าเ็า
“ท่านเซียนโปรดตั้งสมาธิ ใช้เคล็ดวิชาที่ท่านร่ำเรียนมา ข้าจะปกป้องท่านเอง”
ดังนั้น เจี่ยหลีจึงปฏิบัติตามคำของหญิงสาว เขารวบรวมสติอีกครั้ง พลังชั่วร้ายอันบ้าคลั่งที่ควรจะร้อนแรงและคลุ้มคลั่ง กลับค่อยๆ สงบลงภายใต้การปกป้องของหญิงสาว กระแสชั่วร้ายสีชาดเข้มข้นดุจโลหิต กลายเป็ความราบเรียบดุจผิวน้ำในกระจกใสภายในพริบตา
พลันเกิดพลังปราณอุ่นๆ แผ่ซ่านไปทั่วร่างที่บอบช้ำ ราวกับได้รับการเยียวยาจากโอสถทิพย์ จุดชีพจรสำคัญพลันเปิดออก พลังบริสุทธิ์ไหลเวียนมิขาดสายภายในร่างของเจี่ยหลี พลังมืดสีโลหิตยังคงน่าสะพรึงและแดงฉาน ทว่าเมื่อเขาเบิกตากว้าง ก็มองเห็นทะเลสาบสีสนิมเหล็กอยู่เบื้องหน้า ความรู้สึกผูกพันอย่างประหลาดพลันพรั่งพรูเข้ามา
หากเรียกขานว่าสีสนิมก็คงไม่ถูกนัก กระแสธารขุ่นมัวนี้กลับคล้ายคลึงสีทองแดงอันหาได้ยากบนร่างของสตรี จากนั้น ภาพมายาก็ถูกดูดกลืนเข้าไปในกระจกสีทองแดงนั้น คล้ายกับน้ำโลหะหลอมเหลวที่ถูกเผาในเตาหลอม แปรเปลี่ยนเป็น้ำตกอันเจิดจ้า แล้วรวมประสานเป็จุดเล็กๆ
“ท่านเซียนโปรดสงบจิตใจ”
ฝ่ามือเล็กๆ ที่ประคองอยู่ด้านหลัง ส่งผ่านพลังอันมหาศาลที่ยากจะพรรณนา เจี่ยหลีหลับตาลงตามคำบอก จนกระทั่งเสียงเสียดสีของใบไม้ต้องลมดังขึ้นอีกครั้ง เขาจึงลืมตา สิ่งแรกที่ปรากฏแก่สายตา คือกระท่อมไม้ที่เขาอาศัยอยู่หลังเผชิญเคราะห์กรรม
จากนั้น เขาหอบหายใจอย่างรุนแรง ก่อนจะไอออกมาอย่างหนักหน่วงอยู่พักหนึ่ง โลหิตสีสดไหลออกจากปากและจมูก ทำให้เตียงนอนเปรอะเปื้อนเป็ดวงด่าง เขาปรารถนาจะก้มคารวะขอบคุณสตรีผู้อยู่เื้ั แต่ร่างกายกลับอ่อนปวกเปียกจนสิ้นเรี่ยวแรง
“ยามที่ชีวิตท่านเซียนใกล้ดับสูญ ท่านยัง้าความช่วยเหลือจากข้าน้อย”
เจี่ยหลีรับรู้ได้ถึงความอุ่นนุ่มของเนินเนื้ออวบอิ่มคู่หนึ่งที่แนบชิดแผ่นหลังอีกครั้ง เขาอ่อนแรงเกินกว่าจะขัดขืน ทั้งยังไร้เวลาให้คิดทบทวน แม้ร่างกายจะอ่อนแอ แต่แท่งัเบื้องล่างกลับผงาดขึ้นมาอย่างรวดเร็วจากัันี้ เขาไม่อาจแยกแยะได้ว่าเหตุใดจึงเป็เช่นนี้ ทำได้เพียงปล่อยให้มือเรียวสีน้ำผึ้งคู่นั้นสอดเข้ามาระหว่างเรียวขา แล้วกระตุ้นเร้าอย่างแ่เบา
“อืมม...อ๊า...” ความสุขสมและเ็ปถาโถมเข้าใส่พร้อมกัน เซียนกระบี่ที่พลังสิ้นสูญ ทำได้เพียงปล่อยให้ร่างกายถูกชักนำ
หญิงสาวััได้ถึงความร้อนรุ่มและแข็งขืนระหว่างเรียวขาของชายหนุ่มอย่างแ่เบา นางค่อยๆ ประคองเจี่ยหลีให้พิงพนักเตียงอย่างนุ่มนวล หญิงสาวป้ายยาน้ำหล่อลื่นลงบนส่วนปลายของแท่งั ความเสียวซ่านกระตุ้นเร้าจนเกินทานทน ทำให้เจี่ยหลีแทบจะปลดปล่อยธารน้ำวิสุทธิ์ออกมาในฉับพลัน
“ท่านเซียนยังคงต้องเผชิญแดนมายาอีกหลายครา แต่ไม่ว่าเมื่อใด ข้าก็จะอยู่เคียงข้างท่าน” ถ้อยคำอ่อนหวานลูบไล้ข้างหู ราวกับว่าแม้แต่กลิ่นโลหิตคาวคลุ้งก็สามารถกลับกลายเป็น้ำผึ้งหอมหวาน ปลดเปลื้องความทุกข์ทน คงไว้ซึ่งความเมตตาอันหาใดเปรียบ
นางกระทำอย่างทะนุถนอม ลูบไล้แท่งัที่ยากจะควบคุมนั้น ขณะเดียวกันก็นั่งคุกเข่าลง นำกลีบผกาที่ยังชุ่มไปด้วยน้ำวิสุทธิ์แนบชิดกับ่ล่างของเจี่ยหลี หญิงงามเบื้องหน้าเย้ายวนเกินห้ามใจ ความปรารถนากระตุ้นเร้าให้แท่งัร้อนรุ่มจนทนไม่ไหว สติสัมปชัญญะทั้งหมดราวถูกคลื่นปรารถนาอันบ้าคลั่งกลืนกิน
จากนั้น สายตาของเขาทอดมองไปยังปลายแท่งเนื้อที่ขยายใหญ่และสั่นเทิ้ม บัดนี้กลับถูกกลีบเนื้อนุ่มชุ่มฉ่ำโอบล้อม เขาไม่อาจแยกแยะได้ว่า สิ่งที่เปรอะเปื้อนนั้นคือโลหิตจากเขา หรือร่องรอยโลหิตแรกแย้มของนาง ที่รวมกันกับธารน้ำวิสุทธิ์ เกาะกุมอยู่บนแท่งัและช่องสวาทอันหอมหวาน หญิงสาวกดสะโพกลงต่ำยิ่งกว่าเดิม พร้อมเสียงครวญครางแ่เบา ทีละนิด ทีละนิด กลืนกินแท่งเนื้ออันใหญ่โตทั้งหมดเข้าไปในช่องบุปผา
ส่วนปลายของแท่งััักับปากหม้อน้ำผึ้งในชั่วพริบตา ก่อนที่ธารน้ำวิสุทธิ์อันร้อนระอุจะพุ่งทะลักเข้าไปสู่ส่วนลึกของนางอีกครั้งโดยมิอาจยับยั้งได้ นางสั่นเทิ้มเพราะการรุกรานของเจี่ยหลี ส่วนบุรุษก็หมดสติไปอีกครั้งในขณะที่น้ำวิสุทธิ์ฉีดพุ่งเต็มช่องสวาท
“อืมม...อ๊า...” หญิงสาวค่อยๆ ลุกขึ้น แต่แท่งัของเจี่ยหลีกลับใหญ่โตเกินไป นางต้องใช้ความพยายามอย่างมาก กว่าจะดึงท่อนเนื้อที่ใหญ่และยาวนั้นออกจากร่องสวาทได้ น้ำวิสุทธิ์สีขาวขุ่นที่ไหลออกมาจากใจกลางร่องสวาทคือหลักฐานที่บ่งบอกว่าเซียนผู้นี้ได้ปลดปล่อยอารมณ์ในร่างกายนาง นางััมันแล้วแตะลงบนริมฝีปาก
“ข้าจะ...ปกป้องท่าน”
คำสัญญานั้นแ่เบาเกินกว่าจะได้ยิน นางโอบกอดเจี่ยหลี ใช้พลังปราณห่อหุ้มซึ่งกันและกัน แล้วจมดิ่งลงสู่ห้วงนิทรา
......
เสียงกัมปนาทดังกังวาน
ยอดเขาลั่งอวิ๋นราวกับสูญเสียกลิ่นอายแห่งเซียนในอดีต เมฆดำปกคลุม บ่งบอกถึงลางร้าย เจี่ยหลีเหาะเหินบนกระบี่ด้วยใจที่ร้อนรน แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็มิอาจเข้าใกล้แดนสุขาวดีที่เติบโตมาั้แ่เยาว์วัยได้
บนลานชำระกระบี่ เหล่าศิษย์กระบี่อาภรณ์สีเขียวมีสีหน้าไร้อารมณ์ แม้จะพุ่งกายออกไปพร้อมแทงกระบี่ แต่ปลายกระบี่กลับอ่อนแรง ไร้พลังจะสังหาร หากพิจารณาดูให้ดี เหล่าศิษย์กระบี่อาภรณ์สีเขียวเ่าั้ บำเพ็ญสิ่งใดกันแน่? พวกเขาไม่ต่างอะไรจากร่างไร้ิญญา มือกำท่อนไม้แห้งผุ ฝ่ามือแตกระแหงจนเืไม่อาจไหลซึมออกมาได้อีก
สำนักกระบี่ไท่สิง ควรจะแข็งแกร่งแต่ภายนอกเช่นนี้หรือ?
“สำนักไท่สิงคือรากฐานแห่งราชวงศ์ เป็ตัวตนของราชวงศ์เอง” ท่านอาจารย์ต้วนเจิ้งสิง มักจะกล่าวเช่นนี้ก่อนที่จะปิดด่านบำเพ็ญ “ปราณแท้จักรพรรดิ มีต้นกำเนิดจากสายโลหิตแห่งสำนักกระบี่ไท่สิงของเรา หากปราศจากจักรพรรดิ ก็จะปราศจากราชวงศ์ หากปราศจากราชวงศ์ ใต้หล้าจะไร้ผู้ปกครอง ทั้ง์ ปีศาจ โลกมนุษย์ จักต้องลุกเป็ไฟ หลีเอ๋อร์ เ้าจงจดจำไว้”
“ศิษย์จะจดจำไว้ขอรับ! ศิษย์จะจำไม่มีวันลืม!” เจี่ยหลียังคงเหาะด้วยกระบี่ พยายามบินไปยังด่านเหยียนฮู่ที่อาจารย์ของเขาอยู่ “ข้าจะไปอยู่เคียงข้างท่านอาจารย์! ข้าจะช่วยทุกคน ข้าคือ...ศิษย์พี่ใหญ่แห่งไท่สิง!”
“ไม่ เ้าไม่ใช่แล้ว” อาจารย์ผู้สอนในสำนักซึ่งดูแลการฝึกฝนของเหล่าศิษย์กระบี่อาภรณ์สีเขียวเรียงรายกันเป็แถวในความมืด พวกเขาคับแค้นใจ ร่างกายถูกชโลมไปด้วยเื “เ้าไม่อาจปกป้องใครได้ เ้าคือเซียนกระบี่ที่ดับสูญ”
“บำเพ็ญเพียรมาสามสิบปี เป็จุดสูงสุดของขั้นแปดประทับ อัจฉริยะแห่งวิถีกระบี่ที่ไม่เคยมีใครเทียบได้” แปดกระบี่ไท่สิงนอนคุดคู้อยู่กับพื้น เืไหลนองจากาแที่ท้อง ดวงตาทั้งสองข้างกลายเป็เพียงหลุมเืที่น่าสยดสยอง
“ศิษย์พี่ใหญ่ ผู้นำแห่งแปดกระบี่ไท่สิง กระบี่เจิ้งหยาง...เ้าช่างหยิ่งผยอง เ้าไม่เข้าใจโลกเลยสักนิด”