หลังจากที่ได้ใช้เวลา่บ่ายร่วมกัน ในที่สุดมู่เฟิงก็กล่าวลาว่านเอ๋อร์ ก่อนจะกลับมายังเรือนพักของตัวเองใน่เย็นและเริ่มการฝึนฝนในทันที
่เวลาแห่งความอบอุ่นและความอ่อนโยนนั้นมักจะอยู่ไม่นาน ดังนั้นเพื่อปกป้องความอบอุ่นเหล่านี้เอาไว้ มู่เฟิงก็ตระหนักได้เป็อย่างดีว่ามีเพียงแค่ต้องพัฒนาความแข็งแกร่งของตัวเองเท่านั้นจึงจะสามารถขยาย่เวลาเหล่านี้ให้คงอยู่ไปอย่างยาวนานได้
ภายในห้องฝึกฝน ซีเยว่ค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้นด้านข้างมู่เฟิง
“เยว่เอ๋อร์ การฝึกฝนการควบคุมนั้นข้าต้องทำอย่างไรบ้างหรือ?”
มู่เฟิงเอ่ยถามในทันที
“เ้าจำเป็ต้องฝึกสามส่วน หนึ่งคือพลังิญญา สองคือพลังปราณและสามคือการควบคุมร่างกาย"
“พลังิญญาของเ้านั้นแข็งแกร่งมาก ดังนั้นเ้าจึงสามารถหลอมโอสถสามชนิดได้ในเวลาเดียวกัน แต่การควบคุมพลังปราณและการควบคุมร่างกายของเ้ายังห่างไกลจากคำว่าดีมากนัก ก่อนอื่นเ้าต้องฝึกการควบคุมพลังปราณเสียก่อน"
ขณะที่ซีเยว่กำลังอธิบาย ภายในหยกเทพชูร่าก็กำลังถูกปกคลุมด้วยประกายแสงสีแดงเื ก่อนที่ไข่มุกสีขาวขนาดเท่าหัวแม่มือจำนวนมากกว่าร้อยเม็ดจะปรากฏขึ้นบนพื้น และพื้นผิวของลูกปัดแต่ละเม็ดยังมีรูขนาดใหญ่กว่ารูเข็มเล็กน้อยอยู่ด้วย
“ลูกปัด เอามาทำอะไรอย่างนั้น? จะใช้มันฝึกฝนอย่างไร?”
มู่เฟิงหยิบลูกปัดขึ้นมา จากนั้นก็เอ่ยถามด้วยความสงสัย
ทันใดนั้นด้ายเส้นเล็กก็พลันปรากฏขึ้นในมือของซีเยว่ ก่อนที่นางจะกล่าวว่า “ภายในการหายใจเข้าออกสิบครั้ง เมื่อใดที่เ้าสามารถใช้พลังปราณร้อยด้ายผ่านลูกปัดทั้งหมดนี้ได้แล้ว ถึงเวลานั้นการควบควบคุมพลังปราณของเ้าก็จะถือว่าบรรลุระดับละเอียดอ่อน”
“ฮ่าๆ เื่แค่นี้ง่ายมาก”
มู่เฟิงยิ้มกว้าง พลังปราณเอ่อล้นออกมาจากฝ่ามือของเขา จากนั้นเขาก็เริ่มควบคุมเส้นด้ายเส้นหนึ่งให้ลอยขึ้นไปในอากาศ ก่อนจะควบคุมลูกปัดเม็ดหนึ่งให้ลอยตามขึ้นไปและใช้เส้นด้ายร้อยมันเข้าไป
ขณะที่เด็กหนุ่มกำลังใช้พลังปราณควบคุมด้ายเส้นเล็กให้ร้อยผ่านรูของลูกปัดนั้น ก็ดูเหมือนว่ามันจะไม่สามารถผ่านเข้าไปได้ง่ายๆ
มู่เฟิงขมวดคิ้วและพยายามจะนำด้ายเส้นเล็กร้อยลูกปัดอีกครั้ง แต่มันก็ยังไม่สามารถผ่านเข้าไปได้
เด็กหนุ่มคร่ำเคร่งกับมันเสียจนใบหน้าแดงก่ำ และรู้สึกกระดากอายขึ้นมาเล็กน้อย
ผลลัพธ์ก็คือกว่าเขาจะสามารถนำเส้นด้ายร้อยเข้าไปลูกปัดได้สักเม็ด เวลาก็ผ่านไปนานกว่าสิบ่ลมหายใจแล้ว
“หึ คราวหน้าก็อย่าเพิ่งรีบคุยโวเร็วนัก”
ซีเยว่พ่นเสียงลมหายใจออกมาอย่างเ็า เมื่อได้ยินคำพูดของนาง มู่เฟิงก็ทำได้เพียงแค่ยิ้มแห้ง
“รูบนพื้นผิวของลูกปัดเหล่านี้มีความโค้งมน ส่วนเส้นด้ายก็มีความอ่อนนุ่มเป็อย่างมาก หาก้าจะร้อยเส้นด้ายผ่านรูของลูกปัดให้ได้อย่างรวดเร็ว เ้าจะต้องเปลี่ยนพลังปราณของเ้าให้มีขนาดเล็กดั่งเส้นไหม เช่นนี้จึงจะสามารถประคองเส้นด้ายให้ผ่านเข้าไปได้อย่างรวดเร็ว ความหมายที่ข้า้าจะสื่อจากคำพูดเมื่อครู่ก็คือ หากว่าสามารถร้อยเส้นด้ายใส่ลูกปัดทั้งหมดนี้ได้ภายในเวลาสิบ่ลมหายใจถึงจะถือว่ามีคุณสมบัติ เ้าคิดว่าการจะควบคุมพลังปราณในระดับละเอียดนั้นมันฝึกฝนกันได้ง่ายขนาดนั้นเลยหรือ”
ซีเยว่กลอกตาใส่มู่เฟิงทันที
มู่เฟิงยิ้มแห้ง จากนั้นก็ลองทำตามวิธีที่ซีเยว่ชี้แนะ เขาควบคุมพลังปราณให้มีขนาดเล็กลงจนแทบมองไม่เห็น ก่อนจะประคองเส้นด้ายสีแดงให้ร้อยผ่านรูของลูกปัด
คราวนี้การควบคุมเส้นด้ายให้รอดผ่านรูของลูกปัดไม่ใช่เื่ยากอีกต่อไป เขาสามารถทำสำเร็จได้ภายในเวลาสิบ่ลมหายใจ เพียงแต่การจะใช้พลังปราณร้อยลูกปัดสองเม็ดในเวลาเดียวกันนั้นไม่ใช่เื่ง่าย หน้าผากของมู่เฟิงเริ่มมีเหงื่อไหลซึมออกมา
ผลลัพธ์ก็คือการร้อยลูกปัดสองเม็ดนั้น เขาจะต้องใช้เวลาสิบ่ลมหายใจพอดี
มู่เฟิงเหลือบมองไปยังกองลูกปัดและกองเส้นด้ายด้านข้าง ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกมึนงงไปชั่วขณะ การจะควบคุมพลังปราณนั้นไม่ใช่เื่ง่ายเลยจริงๆ
เวลาล่วงเลยผ่านไปตามวัฏจักรของกาลเวลา ในทุกๆ วันมู่เฟิงจะหมกมุ่นอยู่กับการฝึกควบคุมพลังปราณ ฝึกทักษะวิชา บ่มเพาะวรยุทธ์และฝึกสลักลายเส้น โดยตารางการฝึกในแต่ละวันของเขานั้นแน่นเป็อย่างมาก
ทางทิศบูรพาของหุบเขาเทียนอวิ่นมีน้ำตกที่ไหลลงมาจากหุบเขาซึ่งมีความสูงกว่าหลายร้อยเมตร เสียงของน้ำตกดังก้องกังวานไกลออกไปหลายลี้ ส่วนกระแสน้ำที่มีความยาวมากกว่าสามพันฟุตที่ไหลลงมานั้นก็ให้ความรู้สึกราวกับทางช้างเผือกในสรวง์
ด้านล่างของน้ำตกคล้ายกับว่าจะสามารถมองเห็นเงาร่างของคนผู้หนึ่งได้รางๆ โดยร่างนั้นกำลังยืนรับแรงกระแทกอันมหาศาลอยู่ด้านใต้ของน้ำตก
เวลานี้เด็กหนุ่มผู้มีเส้นผมสีขาวกำลังยืนเปลือยท่อนบนอยู่ใต้น้ำตก ขณะที่กำลังทนกัดฟันรับแรงกระแทกของสายน้ำที่ตกลงมา เขาก็ยังคงยืนอยู่ในท่านั่งอากาศได้อย่างมั่นคง
ใต้ฝ่าเท้าของเขามีดอกเหมยบานสะพรั่งโผล่พ้นออกมาจากใต้ผิวน้ำจำนวนสองดอก
“หนึ่งลมหายใจ สองลมหายใจ สามลมหายใจ...”
ร่างของเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่บนดอกเหมยเริ่มโอนเอนไปมา ขณะนี้เขากำลังพยายามอดทนต่อแรงกระแทกอันหนักหน่วงที่ถาโถมเข้ามา เขายังต้องรักษาความเสถียรไม่ให้ร่างกายของตัวเองร่วงหล่นลงไปทับดอกเหมยอีกด้วย
“สี่ลมหายใจ ห้าลมหายใจ...”
ตู้ม!
ใน่จังหวะของลมหายใจที่ห้านั้น สุดท้ายเขาก็เสียการทรงตัวและตกลงไปในน้ำ
ศีรษะของมู่เฟิงโผล่พ้นขึ้นมาจากผิวน้ำ จากนั้นเขาก็ปีนกลับขึ้นไปบนดอกเหมยอีกครั้งและทำการฝึกฝนต่อไป
นี่คือการฝึกควบคุมร่างกายตามคำชี้แนะของซีเยว่
ในสถานการณ์เช่นนี้ การพยายามรักษาความสมดุลของร่างกายไม่ให้ร่วงตกลงไปในน้ำ จำเป็ต้องควบคุมกล้ามเนื้อให้ได้อย่างแม่นยำ และในขณะเดียวกัน วิธีการนี้ยังถือเป็การออกกำลังกายด้วยเช่นกัน
หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยาม ในที่สุดมู่เฟิงก็ว่ายน้ำกลับเข้าฝั่งมาอย่างหมดแรง เขานั่งลงบนพื้นด้วยท่าทางเหนื่อยหอบ ยามนี้ร่างกายของเขาเจ็บระบมไปทั้งตัว จนรู้สึกเหมือนกับว่ามันกำลังจะแตกสลาย
“ลุกขึ้น หลอมโอสถต่อ ตอนนี้ร่างกายของเ้ากำลังเหนื่อยล้า ถือเป็่เวลาที่ดีที่สุดในการฝึกพลังิญญา”
เสียงเข้มงวดของซีเยว่ดังขึ้นข้างหูของมู่เฟิง
“เยว่เอ๋อร์ เ้าต้องให้ข้าได้พักหายใจบ้างนะ”
มู่เฟิงยิ้มออกมาอย่างขมขื่น
“ลุกขึ้น!"
แต่ซีเยว่กลับยังคงออกคำสั่งอย่างเข้มงวด มู่เฟิงทำได้เพียงแค่ยิ้มขื่นก่อนจะผุดลุกขึ้นอย่างไม่สามารถต่อต้านได้ เขานำเตาหลอมโอสถออกมา จากนั้นก็โยนสมุนไพรลงไปสามชนิดและเริ่มการหลอมโอสถ
การฝึกฝนที่เข้มงวดแบบนี้ทำให้มู่เฟิงหวนนึกถึงบิดาของเขา ในอดีตตอนที่เขายังอยู่ในกองทัพ บิดาของเขาก็ปฏิบัติต่อเขาอย่างเข้มงวดเช่นนี้เหมือนกัน
ไม่นานโอสถสามประเภทก็ถูกหลอมออกมาพร้อมกัน แต่เนื่องจากความเหนื่อยล้า ทำให้สิ่งที่ถูกหลอมออกมานั้นเป็เพียงโอสถที่ไร้ประโยชน์
มู่เฟิงไม่มีทางเลือกนอกจากใส่สมุนไพรเข้าไปเพื่อทำการหลอมใหม่อีกครั้ง เขาพยายามควบคุมพลังิญญาและความแข็งแกร่งของจิตใจของตัวเองเพื่อไม่ให้ได้รับผลกระทบจากความเหนื่อยล้าทางร่างกาย
“เวลานี้เ้าทำได้เพียงแค่สามตัวยาเท่านั้น แต่ในอนาคตเ้าจะสามารถทำได้สี่ตัวยาหรือกระทั่งห้าตัวยาในเวลาเดียวกัน ความสามารถในการการควบคุมพลังิญญาของเ้าจะแข็งแกร่งขึ้น”
เสียงของซีเยว่ดังก้องอยู่ในห้วงความคิดของมู่เฟิง
“เฮ้อ…”
เมื่อได้ยินดังนั้นมู่เฟิงยิ่งรู้สึกขมขื่น ผลลัพธ์คือจิตใจของเขาเกิดความคิดฟุ้งซ่านขึ้นมาอีกแล้ว ทำให้การหลอมโอรสคราวนี้ล้มเหลวอีกเช่นเคย
การฝึกฝนนั้นเป็เื่ที่น่าเบื่อหน่ายและทุกข์ทรมาน เื้ัของการเติบโตคือความทุ่มเทและหยาดเหงื่อ
เื้ัของผู้แข็งแกร่งก็คือหยาดเหงื่อ หยาดโลหิต คราบน้ำตาและความขมขื่นเช่นกัน แน่นอนว่าในโลกนี้ไม่มีใครที่จะประสบความสำเร็จได้อย่างราบรื่น
เหล็กกล้าที่สามารถอดทนต่อการทุบตี ท้ายที่สุดมันก็จะถูกขึ้นรูปและกลายเป็กระบี่ที่เฉียบคม ฉะนั้นบุคคลที่สามารถทนต่อแรงกดดันได้ ย่อมจะสามารถเติบโตขึ้นเป็ผู้ที่แข็งแกร่งได้ในสักวันหนึ่ง
วันเวลาของการฝึกฝนยังคงผ่านพ้นไปอย่างเชื่องช้า จนในที่สุดเวลาก็ผ่านพ้นไปหนึ่งเดือน และเกือบจะถึงวันประเมินผลของบัณฑิตใหม่ที่กำลังจะจัดขึ้นในอีกไม่กี่วันแล้ว
บริเวณใต้น้ำตก เงาร่างหนึ่งกำลังยืนอยู่บนดอกเหมยอย่างเป็ธรรมชาติ
“สิบห้าลมหายใจ สิบหกลมหายใจ สิบเจ็ดลมหายใจ...สามสิบแปดลมหายใจ...สี่สิบหกลมหายใจ...หกสิบลมหายใจ”
เด็กหนุ่มกำลังพยายามควบคุมร่างกายของตัวเองอย่างเต็มที่เพื่อไม่ให้ตกลงไปในน้ำ กระทั่งจังหวะของลมหายใจที่เจ็ดสิบ ในที่สุดเขาก็หมดแรงและร่วงหล่นลงไป
มู่เฟิงว่ายน้ำขึ้นฝั่ง จากนั้นก็นำเตาหลอมโอสถออกมาเริ่มการหลอมโอสถ โดยคราวนี้เขาโยนสมุนไพรลงไปห้าชนิด ก่อนจะส่งพลังปราณเพลิงเข้าไปเพื่ออุ่นเตา และเริ่มต้นการหลอมโอสถทันที
สมุนไพรทั้งห้าชนิดนั้นได้รับหลอมรวมและถูกควบแน่นขึ้นเป็เม็ดยาจำนวนห้าเม็ด จากนั้นเด็กหนุ่มก็เริ่มวาดลายเส้นที่มีความสลับซับซ้อนลงบนเตาหลอม
หลังจากเวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป ในที่สุดมู่เฟิงก็ตบลงไปบนเตาหลอม ก่อนที่เม็ดยาขั้นสองจำนวนห้าเม็ดจะลอยขึ้นมาและตกลงไปในขวดอย่างแม่นยำ เมื่อเห็นดังนั้นเด็กหนุ่มก็ยิ้มกว้างออกมาทันที
ในเวลาต่อมามู่เฟิงก็เริ่มควบคุมพลังปราณเพื่อร้อยลูกปัด คาดไม่ถึงว่าคราวนี้เขาจะร้อยลูกปัดได้มากกว่ายี่สิบลูกพร้อมกัน เส้นด้ายอันอ่อนนุ่มคดเคี้ยวไปตามรูของลูกปัดอย่างง่ายดาย และในการร้อยลูกปัดครั้งหนึ่งเขาก็ใช้เวลาเพียงสอง่ลมหายใจเท่านั้น
จากนั้นภายในเวลาสิบ่ลมหายใจ ด้ายสีแดงจำนวนกว่าร้อยเส้นก็สามารถร้อยลูกปัดได้ทั้งหมด
“ข้าทำได้แล้ว ฮ่าๆ ในที่สุดข้าก็ทำสำเร็จแล้ว!"
เมื่อเห็นดังนี้ มู่เฟิงก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเสียงดังด้วยความดีใจ
หลังจากที่เขาผ่านการฝึกฝนอย่างหนักมาเป็เวลาหนึ่งเดือน ในที่สุดเขาก็สามารถมาถึงจุดที่ซีเยว่เคยกล่าวเอาไว้ได้ ใน่หนึ่งเดือนนี้เขาจำเป็ต้องละทิ้งการฝึกฝนด้านอื่นๆ ไปบางส่วนเพื่อฝึกฝนสิ่งนี้โดยเฉพาะ
มู่เฟิงหัวเราะออกมาด้วยความยินดี สักพักเขาก็ล้มตัวลงนอนบริเวณริมน้ำโดยที่ใบหน้ายังคงมีรอยยิ้ม และเนื่องจากความเหนื่อยล้าทั้งทางร่างกายและจิตใจ เด็กหนุ่มจึงผล็อยหลับไปในที่สุด...
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้