บทที่ 145 ตัวต่อตัว
“เฮ้อ คุณชายน้อยทั้งสอง เมื่อครู่นี้ข้าไม่ทันได้ตั้งตัวก็ยิงเข้าเป้าไปเสียแล้ว ออมมือแล้ว ออมมือแล้ว”
ฉู่อวิ๋นหรี่ตาลง ประสานมือก้มตัวอย่างสุภาพ ส่งยิ้มให้กับเสวี่ยหานเฟยและตงฟางสยง
“เหอะๆ” ปากของเสวี่ยหานเฟยกระตุกเล็กน้อย เผยให้เห็นถึงความเกลียดชังเป็ครั้งแรก เห็นได้ชัดว่าคิ้วของเขาสั่น ค่อนข้างหงุดหงิด
ตงฟางสยงเองมีสีหน้าเคร่งขรึม กำหมัดแน่นอย่างโกรธขึ้ง เขาบีบแก้วเหล้าจนแตก ทิ้งเศษกระเบื้องไว้เต็มพื้น
จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อ ลุกขึ้นยืนและพูดอย่างไม่ค่อยพอใจ “ฮึ! ข้ายังมีสิ่งสำคัญที่ต้องทำ พวกเ้าก็ค่อยๆ เล่นสนุกกันไปเถอะ! เชอะ!"
พูดจบ ทายาทของเผ่าปีศาจวัวก็รีบออกจากลานเรือนไปโดยไม่มองฉู่อวิ๋นสักแวบ เขารู้สึกหงุดหงิดจริงๆ
ในเวลาเดียวกัน ฉู่อวิ๋นก็หัวเราะเบาๆ และพูดว่า “คุณชายเสวี่ย ข้าทำลูกธนูของท่านพังเสียแล้ว เสียมารยาทแล้วจริงๆ”
เมื่อได้ยิน เสวี่ยหานเฟยก็พับพัดขนนกเสียงดัง “พรึ่บ” ทันที ยิ้มอย่างไม่เต็มใจและเอ่ยว่า “เหอะ... เหอะๆ จอมยุทธ์อวิ๋นมีทักษะธนูที่ยอดเยี่ยม สามารถโจมตีลูกธนูของคุณชายเช่นข้าให้แตกได้ นี่มัน... ช่างน่าแปลกใจจริงๆ”
เสวี่ยหานเฟยพูดพลางกัดฟัน เพราะเห็นฉู่อวิ๋นมองเขาด้วยรอยยิ้มแสนบรรเจิด เมื่อผนวกกับหนากากคริสตัลสีดำ ก็ยิ่งชวนให้ผู้คนอยากลงไม้ลงมือเสียจริง
วอนโดนเท้าเกินไปแล้ว ชนะแล้วมาเยาะเย้ยซึ่งหน้าเช่นนี้ ทั้งยังอวดดีเสียขนาดนั้น
“มิกล้า!ๆ” ฉู่อวิ๋นยิ้มยิงฟัน และพูดว่า “หากคุณชายเสวี่ยไม่เปรียบเหมือนโคมส่องทาง แสดงให้ข้าเห็นถึงวิธีการยิง ข้าคงไม่อาจยิงเข้าเป้าได้หรอก”
“อ๊ะ แต่ว่า! ลูกศรนั่นทำให้หินเกล็ดม่วงของท่านแตกกระจาย ท่านอยากให้ข้าชดเชยให้อย่างไรดี? อย่างไรเสียหินิญญาที่ข้ามีก็ให้ไม่หมดอยู่แล้ว”
เมื่อมองดูของเดิมพันบนโต๊ะ ฉู่อวิ๋นก็พูดเสริมขึ้นมา
“เ้า... เ้า!” เสวี่ยหานเฟยกำหมัดแน่นอย่างโกรธจัดจนพูดไม่ออกอยู่ครู่หนึ่ง
การแพ้ยุทธ์ไม่ใช่เื่ใหญ่ แต่การแพ้ต่อหน้าอัจฉริยะรุ่นเดียวกันและต่อหน้าฉู่ซินเหยาถือเป็เื่ที่น่าอับอายยิ่ง
ทันใดนั้นดวงตาของเขาพลันเปลี่ยนเป็เ็า น้ำเสียงเย็นเยียบ “ไม่จำเป็! ก็แค่หินเกล็ดม่วงก้อนหนึ่งเท่านั้น ข้ายังพอจะแพ้ให้ได้”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉู่อวิ๋นก็พยักหน้าอย่างมีความสุข และกำลังจะไปเก็บของเดิมพัน แต่แล้วเขาก็นึกอะไรขึ้นมาได้ จึงหันกลับมาพูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่น่าจะแค่นั้นนะ ท่านยังเสียยาฟื้นชีพจรไปอีกสามเม็ดด้วย”
“เ้า!”
ใบหน้าของเสวี่ยหานเฟยแดงก่ำ เขาโกรธมาก เดิมทีเขามั่นใจว่าตนเองจะชนะ แต่ไม่คิดเลยว่าจะมีคนพังกำแพงหินน้ำแข็งของเขาที่เตรียมพร้อมมาอย่างดี
ลูกธนูของฉู่อวิ๋นทำลายความมั่นใจนี้ของเขาเสียสิ้นซาก!
ทั้งคนป่าคนนี้ยังเป็ตัวเลือกสามีของน้องสาวของเขา และอาจจะกลายเป็ญาติกันในอนาคต!
แต่นอกเหนือจากความไม่พอใจแล้ว เสวี่ยหานเฟยยังรู้สึกประหลาดใจอยู่ด้วย ิญญายุทธ์ของเขานั้นพิเศษ พลังปราณไฟธรรมดาไม่อาจทำลายลูกธนูน้ำแข็งของเขาได้
แต่คนป่าคนนี้ด้วยการฝึกฝนขอบเขตควบแน่นพลังปราณของเขากลับทำลายมันได้จริงๆ หรือ?
“เด็กคนนี้... ต้องมีความลับอะไรสักอย่างอยู่ในร่างกายแน่!” เสวี่ยหานเฟยแอบคิดอย่างเงียบๆ และเริ่มระมัดระวังฉู่อวิ๋นมากขึ้นเรื่อยๆ
“คุณชายเสวี่ย จอมยุทธ์อวิ๋นสง่างามไร้ที่ติ เขาโจมตีเป้าและพังลูกธนูของท่านได้ ดูท่านจะตัดใจยอมแพ้แล้วกระมัง?”
“เฮ้อ น่าเสียดายจริงๆ เขาเกือบจะชนะอยู่แล้ว แต่สุดท้ายไปได้ครึ่งทางก็มีเด็กชาวป่าโผล่มาขัด ฮ่าๆ”
คนหนุ่มสาวกลุ่มหนึ่งเข้ามาพูดเยาะเย้ยติดตลก ทุกคนต่างชื่นชมกับความโชคร้ายของเสวี่ยหานเฟย หวังจะทำให้เขาอับอาย
“ไม่สำคัญหรอก เป็แค่การละเล่นเท่านั้น ทุกท่านมีความสุขสิจึงจะสำคัญ ฮ่าๆๆ”
ต้องบอกว่าเสวี่ยหานเฟยนั้นควบคุมอารมณ์ได้เก่งมาก ตอนนี้เขากลับมาเป็ปกติแล้ว เขาสงบท่าทีลงอีกครั้งด้วยการท่วงท่าที่สง่างามและรอยยิ้มที่อ่อนโยน
ในท้ายที่สุด ฉู่อวิ๋นกลายเป็ผู้ชนะอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่เพียงแต่เขาจะได้รับของเดิมพันอันมีค่ามากมายไปเก็บไว้ในวงแหวนอวกาศเท่านั้น แต่ยังสามารถพบกับฉู่ซินเหยาตามลำพังได้อีกด้วย
แน่นอนว่าสำหรับฉู่อวิ๋น การได้พบกับพี่ซินเหยาเป็สิ่งสำคัญที่สุด
แม้ว่าภายนอกเขาจะดูไร้กังวล แต่ก็แค่ภายนอกเท่านั้น ในใจกลับกังวลอย่างมาก
“ในเมื่อคนป่าท่านนี้เป็ผู้ชนะการแข่งขัน เช่นนั้นข้าก็ย่อมรักษาสัญญา พบปะกับเขาที่ศาลากลางทะเลสาบ และจะบรรเลงเพลงให้เขาฟัง”
ก้าวดอกบัว[1]ของฉู่ซินเหยาขยับเล็กน้อย โอนเอนราวกับนาง์เผชิญธุลีแดง นางเดินไปที่ศาลากลางทะเลสาบพร้อมสาวใช้
และก็ถึงเวลาที่งานเลี้ยงจบลง ทุกคนจึงเริ่มไม่สนใจอะไรและทยอยกันกลับบ้าน
แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ทิ้งความประทับใจที่ดีไว้ต่อหน้าฉู่ซินเหยา แต่การได้เห็นคนป่าก่อปัญหาให้คุณชายอัจฉริยะทั้งสามขายขี้หน้าก็คุ้มค่าแล้ว
จากนั้น ลานเรือนที่ครึกครื้นก็เข้าสู่ความสงบ
“หรูเยียน เ้ายังไม่ไปหรือ?” ตอนนี้ไม่มีใครอยู่ที่นี่แล้ว เสวี่ยหานเฟยจึงถามออกมาด้วยสีหน้าเ็าและบูดบึ้ง
“ข้า... ข้าอยากรอให้อวิ๋นชูกลับพร้อมกัน”
เสวี่ยหรูเยียนมองตามแผ่นหลังของฉู่อวิ๋น มองดูเขาเดินไปที่ศาลากลางทะเลสาบทีละก้าว ในใจรู้สึกขมขื่นขึ้นมา รับรู้ได้ถึงปัญหาที่อาจจะตามมา
“เขามีมือมีเท้า เดี๋ยวก็กลับไปเองได้ ไป!”
ใบหน้าของเสวี่ยหานเฟยเ็า ดึงเสวี่ยหรูเยียนออกไปโดยไม่สนคำคัดค้านของนาง
ด้วยคุณชายแห่งเมืองชุยเสวี่ยไม่อยากรั้งอยู่ที่นี่แม้เพียงเค่อ[1] เพราะโอกาสที่จะได้เจอกับสาวงามนั้นตกเป็ของคนอื่นไปแล้ว นั่นทำให้เขาโกรธมากจริงๆ
ไม่นาน ฉู่อวิ๋นก็มาถึงศาลากลางทะเลสาบ นั่งลงที่โต๊ะหินเดียวกันกับฉู่ซินเหยา สบมองหน้ากันด้วยความตื่นเต้นล้นอก
ไม่รู้ด้วยเหตุใด ทั้งสองที่ไม่ได้เจอกันมาสักพัก ตอนนี้กลับรู้สึกแปลกไป ใบหน้าของพวกเขาแดงขึ้นมาเล็กน้อย
นี่คือความรู้สึกของความสุขอันแสนหวานและอบอุ่น
ในเวลานี้ ตามคำร้องของฉู่ซินเหยา สาวใช้และทหารยามก็ขยับไกลออกไปแถวริมฝั่ง ทำให้ทั้งคู่มีพื้นที่ส่วนตัวในการพูดคุย
“อวิ๋นเอ๋อร์...”
“อะแฮ่ม!”
แต่ฉู่ซินเหยาทนคิดถึงไม่ไหว ดวงตาของนางเอ่อคลอด้วยหยาดน้ำตา นางอยากจะทักทายปราศรัย แต่ก็ถูกขัดจังหวะด้วยการไอของฉู่อวิ๋น
จากนั้น ฉู่อวิ๋นก็ขอให้โยวกู่จือใช้พลังจิตสร้างปราการล้อมรอบศาลา จึงรู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้าง
เพราะลานกลิ่นกำจรนั้น เป็ที่พักหลักของฉู่เจิ้นหนาน
ฉู่อวิ๋นไม่เชื่อว่าจิ้งจอกเฒ่าคนนี้จะปล่อยให้ฉู่ซินเหยาสนทนากับชายคนอื่นอย่างง่ายดายนัก
รอบด้านจะต้องมีคนแข็งแกร่งคอยสอดแนมอยู่ ย่อมต้องระวังตัว
"พี่ซินเหยา...ข้า... ข้า..."
เมื่อถึงคราวพูด ฉู่อวิ๋นดูผ่อนคลายและตื่นเต้นอยู่ในที แต่เมื่อเห็นดวงตาอันอ่อนโยนของฉู่ซินเหยาและสายลมที่พัดโชยกลิ่นหอม เขาก็รู้สึกประหม่า ละล้าละลัง และหัวใจก็เต้นแรง
สายลมพัดผ่านทำให้เกิดระลอกคลื่น และยังพัดผมสีดำสลวยของฉู่ซินเหยาให้พริ้วไสวอยู่ด้านหลังนาง
นางวางมือซ้ายบนกู่ฉินเซวียนมู่ มือขวาสางผมที่ปลิวไปตามสายลม ภายใต้แสงสะท้อนจากทะเลสาบ นางคล้ายล่องลอยอยู่ในรัศมีจางๆ และเต็มไปด้วยความบริสุทธิ์อย่างเทพธิดา
นางพยักหน้าเล็กน้อย ก้มใบหน้ารูปเมล็ดแตง[2]แสนละเอียดอ่อนลง ดวงตาของนางขยับ บางครั้งก็จ้องมองไปที่กู่ฉิน บางครั้งก็ปรายตามองไปยังชายหนุ่มที่สวมหน้ากากอยู่ตรงหน้าตนอย่างเงียบๆ
ดวงตากลมโต สดใสและอ่อนโยนคู่นั้นเต็มไปด้วยความรักใคร่ แต่พวกเขาไม่กล้าสบตากันตรงๆ หรือหลบเลี่ยงเกินไป
ยามนี้เอง ฉู่อวิ๋นตกตะลึง เขาไม่คิดเลยว่าพี่สาวของเขาจะงดงามไร้ที่ติได้ถึงเพียงนี้ นางเป็ดั่งนางฟ้า นางฟ้าที่ตกลงมายังโลกมนุษย์
ไม่แปลกใจเลยที่จะดึงดูดอัจฉริยะมากมายเช่นนั้นให้มาตามจีบ
สวยงามจริงๆ...
ความรู้สึกแปลกๆ นี้คืออะไรกัน?
“อวิ๋นเอ๋อร์... เ้ามาที่นี่ได้อย่างไร? เ้า... คงทรมานผ่านทุกข์มามากกระมัง?”
ฉู่ซินเหยาถามเบาๆ ด้วยสีหน้าเป็กังวล เพราะนางรู้ดีว่าอารมณ์ของฉู่อวิ๋นแตกต่างไปจากเดิม ไม่เหมือนเมื่อก่อน
และก็เป็เช่นนั้นจริงๆ
หลังจากเผชิญกับการประลองเซี่ยหยาง หมู่บ้านหงอู้ ป่าสีเืและเมืองชุยเสวี่ยแล้ว ฉู่อวิ๋นก็ไม่ใช่เด็กหนุ่มที่ไร้เรี่ยวแรงที่จะถือกระบี่ให้มั่นอีกแล้ว
แม้ว่าเวลาจะผ่านไปไม่ถึงสามเดือน แต่ฉู่อวิ๋นก็มือเปื้อนเื สังหารคนชั่ว ต่อสู้กับสัตว์ปีศาจ กระทั่งได้เห็นการกดขี่ข่มเหงผู้อื่นของผู้แข็งแกร่ง และได้พบกับผู้คนที่แสนชอบธรรม
เพื่อที่จะบุกเข้าเมืองชุยเสวี่ย ประสบการณ์ชีวิตและความตายที่เขาต้องเผชิญใน่เวลาอันสั้นนี้เป็สิ่งที่นักรบคนอื่นไม่อาจจินตนาการได้เลย
แต่ฉู่อวิ๋นก็ไม่อาจให้ฉู่ซินเหยารู้ได้ ไม่อยากให้นางเป็กังวล
“พี่ซินเหยา ข้าสบายดี แถมยังมีสัตว์เลี้ยงน่ารักตัวหนึ่งแล้วก็คนแก่ที่ชอบพูดพล่ามไร้สาระมาอีกคนหนึ่งด้วย”
ฉู่อวิ๋นกล่าวด้วยรอยยิ้ม รอยยิ้มของเขาบริสุทธิ์มาก
“นี่! คนแก่ที่ชอบพูดพล่ามไร้สาระนั่นหมายถึงใคร? ใครกัน?!” โยวกู่จือะโ
แต่เวลาเป็สิ่งมีค่า ฉู่อวิ๋นเมินเขา แล้วเอ่ยเสียงเบา “พี่หญิง... ท่านอยู่ที่นี่สบายดีไหม? มีใครทำร้ายท่านหรือเปล่า?”
ฉู่ซินเหยายกยิ้มอย่างขมขื่น ส่ายหน้าแล้วพูดอย่างเศร้าๆ “ทุกวันพี่แทบไม่ได้เจอหน้าใครเลย ไหนเลยจะมีคนมาทำร้ายได้?”
ในความเป็จริง ่นี้ฉู่ซินเหยามักถูกขังอยู่ในห้องมืด มองไม่เห็นดวงอาทิตย์ เมื่อรู้ข่าวว่าฉู่อวิ๋นตายแล้ว นางคล้ายใบหน้าเปื้อนน้ำตา ซีดเซียวอย่างยิ่ง
และฉู่ซินเหยาย่อมไม่มีทางบอกฉู่อวิ๋นถึงความเ็ปและความคับข้องใจนี้แน่นอน
ทั้งคู่ใส่ใจความรู้สึกของกันและกัน ไม่อยากให้อีกฝ่ายเป็กังวลเื่ของตน
หลังจากนั้น สองพี่น้องก็สื่อสารกันสักพัก ในที่สุดฉู่อวิ๋นก็เข้าประเด็น ถามฉู่ซินเหยาเกี่ยวกับแผนผังเรือนกลิ่นกำจร ด้วย้าบุกเข้าค้นที่นี่ในยามวิกาลและพานางออกไป
แต่นอกเหนือจากความเข้าใจเกี่ยวกับลักษณะเรือนนี้แล้ว นางยังไม่รู้ถึงการวางระบบป้องกันที่แน่นอน
ท้ายที่สุด ฉู่อวิ๋นก็ล้มเลิกการช่วยเหลือด้วยวิธีนั้น
“ในเมื่อบุกเข้าไปในเรือนกลิ่นกำจรไม่ได้... เช่นนั้นก็ต้องทำให้พี่หญิงออกมา” หลังจากคิดอยู่พักหนึ่ง ฉู่อวิ๋นตัดสินใจใช้กลยุทธ์อื่น
นี่คือค่ายที่พักหลักของฉู่เจิ้นหนาน ไม่สามารถโจมตีได้ หากเขาอนุญาตให้ฉู่ซินเหยาออกไปข้างนอกได้ เช่นนั้นการป้องกันก็ย่อมหละหลวมลงแน่ ถึงตอนนั้นเขาก็จะมีโอกาส!
เมื่อคิดเช่นนั้น ฉู่อวิ๋นก็พูดขึ้นมาเบาๆ “พี่หญิง ข้า้าความช่วยเหลือจากท่าน”
“พี่ควรทำอย่างไร?” ฉู่ซินเหยาถามออกมาตรงๆ นางเชื่อมั่นในตัวฉู่อวิ๋นอย่างสุดใจ
“อีกไม่กี่วัน ให้ท่านบอกกับฉู่เจิ้นหนานว่าท่านอยากเดินชมเมืองชุยเสวี่ย โดยให้คนจากตะกูลเสวี่ยร่วมทางไปด้วย”
“ด้วยวิธีนี้ จิ้งจอกเฒ่าก็จะลดความระวังลง อาจจะยอมให้ท่านออกมา จากนั้นข้าจะพาท่านไปในที่ที่ชุลมุนวุ่นวาย และนั่นจะเป็ที่หลุดพ้นของเรา!”
ฉู่อวิ๋นวิเคราะห์สถานการณ์อย่างรอบคอบ และตัดสินใจที่จะใช้กลยุทธ์เพื่อช่วยเหลือฉู่ซินเหยาแล้ว!
----------
[1] 1 เค่อเท่ากับ 15 นาที
[2] หมายถึง ฝีเท้าก้าวย่างของหญิงงาม จากบทกวี “กวนอู” ของช่งผิงจ้งแห่งราชวงศ์ซ่ง
[2] ใบหน้ารูปไข่