หลังจากซินเยว่เดินทางไปได้หลายชั่วยาม ใน่ยามซื่อของวันก็เริ่มมีเื่ซุบซิบนินทาเกิดขึ้น ทั้งร้านน้ำชาและเหลาอาหารต่างพูดถึง เื่ที่มีสตรีเดินจูงเด็กสาวออกมาจากจวนใต้เท้าเสิ่นเมื่อวานนั้น ที่แท้แล้วคืออนุภรรยาและบุตรสาวเพียงคนเดียวของจวน
“นี่พวกเ้าเห็นนางสองคนแม่ลูกหรือไม่ ทั้งแม่ทั้งลูกร่างกายผ่ายผอมซีดเซียวเหมือนคนขาดสารอาหาร พวกนางไปกินข้าวที่เหลาอาหารเด็กน้อยร้องด้วยความดีใจที่ได้กินเนื้อ ข้าได้ยินแล้วก็ให้รู้สึกสงสารพวกนางจริง ๆ”
“ใช่ ๆ ๆ ข้าก็ได้ยินเด็กน้อยบอกว่าอยู่ที่จวนได้กินแต่น้ำข้าวกับเศษผัก ข้าไม่อยากเชื่อเลยว่าจวนท่านใต้เท้าเสิ่นจะทำกับเด็กได้ลงคอ”
“ไอหย๋า!! แม้จะเป็บุตรของอนุแต่เด็กก็เป็ถึงบุตรสาวนะแท้ ๆ ไม่เลี้ยงดูอย่างดีเหมือนบุตรฮูหยินเอกก็แล้วไปเถิด อย่างน้อยก็ควรให้นางได้กินอิ่มท้องทุกมื้อก็ยังดี”
“ข้าว่ามันน่าจะมีอะไรมากกว่านั้นเป็แน่ พวกเ้าคิดดูั้แ่ใต้เท้าเสิ่นพานางกลับมาเมื่อหลายปีก่อน หลังจากนั้นก็ไม่มีใครเคยเห็นอนุคนนี้ออกมาจากจวนแม้แต่ครั้งเดียว”
พอมีเริ่มก็มีคนเข้าร่วมวงสนทนามากขึ้น โรงน้ำชากับเหลาอาหารที่มีผู้คนเดินเข้าออก ช่างเป็สถานที่ยอดเยี่ยมที่สุดของการปล่อยข่าวลือ เพียงไม่นานมันก็แพร่กระจายไปทุกหัวมุมถนนในเมืองหลวง ป่านนี้จวนของใต้เท้าเสิ่นคงจะมีคนไปรายงานเกี่ยวกับข่าวลือเ่าั้แล้วกระมัง
ทางด้านเสิ่นิเหยียนหลังจากเข้าเฝ้าฮ่องเต้เรียบร้อยแล้ว ก็ควบม้ากลับจวนแต่ในระหว่างทางเขากลับได้รับสายตาแปลก ๆ จากผู้คนที่เดินอยู่ตามถนน แม้จะรู้สึกสงสัยแต่มิได้ใส่ใจรีบควบม้ากลับจวนเพื่อพักผ่อน จนถึงยามเช้าในวันถัดมาในยามเฉิน พ่อบ้านของจวนก็เดินเข้าไปในห้องทำงานของเ้านายด้วยความรีบร้อน เพื่อรายงานเื่ข่าวลือที่เขาได้ยินมา
“เรียนนายท่านยามนี้ด้านนอกจวนมีข่าวลือ เกี่ยวกับเื่ที่ท่านไล่อนุซูกับคุณหนูใหญ่ออกจากจวนขอรับ”
“คนพวกนั้นรู้เื่นี้ได้อย่างไร?” ใต้เท้าเสิ่นวางหนังสือลงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“บ่าวไพร่ที่ทำงานอยู่แถวประตูข้างจวนเล่าให้ฟังว่า ตอนที่อนุซูกับคุณหนูใหญ่กำลังจะออกจากประตูข้าง ฮูหยินเอกได้เอ่ยรั้งพวกนางไว้ เพื่อค้นตัวว่าแอบหยิบของมีค่าติดตัวไปด้วยหรือไม่ พอตรวจค้นแล้วไม่พบเจอสิ่งใด ฮูหยินเอกก็พูดจาดูถูกพวกนางด้วยถ้อยคำรุนแรงและเสียงดัง จนมีชาวบ้านบริเวณนั้นเห็นเหตุการณ์และได้ยินเข้าขอรับ”
“ปัง!! บัดซบ!! ข้าสั่งให้จัดการส่งสองคนแม่ลูกนั่นออกไปเงียบ ๆ นี่นางทำอะไรลงไปน่าอับอายที่สุด” ใต้เท้าเสิ่นตบโต๊ะอย่างแรงจนเสียงดังสนั่นไปทั่วห้องด้วยอารมณ์หงุดหงิด
“รอดูสถานการณ์ไปก่อนสักสองสามวัน บางทีข่าวลือพวกนั้นอาจจะหายไปเอง”
“ขอรับนายท่าน” พ่อบ้านรับคำจากผู้เป็นายก็เดินออกจากห้องไป
กว่าที่ใต้เท้าเสิ่นจะคิดหาวิธีสยบข่าวลือได้มันก็สายเกินไปแล้ว เมื่อเริ่มเช้าวันใหม่ในวันถัดมาก็มีข่าวลือใหม่ ซึ่งครั้งนี้เกิดขึ้นบริเวณโรงรับจำนำให้ได้พูดคุยเพิ่มอีกเื่
“นี่ ๆ เ้ารู้เื่หรือยังอนุภรรยาที่ถูกขับไล่ออกจากจวนเสิ่นน่ะ ตอนที่นางอยู่ในจวนต้องทยอยนำสินเดิมของตน มอบให้สาวใช้คนสนิทเอาออกมาขายเพื่อประทังชีวิตล่ะ”
“เพ้ย! ถึงขนาดต้องเอาสินเดิมออกมาขายเลยรึ นางเป็อนุก็จริงแต่ก็ต้องได้รับเบี้ยรายเดือนสิ”
“ได้ยินมาว่านางไม่เคยได้รับเบี้ยรายเดือน ั้แ่เข้ามาอยู่ที่จวนแล้ว”
“มีคนบอกว่านางเอาออกมาขายได้เกือบหกปีสินเดิมถึงได้หมด เพราะต้องเลี้ยงดูบุตรสาวพวกเ้าที่มีครอบครัวแล้ว คงจะเข้าใจดีว่าเลี้ยงเด็กคนนึงต้องใช้เงินเยอะเพียงใด หลังจากนั้นเป็ต้นมาพวกนางก็ปักผ้าขายเพื่อที่จะมีรายได้ไว้ใช้จ่าย”
“แต่ข้าคิดว่าเื่นี้จะโทษใต้เท้าเสิ่นก็คงไม่ถูกนัก เพราะส่วนมากใต้เท้าเสิ่นต้องเดินทางไปตรวจสอบขุนนางตามหัวเมือง เื่นี้หากจะโทษก็ต้องโทษฮูหยินเอกถึงจะถูก เพราะนางมีหน้าที่ดูแลเรือนหลัง”
“ใช่ ๆ ๆ” ทุกคนล้วนตอบเป็เสียงเดียวกัน
และตอนเช้าของวันต่อมาเวลาเดิม ก็เริ่มมีข่าวใหม่มาให้พูดคุยอีกครั้ง ๆ นี้มาจากร้านขายสมุนไพร ขนาดคนที่นอนป่วยยังทนไม่ไหว ลุกออกจากเตียงเข้าร่วมวงสนทนาเื่ของสองแม่ลูก
“พวกเ้า ๆ ข้ายังได้ยินมาอีกนะยามที่นางล้มป่วย มีเพียงสาวใช้คนสนิทออกมาซื้อยาสมุนไพรไปต้มกินเอง เพราะว่าฮูหยินเอกนางไม่อนุญาตให้ตามหมอมารักษาอนุคนนี้”
“โหดร้ายเกินไปแล้วกระมัง กะจะให้นางสิ้นใจตายคาเรือนเลยรึ คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจจริง ๆ เป็ถึงบุตรสาวขุนนางใหญ่โต”
“ที่ร้ายที่สุดคือตอนที่นางตั้งครรภ์ ไม่เคยมีท่านหมอคนไหนได้เข้าไปตรวจอาการให้นาง มีเพียงสาวใช้ต้องแอบไปซื้อยาบำรุงครรภ์ โดยบอกอาการที่เกิดขึ้นให้ท่านหมอที่ประจำร้านยาได้รู้เท่านั้น”
“โอ๊ย ทำไมชีวิตพวกนางสองแม่ลูกช่างน่าเวทนาเช่นนี้”
แม้จะผ่านไปหลายวันแต่ข่าวลือทั้งหลายนี้ยังถูกพูดถึงตลอดเวลา เมื่อไม่มีใครในจวนตระกูลเสิ่นออกมาแก้ไขเื่ดังกล่าว ชาวบ้านยิ่งเข้าใจว่าที่ทุกคนพูดต่อ ๆ กันมานั้นเป็ความจริงทั้งหมด
