เจิ้งเทียนิโกรธจนไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไรดี “…แม่คุณ ไม่ใช่คนนอกก็เลยกล้าถอดเหรอ? งั้นพี่ชายแกแท้ๆ อย่างฉัน แกก็กล้าถอดเสื้อผ้าฉันใช่ไหม?”
เจิ้งหยวนนิ่งคิดตาม ก็ใช่ว่าจะไม่ได้นะ เนื้อแท้เธอเป็หญิงวัยกลางคนค่อนสูงวัย อายุอานามห้าสิบกว่าปีแล้ว ไม่ถือสาที่จะเชยชมกล้ามเนื้อของหนุ่มน้อยหรอก พี่ชายเธอมีร่างกายแข็งแรงกำยำจากการทำงานหนักนานหลายปี ทั้งไหล่กว้าง เอวสอบ และขายาว ควรค่าแก่การชื่นชมอย่างยิ่ง
เจิ้งเทียนิหรี่ั์ตาลง “แกคิดอะไรอยู่?”
เจิ้งหยวนเก็บรอยยิ้มทะเล้นในเสี้ยววินาทีและเอ่ยเสียงหนักแน่นจริงใจ “ฉันผิดไปแล้วพี่ จริงๆ นะ ฉันผิดไปแล้ว” และพยายามทำท่าขอโทษขอโพยเต็มที่
เจิ้งเทียนิเหนื่อยใจเหลือเกิน
เมื่อเฝิงิเยว่รู้ว่าน้องสามีตนเองทำอะไรลงไปก็ใจนหุบปากแทบไม่ลง อึกๆ อักๆ อยู่หลายครั้ง อยากจะสอนน้องสามีว่าอะไรคือความแตกต่างระหว่างชายหญิง [1] อะไรเรียกความละอายในจิตใจ
ครั้นผ่านไปวันหนึ่ง เื่ราวของเจิ้งเทียนหู่ไม่ต่างอะไรจากเชื้อไวรัสที่แพร่ระบาดเป็วงกว้างจนทุกคนในกองหยางหลิวติดเชื้อ และมีแนวโน้มจะลุกลามไปข้างนอกด้วย เจิ้งเทียนหู่ก็โด่งดังถึงขีดสุดเพราะเหตุการณ์อันเลื่องชื่อนี้ ความจริงไม่ใช่ทุกคนที่เชื่อว่าเป็ผีสาวตามหาสามีหรอก ยังมีคนที่ตระหนักรู้อีกกลุ่มใหญ่เดาว่าเจิ้งเทียนหู่อาจเหยียบตาปลาของใครบางคนเข้า แต่ข่าวลือเกี่ยวกับบุญคุณความแค้นสนุกสนานเฮฮาย่อมสู้เื่แปลกประหลาดอย่างผีสาวหาสามีไม่ได้ คนเราซุบซิบนินทากันบางทีไม่ใช่เพราะมันเป็ความจริงหรอก หากแต่ว่ามักเป็เื่ราวน่าสนใจ สดใหม่ และพิลึกพิลั่นมากต่างหาก
และเพราะผีสาวมีเื้ัชีวิตที่อิหลุกขลุกขลักไม่ธรรมดา ทำให้เื่เล่ามีสีสันและพิสดารยิ่งกว่าเดิม พอลือกันปากต่อปาก จุดไม่สมเหตุสมผลของเหตุการณ์นี้ก็โดนคนบอกต่อกลบเกลื่อนเหมือนการนำก้อนหินที่มีเหลี่ยมมุมมากลิ้งบนพื้นจนกลมมนราบรื่น ฉะนั้น เื่ราวเลยกลายเป็ตำนานที่มีความเป็มาสมจริงสมจัง ถึงขั้นที่เอ่ยถึงชื่อเจิ้งเทียนหู่ในอนาคตแล้วคนไม่รู้ว่าเป็ใคร แต่เมื่อเรียกว่าเ้าบ่าวผี ทุกคนจะรู้ทันทีว่าคนไหน
แน่นอน เื่ราวพวกนี้คือสภาพการณ์ที่จะเกิดขึ้นในภายหลัง ตอนนี้ข่าวเพิ่งแพร่ออกไป ทุกคนพูดต่อกันอย่างกับเห่อของใหม่ เลยคุยกันแทบทุกประเด็น
สตรีคนหนึ่งที่เคยเห็นร่างเปลือยของเจิ้งเทียนหู่ และแต่งงานแล้วไม่ติดข้อจำกัดอะไร เธอเอ่ยติดตลกว่า “กล่องดวงใจของเจิ้งเทียนหู่ก็ไม่ใหญ่เท่าไรนะ ทำไมผีสาวถึงเอาเขาเป็เ้าบ่าวล่ะ?”
มีคนหนึ่งพูดขึ้น “พวกเธอไม่รู้อะไร ฉันได้ยินว่าตอนไปเจอเข้า ตามตัวเจิ้งเทียนหู่มีแต่รอยฟกช้ำ แถมยังมีรอยข่วนของผู้หญิง ท่าทางจะร้อนแรงกันน่าดูเลยละ”
คนที่เข้าใจต่างปิดปากหัวเราะ พร้อมกับส่งสายตาเป็นัยให้แก่กันและกัน เป็อันว่ามองตาก็รู้ว่าคิดตรงกัน
ก่อนที่จะมีคนพูดขึ้นมาอีกว่า “เจิ้งเทียนหู่เป็เ้าบ่าวของผีสาวแล้ว หลังจากนี้คงไม่มีลูกสาวบ้านไหนยอมแต่งกับเขา แล้วแย่งผู้ชายกับผีสาวหรอก”
สรุปคือพูดกันไปทุกเื่ และไม่มีอันไหนน่าฟังสักอย่าง
ป้าสะใภ้ใหญ่เจิ้งห่วงร่างกายลูกชาย เลยไม่ได้ออกจากบ้าน ส่วนคุณลุงใหญ่เจิ้งกลัวขายหน้าเกินกว่าจะออกไปข้างนอก พวกเขาจึงยังไม่รู้ว่าข้างนอกลือกันไปอย่างไรบ้างชั่วขณะ หากรู้เข้า ต้องโกรธจนะเิแทบลงแน่นอน และนิสัยอย่างป้าสะใภ้ใหญ่คงได้ไปยืนเท้าเอวด่าที่หน้าประตูบ้านคนปล่อยข่าวลือจนสิ้นลูกสิ้นหลาน
เมื่อป้าสะใภ้ใหญ่เจิ้งใจเย็นลง เธอคิดอย่างไรก็รู้สึกว่าเื่นี้ผิดปกติและเริ่มสงสัยว่ามีผีสาวก่อเหตุจริงๆ หรือ เป็ไปได้ไหมว่าใครบางคนไม่ชอบขี้หน้าครอบครัวเธอเลยจงใจจัดการลูกชายเธอ?
ยิ่งคิดก็ยิ่งใช่! เธอเลยไปปรึกษาลุงใหญ่เจิ้งด้วย ลุงใหญ่เจิ้งได้ยินการวิเคราะห์ของป้าสะใภ้ใหญ่ก็ไม่เห็นด้วยหรือคัดค้าน เพียงแต่ถามทิ้งท้ายว่า “งั้นเขาไปล่วงเกินใครล่ะ?”
ป้าสะใภ้ใหญ่เจิ้งจะรู้ได้อย่างไร จึงทำได้แค่รอเ้าตัวตื่นมาตอบ
หลังจากนั้นไม่นาน เจิ้งเทียนหู่ก็ตื่นขึ้น อันที่จริงจะเรียกว่าตื่นก็คงไม่เต็มปากนัก แค่ดวงตาไม่แข็งทื่อแบบเดิม มีการตอบสนองและพอพูดได้แล้ว ซึ่งประโยคแรกคือการะโโหวกเหวกโวยวายเนื้อตัวสั่นเทา “มีผี! มีผี!”
พอเห็นป้าสะใภ้ใหญ่ เจิ้งเทียนหู่ก็รุดจับแขนแม่ของเขาหมับ “แม่ มีผี มีผี!มีผีสาว!” แล้วเริ่มร้องไห้ยกใหญ่ พลางะโลั่น “ปล่อยฉันไปเถอะ ปล่อยฉัน ปล่อยฉันไป ขอร้องละ…”
ป้าสะใภ้ใหญ่เจิ้งรีบโอบลูกชายมาตบไหล่เบาๆ “หู่จื่อ หู่จื่อของแม่…ไม่มีผีแล้ว ลูกแม่ ไม่มีผีแล้วนะ ลูกอยู่บ้านแล้ว” ด้วยกลัวเจิ้งเทียนหู่ไม่ได้ยิน เลยตะเบ็งเสียงพูดย้ำอีกรอบ “ลูกอยู่บ้านแล้ว!”
จนสุดท้ายก็ปลอบเจิ้งเทียนหู่ลงได้ เขาตัวสั่นเทาหลบอยู่ในอ้อมแขนของป้าสะใภ้ใหญ่เจิ้งแล้วแอบเปิดตามองไปรอบๆ ข้างนอกสว่างโล่งโจ้ง ห้องก็คุ้นตา พอตระหนักได้ว่าเป็บ้านของเขาเอง เขาถึงวางใจ ค่อยๆ ปล่อยแม่ตัวเอง
ป้าสะใภ้ใหญ่เจิ้งกับเจิ้งเทียนหู่สบสายตากัน
เขาดูเหมือนหลอนกับของสกปรกดำมืดบางอย่าง หรือจะมีผีสาวเป็ต้นเหตุจริงๆ ?
“หู่จื่อ ลูกเห็นผีจริงเหรอ?” ป้าสะใภ้ใหญ่เจิ้งยังคงไม่เชื่อ “ลูกล่วงเกินใครบางคนเข้าหรือเปล่า เลยมีคนปลอมเป็ผีหลอกลูก?”
เจิ้งเทียนหู่ไม่ตอบรับ เขาปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง
“หู่จื่อ? หู่จื่อ?” ป้าสะใภ้พยายามเรียกลูกชายตน แต่เจิ้งเทียนหู่ไม่ตอบสนองสักนิด
ป้าสะใภ้ใหญ่เจิ้งพลันเครียดขึ้น เธอกลัวลูกชายจะเป็ลมอีกเลยยื่นมือไปอังหน้าผากลูกด้วยความกังวล โชคดีที่ไข้ลงลดแล้ว “ให้ตามเฝิงชางหย่งมาตรวจดูอีกทีดีไหม?” เธอกล่าว
ลุงใหญ่เจิ้งที่สูบยาเส้นอยู่เอ่ยตอบ “ตามหาอะไร ไม่ต้อง ตอนเย็นค่อยว่ากัน บางทีเขาอาจจะแค่หลับไป”
แม้ป้าสะใภ้ใหญ่เจิ้งจะไม่เต็มใจอยู่บ้าง แต่เมื่อสามีหันหลังเดินจากไปไม่อยากเสวนากับเธอต่อ เธอเลยจำต้องอดทนไว้
ความจริงเจิ้งเทียนหู่แค่เหนื่อยเท่านั้น เดิมทีเขาไม่ใช่คนมีกำลังวังชาอยู่แล้ว พอมาร้องโวยวายอีกยกใหญ่ และเมื่อรู้ว่าตนเองปลอดภัยแล้ว เส้นประสาทที่แข็งตึงจึงผ่อนคลายลงฉับพลัน ก็เลยผล็อยหลับไป จนกระทั่งตกเย็นเขาถึงคืนสติในที่สุด
ป้าสะใภ้ใหญ่เจิ้งยกยาเข้ามาให้เจิ้งเทียนหู่ดื่ม
เจิ้งเทียนหู่ยันแขนลุกขึ้นนั่งและดื่มอย่างว่าง่าย
ถึงกระนั้น ป้าสะใภ้ใหญ่เจิ้งก็ไม่ออกไป เธอยืนดูเจิ้งเทียนหู่ดื่มยาอยู่ข้างๆ หลังเขาดื่มเสร็จ และสังเกตสีหน้าของเขาจนแน่ใจแล้วว่าเขาอาการดีขึ้นมาก ไม่คลุ้มคลั่งะโร้องว่าเจอผีอีกต่อไป ป้าสะใภ้ใหญ่จึงค่อยถอนหายใจอย่างโล่งอก
เธอวางชามลงบนโต๊ะอีกฟาก ก่อนทรุดตัวนั่งตรงขอบเตียง “หู่จื่อ ลูกบอกแม่มาเถอะ ลูกล่วงเกินใครเข้าใช่ไหม เขาเลยจงใจแต่งผีหลอกลูก?”
“แต่งผีหลอกผมบ้าอะไร! ผมเห็นผีจริงๆ !” เจิ้งเทียนหู่ไม่พอใจ หากเป็ผีปลอมเขาจะมองไม่ออกเลยหรือ? เขาไม่ได้ตาบอดและไม่ได้โง่ด้วย! ตอนนี้แค่นึกถึงฉากนั้นเขายังไม่กล้าเลย เมื่อคิดถึงผีสาวเขาก็พลันหวาดผวา ขนทั้งตัวลุกชันขึ้น กำหมอนแน่นขณะที่ตัวสั่นระริก หน้าตาแตกตื่น “แม่ แม่รู้ไหม ใต้เท้าเธอมีหมอกอยู่ แล้วเธอก็ลอยเข้ามาช้าๆ ทั้งอย่างนั้น เธอไม่ได้ขยับปากด้วยซ้ำ แต่ผมดันได้ยินเสียงเธอ แม่เข้าใจไหม ผมได้ยินเสียงของเธอ!”
เชิงอรรถ
[1] ความแตกต่างระหว่างชายหญิง หมายถึง คำสอนของขงจื๊อที่ว่า “ชายหญิงล้วนแตกต่างกัน” ซึ่งคอยย้ำบทบาทที่ไม่เหมือนกันของทั้งสองเพศ ไม่ว่าจะทั้งหน้าที่และสถานะ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้