เมื่อเห็นเซี่ยเสี่ยวหลานถือถ้วยรางวัลชนะเลิศระดับประเทศของการแข่งขันภาษาอังกฤษกลับมา สร้างความฮือฮาได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
เธอถือถ้วยรางวัลกลับมาด้วยเช่นนี้มีหรือข่าวจะไม่แพร่สะพัด คนทั้งหอพักหญิงต่างรู้กันทั่ว
ชาวห้อง 307 แบกตัวเซี่ยเสี่ยวหลานเดินวนรอบห้อง ก่อนจะมีคนมาถามข่าวคราวที่ห้องเป็ครั้งคราว หลังมั่นใจว่าเธอได้รับรางวัลจริงๆ ข่าวลือก็ยิ่งแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว
ไม่เหมือนกับข่าวลือแง่ลบ่ก่อนหน้านี้ ครั้งนี้คือข่าวลือแง่บวกที่ไร้ข้อกังขา
นักศึกษาจากภาควิชาภาษาต่างประเทศคนหนึ่งไม่ผ่านเข้ารอบแข่งขันทักษะการพูด ส่วนอีกคนหนึ่งซึ่งก็คือจงไฉ่ได้แค่รางวัลรองชนะเลิศอันดับหนึ่ง ในขณะที่นักศึกษาปีหนึ่งจากภาควิชาสถาปัตยกรรมอย่างเซี่ยเสี่ยวหลานกลับได้รับรางวัลชนะเลิศระดับประเทศพร้อมทั้งยังได้คะแนนอันดับหนึ่ง นอกจากช่วยสร้างชื่อเสียงให้แก่หัวชิงแล้ว ยังเป็หน้าเป็ตาให้กับภาควิชาสถาปัตยกรรมอีกด้วย!
ได้รางวัลชนะเลิศในการแข่งขันระดับประเทศไม่ใช่เื่ง่าย ตอนนี้เวลาพูดถึง ‘เซี่ยเสี่ยวหลาน’ นอกจากความสวยแล้ว อย่างน้อยก็คงมีคำว่าเก่งภาษาอังกฤษมาประดับเพิ่มด้วย
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่คิดว่าภาษาอังกฤษของตนจะดีเลิศขนาดนั้น
แต่จากผลการแข่งขันกลับทำให้ตอนนี้เธอกลายเป็ลูกศิษย์คนโปรดของอาจารย์หลินอย่างแท้จริง เด็กที่มีพร์และขยันหมั่นเพียร แน่นอนว่าไม่มีอาจารย์คนไหนรังเกียจได้ลง
ศาสตราจารย์เฮ่อเองก็รู้สึกว่าเซี่ยเสี่ยวหลานเป็เด็กมีอนาคต เรียนสาขาวิชาสถาปัตยกรรมช่างน่าเสียดายยิ่งนัก เขาถึงกับวิ่งมาถามเซี่ยเสี่ยวหลานที่ภาควิชาสถาปัตยกรรมด้วยตัวเองว่าอยากย้ายสาขาหรือไม่
จะเป็ไปได้อย่างไร
ศาสตราจารย์เฮ่อถูกท่าทีแข็งกร้าวของหัวหน้าภาควิชาสถาปัตยกรรมไล่กลับไปทันที
“นักศึกษาเซี่ยเรียนภาษาอังกฤษได้ดี แน่นอนว่าย่อมเรียนสถาปัตยกรรมได้ดีเช่นกัน ดังนั้นพวกเราควรเคารพการตัดสินใจของเธอ”
คำพูดของหัวหน้าภาควิชาทำให้ศาสตราจารย์เฮ่อหมดข้ออ้าง นั่นก็เพราะความ้าของเซี่ยเสี่ยวหลานคือการเรียนสถาปัตยกรรมต่อไป
“ช่างเถอะ ผมคงยึดติดกับสาขาวิชามากเกินไป เรียนอะไรไม่ใช่เื่สำคัญ”
ศาสตราจารย์เฮ่อส่ายหน้าอย่างปลงตก หากเซี่ยเสี่ยวหลานสนใจในภาษาต่างประเทศจริง ต่อให้เรียนอยู่ที่ภาควิชาสถาปัตยกรรมก็สามารถเรียนรู้ด้วยตัวเองได้ สิ่งที่ได้มาด้วยการฝืนใจหาใช่เื่ดี เซี่ยเสี่ยวหลานเคยพูดตอนแข่งขันว่า อยากทำให้คนอื่นเห็นว่าสถาปนิกหญิงสามารถก้าวหน้าได้ถึงขั้นไหน
แล้วตอนนี้ว่าที่สถาปนิกหญิงกำลังทำอะไรอยู่?
เธอคว้าถ้วยรางวัลกลับมาไม่ทันไรก็ถึงสัปดาห์แห่งการสอบ ถ้วยรางวัลยังไม่ทันหายร้อน เซี่ยเสี่ยวหลานก็ต้องดึงตัวเองออกมาจากความดีใจ และเผชิญหน้ากับการสอบปลายภาคครั้งแรกของชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย
—-------------------------------------------------
กำหนดการเปิดเทอมของแต่ละมหาวิทยาลัยนั้นใกล้เคียงกัน ดังนั้นเวลาสอบปลายภาคจึงไม่ห่างกันมากนัก
ในขณะที่เซี่ยเสี่ยวหลานกำลังเตรียมสอบปลายภาค ทางด้านวิทยาลัยฝึกหัดครูปักกิ่ง เซี่ยจื่ออวี้กับหวังเจี้ยนหัวยังไม่อาจทำใจให้สงบลงได้
หวังเจี้ยนหัวรู้สึกว่าพวกเขาสองคนมีทัศนคติที่ตรงกัน วันนั้นหลังสอบเกาเข่า พวกเขาสามารถคุยกันได้ทั้งคืน ทุกประโยคที่เซี่ยจื่ออวี้พูดล้วนกระแทกใจเขายิ่งนัก
คู่ชีวิตที่มีปณิธานเดียวกัน หวังเจี้ยนหัวเคยให้คำนิยามความสัมพันธ์ของตนกับเซี่ยจื่ออวี้ไว้เช่นนี้
ั้แ่เมื่อไรกันที่พวกเขาสองคนไม่มีเื่ให้พูดคุยกันมากดั่งเดิม ตอนอยู่ด้วยกันส่วนใหญ่ก็มีแต่ความเงียบงัน
อย่างเช่นตอนนี้
เขาอยากคุยเื่บางอย่างกับเซี่ยจื่ออวี้ และ้าทำลายความเงียบที่น่าอึดอัดนี้ออกไป แต่ตอนนี้แววตาของเซี่ยจื่ออวี้กลับดูล่องลอย คงไม่อาจเอาใจใส่สภาพจิตใจของแฟนหนุ่มได้
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานกี่นาที
หรืออาจจะนานหลายชั่วโมง
เซี่ยจื่ออวี้พยายามฝืนรวบรวมพลังที่หลงเหลืออยู่กล่าวออกไปว่า
“เช่นนั้นแสดงว่าเสี่ยวหลานได้รางวัลชนะเลิศระดับประเทศ และปีหน้าอาจจะได้เป็นักศึกษาแลกเปลี่ยนอย่างนั้นหรือ”
นี่ไม่ควรเป็ชีวิตของเซี่ยเสี่ยวหลาน ตามแผนการของเซี่ยจื่ออวี้แล้ว เซี่ยเสี่ยวหลานควรมีชื่อเสียงที่ป่นปี้ ถูกคนตระกูลเซี่ยรังเกียจเดียดฉันท์ สุดท้ายต้องแต่งงานกับพ่อม้ายหรือผู้ชายแก่ๆ สักคนที่ชนบท แม้จะมีใบหน้างดงามแค่ไหนก็ต้องถูกกักขังอยู่ในชนบทอันแร้นแค้นนานหลายปี เป็เพียงหญิงบ้านนอกที่หน้าตาดีหน่อยก็เท่านั้น
ต่างกับตัวเธอที่ได้คบหากับหวังเจี้ยนหัวผู้มีอนาคตไกล สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ หลุดพ้นจากบ้านเกิดอันแสนแร้นแค้น และกลายเป็ชาวเมืองที่หลายคนต้องรู้สึกอิจฉา
ทั้งยังเป็ชาวเมืองที่มีชีวิตที่ดีที่สุดอีกด้วย
ทว่าแผนการของเธอกลับสำเร็จแค่เสี้ยวเดียว หากดูที่วัยเพียงยี่สิบต้นๆ ชีวิตของเธอกับเซี่ยเสี่ยวหลานเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น และเพราะจุดนี้ทำให้เซี่ยจื่ออวี้ฝืนรวบรวมพลังได้บ้าง
เธอเพิ่งอายุ 22 ปี ส่วนเซี่ยเสี่ยวหลานอายุเพียง 20 ปีเท่านั้น!
เซี่ยเสี่ยวหลานได้เปรียบแค่ชั่วครั้งชั่วคราว แต่ไม่ได้หมายความว่าเธอจะพลิกกลับมาเป็ฝ่ายนำไม่ได้ สายตาของเซี่ยจื่ออวี้ดูมุ่งมั่นยิ่งนัก อย่างน้อยก็มีจุดหนึ่งที่เธอสามารถมั่นใจได้ นั่นคือหวังเจี้ยนหัวไม่มีทางกลับไปหาเซี่ยเสี่ยวหลานเป็อันขาด! เธอใช้เวลาเกือบสองปี ในที่สุดก็ทำให้หวังเจี้ยนหัวมายืนอยู่ฝั่งเดียวกันกับเธอได้ ดูจากสภาพของหวังเจี้ยนหัวตอนนี้ก็รู้ว่า สิ่งที่มาพร้อมกับความสำเร็จของเซี่ยเสี่ยวหลานหาใช่ความยินดี แต่เป็ความเ็ปที่มอบให้แก่หวังเจี้ยนหัว
“เจี้ยนหัว นี่ก็เป็แค่การแข่งขันภาษาอังกฤษเท่านั้น อย่างไรก็ตามถ้าเธอไปเป็นักศึกษาแลกเปลี่ยนที่ต่างประเทศจริงก็ขอให้เธออยู่ที่นั่นไปเลยก็ยิ่งดี พวกเราจะได้ไม่ต้องเจอหน้าเธออีกให้อึดอัดใจอย่างไรเล่า”
คนยุคนี้เห็นการเรียนต่อต่างประเทศเป็เื่น่ายกย่อง ราวกับออกนอกประเทศแล้วจะกลายเป็ผู้ชนะ สร้างเกียรติยศให้กับวงศ์ตระกูลได้
ขอให้เซี่ยเสี่ยวหลานคิดแบบนั้น ได้โอกาสเป็นักศึกษาแลกเปลี่ยนแล้วก็อย่าได้กลับมาแผ่นดินใหญ่อีก เซี่ยจื่ออวี้ไม่ได้ยอมแพ้ แต่เธอถูกความเจิดจรัสของเซี่ยเสี่ยวหลานทำให้รู้สึกหายใจไม่ออก ถ้าเซี่ยเสี่ยวหลานอยู่ไกลเธอสักนิด เซี่ยจื่ออวี้คงใช้ชีวิตได้อย่างราบรื่น
“จื่ออวี้ ปัญหาตอนนี้คือเธอได้รางวัลแล้ว แต่พ่อของฉันอาจจะลำบากน่ะสิ”
หวังเจี้ยนหัวกัดฟันพูดออกไป ครอบครัวเขาปรึกษาแผนการนี้กันขึ้นมาเอง ทว่าพอต้องบอกแผนการที่หวังก่วงผิงคิดใส่ร้ายเซี่ยเสี่ยวหลาน หวังเจี้ยนหัวก็รู้สึกหูร้อนไปหมด
เซี่ยจื่ออวี้เงียบไป
ตระกูลหวังปรึกษากันลับหลังเธอ แต่ตอนนี้พอแผนล้มเหลวกลับค่อยเล่าให้เธอฟัง แล้วยังจะมีประโยชน์อะไรอีกเล่า
ทำเหมือนเธอจะสามารถช่วยกำจัดเื่ยุ่งยากในที่ทำงานของหวังก่วงผิงได้อย่างนั้นแหละ!
เดี๋ยวนะ ถ้ามีคนขุดคุ้ยเื่นี้ขึ้นมา ตระกูลหวังคงไม่ได้คิดจะให้เธอเป็แพะรับบาปเหมือนตอนเื่ชั้นเรียนกวดวิชา และบอกว่าเธอเป็ฝ่ายอยากแก้แค้นเซี่ยเสี่ยวหลานหรอกใช่ไหม
เซี่ยจื่ออวี้หอบหายใจถี่ หน้าซีดเผือด ก่อนจะคว้ามือหวังเจี้ยนหัวทันที
“เจี้ยนหัว ฉันรู้สึกไม่ค่อยสบาย เธอกลับหอเป็เพื่อนฉันทีสิ ฉันจะกลับไปนอนพักสักหน่อย”
หวังเจี้ยนหัวเห็นท่าทางทรมานของเธอก็ลืมสิ่งที่อยากพูดในบัดดล พร้อมทั้งเอ่ยอย่างร้อนใจ “กลับหอไหวหรือเปล่า ฉันพาเธอไปส่งที่ห้องพยาบาลดีหรือไม่”
ช่างเถอะ ตอนนี้อย่าเพิ่งตื่นตูมไปเอง ไว้ตระกูลโจวออกหน้าแทนเซี่ยเสี่ยวหลานเมื่อไร และหากตระกูลหวังมีเื่เดือดร้อนขึ้นจริง จื่ออวี้คงไม่อาจทนดูอยู่เฉยๆ ได้
หวังเจี้ยนหัวคิดว่าตระกูลโจวคงลงมือเล่นงานพวกเขา
แน่นอนว่าคนตระกูลหวังคิดเช่นนี้กันหมด
เมื่อก่อนหวังเจี้ยนหัวกับโจวเฉิงโตมาในรั้วบ้านเดียวกัน หวังก่วงผิงกับโจวกั๋วปินทำงานอยู่ในตำแหน่งเทียบเคียงกัน หลังหวังก่วงผิงกลับมารับราชการอีกครั้ง เขาเข้าใจสถานะของตนผิดไป และยังคงใช้สายตาแบบเดิมประเมินค่าในทุกเื่ คิดว่าตระกูลหวังกับตระกูลโจวยังอยู่วงสังคมเดียวกัน เขาก็แค่อยู่ที่ไร่มาถึง 8 ปี ห่างหายจากวงสังคมนี้มานาน ขอแค่สร้างผลงานบางอย่างได้ เขาก็สามารถหลอมรวมเป็หนึ่งเดียวกับทุกคนได้
ความคิดเช่นนี้ทำให้เขาเกิดพฤติกรรมรีบร้อนอยากสร้างผลงาน
ความคิดเช่นนี้ทำให้คนตระกูลหวังทุกคนคิดว่ายังพอมีโอกาสแก้ตัว แต่ย่าโจวไม่อยากฟังคำแก้ตัวของตระกูลหวังแม้แต่น้อย ผู้เฒ่าโจวเองก็คิดว่าพฤติกรรมของหวังก่วงผิงไม่เหมาะสมกับตำแหน่งงานในปัจจุบัน และไม่จำเป็ต้องบอกหวังก่วงผิงให้รู้ตัว เนื่องจากผู้เฒ่าโจวได้แจ้งกับเบื้องบนเองโดยตรงด้วยตัวเอง
ความคิดเห็นของสหายเก่าแก่ย่อมมีความสำคัญอย่างยิ่ง แน่นอนว่าคงเชื่อฟังทุกคำพูดของผู้เฒ่าโจวไม่ได้ อย่างไรก็คงต้องเรียกหัวหน้าฝ่ายอุดมศึกษามาสอบถามสถานการณ์เสียก่อน
หัวหน้าฝ่ายอุดมศึกษามีเื่อัดอั้นที่ไม่อาจระบายออกมาได้อยู่เต็มอก ดังนั้นเขาจึงรายงานเื่สหายหวังก่วงผิงอย่างละเอียด
คำพูดของหัวหน้าฝ่ายยังไม่พอ ต้องถามเพื่อนร่วมงานของหวังก่วงผิงด้วย
รองหัวหน้าถังมีท่าทางอ้ำๆ อึ้งๆ “สหายก่วงผิงมีความทะเยอทะยานมากครับ”
มีความทะเยอทะยานคือความเห็นแบบไหนกัน?
ทำงานด้านการศึกษาไม่จำเป็ต้องมีความทะเยอทะยาน แต่ต้องมีความละเอียดรอบคอบ มีความหนักแน่นเชื่อถือได้ต่างหาก!