เย่สือชีก็อารมณ์ไม่ค่อยดีเช่นกัน แม้จะได้รับการอบรมสั่งสอนจากตระกูลมาั้แ่เยาว์วัยว่าไม่ควรที่จะมีอารมณ์เช่นนี้เกิดขึ้น แต่เขาก็ยังคงไม่ค่อยสบอารมณ์เช่นเดิม
เมื่อก่อนเขาเป็เด็กกำพร้าเร่ร่อนไปตามตรอกซอกซอย ลัดเลาะไปตามคลองระบายน้ำหลังโรงเตี๊ยมและและกองขยะเพื่อเสาะหาเศษอาหาร ตกกลางคืนอาศัยนอนตามบ้านร้างที่ถูกทิ้งและคอกหมูที่สกปรก สำหรับตระกูลเย่ที่ช่วยเหลือและประทานโอกาสให้ชีวิตใหม่แก่เขา แน่นอนว่าเขาย่อมซื่อสัตย์และจงรักภักดีอย่างที่สุด ถูกเก็บมาเลี้ยงั้แ่อายุเจ็ดปี ตระกูลอบรมเลี้ยงดูมายี่สิบปี เขาก็ทำงานรับใช้ตระกูลมาเป็เวลายี่สิบปีเช่นกัน
ครั้งนี้เขาได้รับคำสั่งให้เข้าร่วมงานประลองาระหว่างเขตปกครองของผู้มีพลังฝีมือระดับหัวกะทิ สำหรับภารกิจในครั้งนี้เขายินดีอย่างที่สุด ในที่สุดก็จะได้ฆ่าคนอีกแล้ว เป็เวลานานมากแล้วที่เขาไม่ได้ลิ้มรสเืสดๆ แต่ว่า...คำสั่งของภารกิจที่สำคัญที่สุดกลับไม่ใช่การฆ่าคน แต่เป็การคุ้มกันเด็กน้อยรูปร่างผอมแห้งที่อยู่ภายในรถม้า
สำหรับคำสั่งของตระกูลเขาย่อมไม่กล้าฝ่าฝืน และไม่คิดที่จะฝ่าฝืน แต่ตระกูลไม่ได้สั่งให้เขาต้องอารมณ์ดีมิใช่รึ? ดังนั้น อารมณ์ของเขาจึงไม่ดีขึ้นมาในทันทีทันใด
คำสั่งให้คุ้มกันนายน้อยของตระกูลไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยได้รับ สำหรับนายน้อยที่หยิ่งยโสโอหังเ่าั้เขาได้แต่หัวเราะเยาะและไม่สบอารมณ์อยู่ภายในใจเงียบๆ ภายนอกย่อมไม่ได้แสดงออกมาให้เห็น แต่ครั้งนี้เขารู้สึกคลางแคลงใจเป็อย่างมากต่อคำสั่งของตระกูล ให้เด็กที่มีอายุเพียงแค่สิบห้าสิบหกปีไปเข้าร่วมงานประลองาระหว่างเขตปกครองเนี่ยนะ? แถมพลังฝีมือยังอยู่แค่ระดับขั้นที่สองขอบเขตยอดยุทธ์? เขาได้แต่ลอบส่ายหัวอย่างอับจนปัญญา พานายน้อยคนนี้ไปเข้าร่วมงานประลองาระหว่างเขตปกครองเพื่อฝึกฝนหาประสบการณ์ ทางตระกูลไม่คิดบ้างรึว่าจะมีคนตายเพราะเขามากน้อยเท่าไร?
“สือชี!”
มองเห็นใบหน้าที่ดำคล้ำของเย่สือชี เย่สือซานชายตามองไปยังด้านหลังรถม้าครั้งหนึ่ง จากนั้นจึงพูดเตือนขึ้นมาคำหนึ่งด้วยน้ำเสียงแ่เบา
“ฮึ!”
เย่สือซานชายตามองม่านประตูครั้งหนึ่งจากนั้นกระแทกเสียงฮึออกมาพอได้ยินกันสองคน แสดงออกถึงความไม่สบอารมณ์ ดูเหมือนว่า...นายน้อยที่อยู่ภายในรถม้าจะดูท่าทางหยิ่งยโสกว่านายน้อยหลายคนก่อนๆ นั่งมาในรถเป็เวลาเดือนกว่าแล้วแต่กลับไม่พูดเล่นทักทายกับยอดฝีมืออย่างพวกเขาทั้งสองที่อยู่ในระดับขอบเขตจ้าวนักรบเลยสักคำ แม้กระทั่งลงจากรถม้าสักก้าวก็ยังไม่เคย ดูท่านายน้อยคนนี้จะโอหังยิ่งกว่าเย่ชิงขวงเสียอีก
.................................
เย่ชิงหานไม่มีกะจิตกะใจจะพูดเื่ไร้สาระ และไม่มีเวลาจะมาทำเช่นนั้นด้วย เพราะว่าตลอดหนึ่งเดือนมานี้เขาทำสิ่งซ้ำๆ เดิมๆ วนเวียนไปมาผ่านรสชาติของทั้งเ็ปและปีติสุข
เขากำลังทะลวงจุดชีพจรที่เหลือ!
ตอนที่อยู่ในเทือกเขารกร้างเขาค้นพบวิธีที่สามารถทำให้ตนเองเพิ่มระดับความเร็วในการฝึกฝนขึ้นได้อย่างน่ากลัว จากการช่วยเหลือของแหวนทองเหลือง เพียงแค่หนึ่งเดือนเขาสามารถทะลวงจุดชีพจรได้ถึงหกแห่ง บรรลุถึงระดับขั้นขอบเขตยอดยุทธ์ ต่อมาเขาก็ไม่เคยละทิ้งความพยายามในการฝึกฝนเลย!
ในที่สุดในวันที่สองที่อยูู่เาด้านหลังของตระกูล เขาก็สามารถทะลวงจุดชีพจรหลักจุดฉีม่ายได้อีกหนึ่งแห่ง พลังฝีมือเลื่อนขึ้นสู่ระดับขั้นที่สองขอบเขตยอดยุทธ์ได้สำเร็จ
ตอนนี้หนึ่งเดือนผ่านไป ความรู้สึกโศกเศร้าที่ต้องจากน้องสาวเขาเปลี่ยนมันเป็แรงกระตุ้นในการฝึกฝน ประกอบกับความน่าเบื่อหน่ายในการเดินทางยิ่งทำให้เขาจดจ่ออยู่แต่กับการฝึกฝนมากขึ้น ด้วยเหตุนี้เขาจึงฝึกฝนทั้งวันทั้งคืนโดยไม่หยุด นอกจากเวลากินเวลานอนและเล่นกับเสี่ยวเฮยแล้ว เวลาที่เหลือล้วนใช้ในการฝึกฝน
เมื่อเคยมีประสบการณ์ของความเ็ปอย่างแสนสาหัสจากการทะลวงจุดชีพจรเล็กทั้งเก้าแห่งและจุดชีพจรหลักอีกหนึ่งแห่ง บวกกับเคยได้รับาเ็หลายต่อหลายครั้งเมื่อตอนที่อยู่เทือกเขารกร้าง การฝึกฝนในตอนนี้รู้สึกว่ากลายเป็เื่ที่ง่ายดายมาก ทะลวงจุดชีพจร จุดชีพจระเิแตกออก ความเ็ปที่เกิดขึ้นในตอนนี้ไม่สามารถทำให้เขาสลบหมดสติไปเหมือนเมื่อก่อน แม้ทุกครั้งจะเ็ปจนทำให้อวัยวะทั้งห้าของเขาบิดเบี้ยว เหงื่อเย็นไหลออกมาเปียกชุ่มไปทั้งกาย แต่ตลอดทั้งเดือนมานี้เขากัดฟันอดทนไม่ร้องออกมาแม้สักครั้งเดียว ราวกับว่าความเ็ปและอาการาเ็เหล่านี้ทำให้เขามีภูมิคุ้มกันขึ้น แปรเปลี่ยนเป็เฉยชาไปเสีย
สิ้นสุดการฝึกครั้งสุดท้ายของวัน ร่างกายพลันรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมา ใบหน้าที่ไม่มีรอยยิ้มปรากฏมาหลายวันตอนนี้เริ่มปรากฏให้เห็นรอยยิ้มที่ปีติยินดีขึ้น
เขาแหวกม่านเดินออกไปพูดกับเย่สือซานกับเย่สือชีที่สีหน้าดำคล้ำเป็ประโยคแรกของเดือน “สวัสดีพี่ชายทั้งสอง ข้าน้อยเย่ชิงหาน ยังไม่ทราบชื่อเสียงเรียงนามของพี่ชายทั้งสองเลย!”
“เอ่ออ...?” เย่สือชียังคงมีสีหน้าบึ้งตึงอยู่ ทันใดนั้นม่านประตูพลันถูกเปิดออก นายน้อยที่รูปร่างซูบผอมหน้าตาหล่อเหลาเดินออกมาด้วยรอยยิ้ม แถมยังพูดทักทายขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและเกรงใจ ทำเอาทั้งสองรู้สึกแปลกประหลาดขึ้นมาจนมึนงงไปพักใหญ่
“นายน้อยหานอย่าได้ถือสา ข้าน้อยเย่สือซาน ส่วนเขาคือเย่สือชี”
เย่สือซานที่นั่งอยู่ตำแหน่งคนขับตอบสนองเร็วกว่ารีบเก็บแส้ที่อยู่ในมือลุกขึ้นประสานมือเข้าหากันพร้อมกับพูดตอบกลับมาอย่างนอบน้อม จากนั้นยื่นแขนออกไปสะกิดเย่สือชีที่อยู่ข้างๆ
“สือชีคารวะนายน้อยหาน” เย่สือชีปฏิกิริยาตอบสนองกลับคืนมาในทันที รีบประสานมือทำความเคารพตาม
เย่ชิงหานโบกมือไปมารู้สึกไม่ชินกับการปฏิบัติเช่นนี้ ยิ้มแล้วพูดขึ้น “ไม่ต้องเกรงใจและไม่ต้องเรียกข้าว่านายน้อยหานด้วยข้าไม่ชิน เรียกข้าว่าชิงหานก็พอแล้ว...อืม ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาขอบคุณพี่ชายทั้งสองที่คอยดูแล ชิงหานมัวแต่ยุ่งอยู่กับการฝึกยุทธ์จนกลายเป็ว่าเมินเฉยใส่พี่ชายทั้งสองไป”
“หามิได้ การดูแลนายน้อยเป็หน้าที่ของพวกข้าอยู่แล้ว” เย่สือซานรู้สึกได้ถึงความไม่เหมือนใครของนายน้อยหานคนนี้ พูดตอบกลับไปอย่างนอบน้อม จากนั้นจึงเอ่ยถามขึ้น “นายน้อยไม่เคยออกมาจากรถม้าเลย วันนี้มีเวลาออกมายืดเส้นยืดสาย หรือว่าพลังฝีมือบรรลุแล้ว?”
“เหอะๆ!” เย่ชิงหานเหยียดแขนยาวออกไป หลายวันที่ไม่ได้ขยับร่างกายรู้สึกเหมือนกับว่าร่างกายจะขึ้นสนิมอย่างไรอย่างนั้น สายตามองดูแสงแดดที่สาดส่องไปทั่วผืนป่า มองดูขุนเขาและลำธารที่ค่อยๆ ถอยห่างออกไปตามการหมุนของล้อรถที่เคลื่อนไปข้างหน้า ก็รู้สึกปลอดโปร่งขึ้นมา “อืม...บรรลุถึงระดับขั้นที่สามขอบเขตยอดยุทธ์แล้ว”
“ฮะ?”
เย่สือซานสีหน้าตื่นตะลึงรู้สึกสงสัยเล็กน้อย เดือนกว่าๆ ทะลวงจุดชีพจรหลักได้ทั้งหมด? แม้จุดเริ่นม่ายกับจุดตูม่ายจะอยู่ด้วยกันหรืออาจจะนับเป็เส้นเดียวกันก็ได้ แต่ความเร็วในการทะลวงจะไม่รวดเร็วจนเกินไปหน่อยหรือ? หรือว่าก่อนหน้าที่นายน้อยจะขึ้นรถม้ามาได้ทำการทะลวงไปก่อนแล้วครึ่งหนึ่ง? ภายในใจแม้จะมีคำถามมากมายแต่เย่สือซานที่อยู่ข้างๆ กลับยิ้มแล้วพูดขึ้น “ขอแสดงความยินดีกับนายน้อยด้วย”
“ขอแสดงความยินดีกับนายน้อยหานด้วย!” เย่สือชีก็พูดขึ้นเช่นกัน แต่อาการสงสัยแสดงออกมาบนใบหน้าอย่างชัดเจน
“เหอะๆ!” เย่ชิงหานโบกมือไปมาไม่สนใจต่ออาการสงสัยที่แสดงออกมาบนใบหน้าของเย่สือชี มันก็ไม่แปลกที่เย่สือชีจะเกิดความสงสัย ระยะเวลาแค่เพียงเดือนกว่าๆ กลับสามารถทะลวงจุดชีพจรหลักได้ถึงสองแห่ง เื่ราวเช่นนี้ฟังดูเลื่อนลอยจนเกินไปไม่ว่าใครก็อยากที่จะทำใจให้เชื่อได้ แต่เย่ชิงหานไม่สนใจที่จะอธิบายและไม่อยากอธิบายด้วย
ระดับขั้นที่สามขอบเขตยอดยุทธ์!
ในที่สุดก็สามารถบรรลุถึงระดับขั้นที่สามขอบเขตยอดยุทธ์! ต่อไปก็ไม่ต้องทนรับความเ็ปจากการะเิแตกออกของจุดชีพจรอีกต่อไป ภายในใจรู้สึกปลื้มปีติสุขเป็อย่างมาก
พลังฝีมือ มีเพียงการทำให้พลังฝีมือแข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่องเท่านั้นถึงจะมีโอกาสรอดชีวิตอยู่ได้ในงานประลองาระหว่างเขตปกครอง และถึงจะมีโอกาสสังหารนักรบต่างเผ่าพันธุ์ได้มากขึ้น เผ่าปีศาจ เผ่าคนเถื่อน ยิ่งสังหารได้มากยิ่งได้คะแนนสะสมมากเพื่อนำมาแลกยาิญญาเทวะ เช่นนี้ถึงจะสามารถทำให้น้องสาวที่หลับเป็เ้าหญิงนิทราตื่นขึ้นมาได้อีกครั้ง!
.................................
ยามพลบค่ำ ขบวนรถหยุดอยู่ตีนเขาแห่งหนึ่งเพื่อพักแรม รถม้าสิบคันโอบล้อมกันเป็วงกลม ผู้คนที่อยู่ในรถค่อยๆ ทยอยกันออกมา หลังจากแบ่งหน้าที่กันเรียบร้อยแล้วจึงแยกย้ายทำตามหน้าที่ของตน
หน้าที่รับผิดชอบต่างๆ มีทั้งหน่วยรับผิดชอบตั้งค่ายกระโจม หน่วยออกล่าหาอาหาร หน่วยหุงหาอาหาร หน่วยลาดตระเวน ทุกคนล้วนมีงานของตนเองที่ต้องทำ แต่ก็ดำเนินการกันอย่างเป็ขั้นเป็ตอนมีระเบียบวินัย
ส่วนเย่ชิงหานนั่งอยู่บนรถม้าเงียบๆ มีเย่สือชียืนอยู่ข้างกายด้วยอาการเฉยเมย เย่สือซานออกไปสั่งการงานให้แก่ทุกคน เย่ชิงหานมองดูทุกคนที่ยุ่งสาละวนอยู่กับงานของตนเองอย่างสนอกสนใจ เดือนกว่าๆ ที่ไม่เคยก้าวเดินออกมาจากรถม้าเลย หากมีเื่ราวสิ่งใดก็จะสั่งการผ่านทางเย่สือซานโดยตรง ครั้งนี้จึงเป็ครั้งแรกที่เห็นเื่ที่ดูคึกคักเช่นนี้
“แล้วพวกเราไม่ไปช่วยพวกเขารึ?” เย่ชิงหานรู้สึกไม่ค่อยดีจึงเอ่ยปากพูดขึ้น
“พวกเราไปช่วยจะยิ่งยุ่ง พวกเขาคงไม่กล้าให้ผู้นำขบวนอย่างท่านที่เป็ถึงนายน้อยของตระกูลไปทำงานจิปาถะพวกนั้นหรอก” เย่สือชีพูดออกมาอย่างเ็า ภายในใจยิ้มเยาะขึ้น ตอนนี้ค่อยคิดอยากจะช่วย แล้วเมื่อก่อนไปทำอะไรอยู่?
“อืม มันก็จริง!” เย่ชิงหานพูดออกมาอย่างเคอะเขิน แม้จะฟังออกว่าน้ำเสียงของเย่สือชีไม่ค่อยพอใจตนเองเท่าใดนัก แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจแต่อย่างใดเพราะั้แ่เล็กจนโตตนเองก็ไม่ได้เป็นายน้อยจริงๆ สักครั้ง อีกอย่างเขาทั้งสองที่มีพลังฝีมืออยู่ในระดับขอบเขตจ้าวนักรบถูกส่งมาให้คุ้มกันตนเองคงทำให้พวกเขารู้สึกไม่เป็ธรรมอยู่ไม่น้อย ฉะนั้นจึงควรจะเป็ตนเองที่ต้องโอนอ่อนผ่อนตาม ไม่ใช่ให้พวกเขามาโอนอ่อนผ่อนตามตนเอง
ทุกคนที่ยุ่งวุ่นวายกับงานที่อยู่ตรงหน้า มองนายน้อยที่ไม่เคยโผล่หน้าออกมาให้เห็นแม้สักครั้ง แต่วันนี้กลับปรากฏตัวขึ้นอย่างฉับพลัน ชั่วพริบตาเดียวสายตาจำนวนมากมายล้วนมองมาที่เขาอย่างอยากรู้อยากเห็นและเคารพยำเกรง เย่สือชีพูดถูกหากตนเองไปช่วยอาจจะยิ่งยุ่ง ดังนั้นจึงได้แต่นั่งถูมือไปมาดูอยู่บนรถต่อไป
“นายน้อยหาน วันนี้ท่านจะทานข้าวบนรถอีกหรือว่า?” ผ่านไปราวครึ่งชั่วโมง เย่สือซานเดินตรงกลับเข้ามาอย่างช้าๆ เอ่ยปากถามขึ้น
“ไม่ต้อง ทุกคนทานร่วมกันเถอะ” เย่ชิงหานยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนที่จะโดดลงจากรถม้า
มองเห็นเย่สือซานกับเย่สือชีเดินตรงเข้ามา ทุกคนที่นั่งล้อมรอบกองไฟอยู่ต่างรีบลุกขึ้นทำความเคารพ แต่เมื่อมองเห็นเย่ชิงหานที่อยู่ด้านหลังของทั้งสองคน สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนเป็แข็งทื่อในทันที จากนั้นทั้งหมดรีบคุกเข่าลงข้างหนึ่งแล้วพูดออกมาด้วยความเคารพ “คารวะนายน้อย!”
สองร้อยคน...ลูกผู้ชายอกสามศอกสองร้อยชีวิตร้องออกมาพร้อมกันด้วยเสียงอันดัง คิดดูว่าจะเป็อย่างไร? เย่ชิงหานเมื่อก่อนไม่รู้ แต่ตอนนี้ััได้อย่างลึกซึ้งที่สุด เขาขยี้หูไปมามีอาการไม่ค่อยคุ้นเคย จากนั้นหันไปทางเย่สือซานแล้วพูดขึ้น “สือซาน ข้าจำได้ว่าข้าเป็ผู้บังคับบัญชาของกองกำลังขนาดเล็กหน่วยนี้ใช่ไหม?”
เย่สือซานเองก็ถูกเสียงร้องที่ดังขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัวสั่นะเืจนแสบแก้วหูไปด้วยเช่นกัน แม้เขาจะไม่เข้าใจว่าเย่ชิงหานถามขึ้นมาอย่างนี้ทำไม แต่ก็ตอบออกไปตามความจริง “ถูกต้อง รวมพวกข้าสองคนด้วย ทั้งหมดสองร้อยสองคนล้วนฟังคำสั่งจากนายน้อยหาน!”
“อย่างนั้นก็ดี!” เย่ชิงหานพยักหน้าแสดงการตอบรับ จากนั้นหันหน้ากลับมาพูดกับกองกำลังขนาดเล็กทั้งสองร้อยคนที่กำลังคุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยสีหน้าจริงจัง “ทุกคนฟังให้ดี ต่อไปหากเห็นข้าห้ามคุกเข่าโดยเด็ดขาด และห้ามทำความเคารพ ขอเพียงไม่ใช่เวลาสู้รบห้ามมิให้เคร่งครัดจนเกินไป ข้าไม่ชอบ นี่คือ...คำสั่ง!”