หลังได้พบกับพ่อของลั่วเสี่ยวซี สิ่งที่ชายสูงวันพูดออกมานั้นเป็ไปตามที่ซูอี้เฉิงคาดการณ์ไว้ทุกอย่าง
“เสี่ยวซีชอบเราก็จริง แต่พวกลูกไม่เหมาะสมกัน ฉินเว่ยเป็ตัวเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้ อาอยากให้เสี่ยวซีกับเขาแต่งงานกัน ทั้งสองคนนิสัยเข้ากันได้ อาเชื่อว่าฉินเว่ยจะดูแลเสี่ยวซีเป็อย่างดี”
ประธานลั่วคิดเอาไว้เสร็จสรรพอย่างคนที่เคยอาบน้ำร้อนมาก่อน เขาจัดการวางแผนชีวิตให้ลูกสาวของตนแล้วเรียบร้อย
จะให้ฉินเว่ยแต่งงานกับลั่วเสี่ยวซี ให้ฉินเว่ยเป็คนดูแลลั่วเสี่ยวซีอย่างนั้นเหรอ?
ตอนที่เขายกเจี่ยนอันให้แต่งงานกับลู่เป๋าเหยียน เขารู้สึกราวกับมีใครมาควักเนื้อของเขาไป เขานึกว่าตอนนั้นจะเป็ตอนที่เขาเจ็บที่สุด ทว่าตอนนี้หัวใจของเขาปวดร้าวราวกับมีใครเอามีดมาแทง
ความเ็ปนั้นเขายังพอรับไหว แต่เื่นี้เขาจะยอมไม่ได้
ไม่มีทาง เขาไม่มีทางยอมเด็ดขาด!
เสียงที่เต็มไปด้วยโทสะดังขึ้นในใจแบบที่ไม่เคยเป็มาก่อน ให้ตายเขาไม่มีทางปล่อยให้ลั่วเสี่ยวซีคบกับฉินเว่ย!
“คุณอาลั่ว เื่นี้ผมไม่เห็นด้วย เสี่ยวซีก็คงเช่นเดียวกัน” เขามองผู้าุโกว่าตรงหน้า แววตาและน้ำเสียงดูหนักแน่น “ผม้าคบกับเสี่ยวซี ต่อให้เป็คุณอาก็คงห้ามไม่ได้”
“อาไม่ห้ามพวกเราหรอก” ประธานลั่วยิ้ม “วัยรุ่นก็แบบนี้ อยากมีความรักที่ตัวเองเลือกเอง ไม่เหมือนสมัยอาที่จับคลุมถุงชนกันเป็ว่าเล่น อาเข้าใจ แต่พวกเราคงคบกันไม่ยืดแน่ๆ ต่อให้คบกันก็ไม่มีทางไปกันได้ตลอดรอดฝั่ง อี้เฉิง สุดท้ายแล้วคนที่เสี่ยวซีจะแต่งงานด้วย ยังไงก็เป็ฉินเว่ย”
ซูอี้เฉิงแค่นยิ้มตอบก่อนจะลุกขึ้น
“ไม่หรอกครับ ถ้าเป็ผมไม่ได้ ก็ไม่มีทางเป็ฉินเว่ย คุณอาลั่ว ที่ผม้าจะบอกคุณอามีเพียงเท่านี้ ผมขอตัวก่อนนะครับ ผู้ช่วยของผมจะจัดการเื่ค่าใช้จ่ายทุกอย่างเอง เชิญตามสบายนะครับ”
เขาเดินออกจากร้านอาหาร เสี่ยวเฉินจึงเอ่ยปากถาม
“ผอ.ซูจะไปหาคุณหนูลั่วไหมครับ”
เดิมทีซูอี้เฉิงตั้งใจว่าอย่างนั้น แต่คำพูดของประธานลั่วทำให้เขาอารมณ์ไม่ดี เขาขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิดก่อนตอบ
“กลับบ้านก่อน”
ในขณะเดียวกัน ทางด้านลั่วเสี่ยวซีก็โทรหาเอด้าเพื่อถามว่าวันนี้อารมณ์ของซูอี้เฉิงเป็อย่างไรบ้าง
“ดูไม่ค่อยดีเลยค่ะ” เอด้าตอบ “ดิฉันบอกเื่ที่คุณมาหาผอ.ซูเมื่อวันก่อน แต่เขาก็ดูนิ่งเฉย คุณหนูลั่วคะ พวกคุณทะเลาะกันงั้นหรือคะ”
ลั่วเสี่ยวซีรู้สึกผิดหวังจึงตอบเอด้าไปไม่กี่คำก่อนวางสาย เธอมองเบอร์โทรศัพท์ของซูอี้เฉิง ใจคิดอยากจะโทรหาเขาเป็ล้านรอบแต่ก็ต้องล้มเลิกความตั้งใจ
วันนี้ไม่ได้ รอให้ผ่านไปอีกไม่กี่วันก่อนดีกว่า ซูอี้เฉิงงานยุ่งขนาดนั้น คงไม่มานั่งคิดเื่นี้ทุกวันหรอกมั้ง? สักวันเขาก็คงหายโกรธไปเอง
ลั่วเสี่ยวซีคิดเช่นนั้นโดยไม่รู้เลยว่า ตอนนี้ซูอี้เฉิงกำลังนอนไม่หลับอยู่บนเตียง
“พวกลูกไม่เหมาะสมกัน ต่อให้คบกันก็ไม่มีทางไปกันได้ตลอดรอดฝั่ง”
คำพูดของฉินเว่ยและพ่อของลั่วเสี่ยวซีดังขึ้นในสมองของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมื่อลองคิดตาม สิ่งที่พวกเขาพูดมาก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล ถ้าเขากับลั่วเสี่ยวซีคบกันมีแนวโน้มจะจบกันไม่สวยสักเท่าไร คนสองคนที่ถนัดแต่เื่ทะเลาะ ไม่ยอมปรับตัวเข้าหากัน แล้วจะคบกันยืนยาวได้อย่างไร? ต่อให้รักกันก็ตาม คบกันไปก็คงเหนื่อยทั้งคู่
ว่าแต่...ยืนยาวอย่างนั้นเหรอ...?
เขาใในความคิดของตัวเอง นี่เขาคิดว่าจะคบกับลั่วเสี่ยวซีไปตลอดั้แ่เมื่อไร? ทั้งที่ตอนแรกเขากะแค่จะลองคบกับเธอดูเท่านั้น
ยิ่งคิดก็ยิ่งสับสน ซูอี้เฉิงจึงลุกขึ้นมาเปิดลิ้นชักตรงหัวเตียง ก่อนจะกลืนยานอนหลับเข้าไปสองเม็ด ความง่วงงุนเริ่มเข้าครอบงำ ในที่สุดเขาก็เข้าสู่นิทรา
วันต่อมา
ZuiShiShang ฉบับล่าสุดได้วางแผงอย่างเป็ทางการ
ZuiShishang เป็นิตยสารแฟชั่นที่ขายดีที่สุดในประเทศ บรรณาธิการของนิตยสารฉบับนี้เป็เซเลบชื่อดังของวงการแฟชั่น กลุ่มผู้อ่านมีั้แ่พนักงานออฟฟิศมือใหม่ CEO ระดับสูง ไปจนถึงสาวไฮโซทั้งหลาย หญิงสาวที่สนใจในแฟชั่นจำนวนนับไม่ถ้วนต่างก็เป็แฟนตัวยงของนิตยสารฉบับนี้ เมื่อภาพของลั่วเสี่ยวซีออกสู่สายตาประชาชน ผลตอบรับที่ได้เกินความคาดหมาย จนนิตยสารขายดีเป็เทน้ำเทท่า
ภาพเซตแรกคือชุดเดรสยาวคลุมเข่าสีแดงสด ดีไซน์รับกับรูปร่างอันโดดเด่นของลั่วเสี่ยวซีเป็อย่างดี เผยให้เห็นเรียวขางามสะกดสายตา แต่เมื่อเทียบกับรูปร่างหน้าตาแล้ว สิ่งที่ดึงดูดคนอ่านมากกว่าคือบรรยากาศรอบกายอันเป็เอกลักษณ์ของเธอ
สีแดงสดโทนนี้หลายคอาจจะเคยใส่ แต่การจะใส่ให้ดูดีมีระดับนั้นยากมาก สีแดงที่ทั้งร้อนแรง เถรตรง และเปิดเผย สิ่งเหล่านี้สะท้อนออกมาจากสายตาและท่าทางของลั่วเสี่ยวซีได้อย่างลงตัว ทำให้สีแดงของชุดไม่ได้กลบความโดดเด่นในตัวเธอสักนิด ในทางกลับกันมันกลายเป็สิ่งที่ช่วยขับให้ผู้ที่สวมใส่อยู่นั้นดูงามจับตายิ่งกว่าเดิม
บทความแฟชั่นมากมายชอบเน้นย้ำว่า คนเป็คนสวมเสื้อผ้า ไม่ใช่เสื้อผ้าสวมใส่คน อย่าปล่อยให้เสื้อผ้ามากลบทับความเป็ตัวของตัวเอง ลั่วเสี่ยวซีในชุดนี้สามารถอธิบายคำข้างต้นได้อย่างชัดเจน
แต่ถ้าคุณคิดว่าเพียงแค่นี้ก็จะกำหนดความเป็เอกลักษณ์ของลั่วเสี่ยวซีได้แล้วล่ะก็ คุณคิดผิด
เมื่อเปิดนิตยสารหน้าถัดไป สไตล์ของเธอเปลี่ยนเป็สาวออฟฟิศในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาว กระโปรงทรงกระสอบ และกระเป๋าหนังสีดำ เครื่องแต่งกายที่ไม่ได้แปลกตาอะไรแต่กลับสะกดทุกสายตาเอาไว้ได้ รอยยิ้มบนใบหน้าของลั่วเสี่ยวซีแปรเปลี่ยนเป็รอยยิ้มของหญิงสาวผู้มาดมั่น และเมื่อเปิดต่อไป เธอก็กลายร่างเป็สาวน้อยผู้สง่างามแสนหวาน แตกต่างจากหญิงสาวในชุดเดรสสีแดงอันร้อนแรงเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิง ทว่าไม่ได้ดูฝืนหรือไม่เป็ธรรมชาติแต่อย่างใด
ด้วยเหตุนี้ รูปภาพทั้งสามเซตที่ถูกแชร์ในเวยป๋อจึงได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ว่าคนคนเดียวกันแท้ๆ แต่กลับสื่อสารนิสัยและสไตล์ออกมาได้ถึงสามรูปแบบ!
ฉะนั้น นิตยสารปักษ์นี้จึงขายดิบขายดีจนแทบตีพิมพ์ไม่ทัน
ที่ด้านนอกออฟฟิศของผู้อำนวยการเครือเฉิงอันในขณะนี้ บรรดาเลขาของซูอี้เฉิงต่างยืนมุงดูนิตยสารเล่มดังกล่าว
เอด้าอดอุทานออกมาไม่ได้ “คุณหนูลั่วไปเป็นางแบบแล้วจริงด้วย แถมยังได้เป็นางแบบของ ZuiShiShang อีกต่างหาก! ว่าแต่...เมื่อก่อนพวกเราไม่เคยเห็นเธอแต่งตัวหลากสไตล์แบบนี้เลยนี่นา”
“เขาเรียกว่าพร์!” เลขาอีกคนกล่าว “ก็เหมือนดาราบางคนที่เล่นได้แค่บทหญิงสาวอาภัพ ในขณะที่ดาราอีกคนสามารถเล่นได้ั้แ่นักเรียนม.ปลาย พนักงานออฟฟิศ ยันลูกสาวชาวไร่นั่นแหละ คุณหนูลั่วของพวกเราเป็แบบหลัง เธอมีความสามารถที่จะสื่อสารทุกอย่างออกมาได้ดี ไม่ว่าจะถ่ายแบบสไตล์ไหนก็ไม่ทำให้คนดูรู้สึกอึดอัดหรือเสแสร้ง ทุกอย่างดูเป็ธรรมชาติไปหมด”
“อื้อ ฉันได้ยินมาว่าคุณหนูลั่วได้ผู้จัดการมือทองที่เก่งที่สุดของ Lu Media มาช่วยซัปพอร์ตเลยนะ คราวนี้แหละเธอต้องดังแน่ๆ! พวกเราควรขอลายเซ็นเธอไว้ก่อนเลยดีไหม?”
…
“ขอดูนิตยสารหน่อยสิ”
เสียงของชายหนุ่มที่พวกเลขาต่างคุ้นเคยกันดีดังขึ้น ทุกคนนิ่งอึ้งกันไปหมด ก่อนจะหันหลังกลับไปมอง
“ผอ.ซู!” พระเ้า...นี่เขามาอยู่ข้างหลังพวกเธอั้แ่เมื่อไร
“ยังไม่ถึงเวลาทำงานของ่บ่าย พวกคุณคุยกันได้ตามสบาย ไม่ต้องเกร็ง” ซูอี้เฉิงยื่นมือออกไป “ขอผมยืมนิตยสารหน่อยได้ไหม”
“ได้สิคะ!” เอด้าใช้สองมือประคองนิตยสารยื่นให้เ้านาย
“ขอบคุณ”
ซูอี้เฉิงเดินถือนิตยสารเข้าห้องทำงานไป เขานั่งลงก่อนจะเปิดมันออกมา เมื่อเห็นภาพของลั่วเสี่ยวซี เขารู้สึกทั้งคุ้นเคยและแปลกหน้าในเวลาเดียวกัน
เวลาลั่วเสี่ยวซีตามตื๊อเขา เธอมักจะยิ้มร่าอย่างไม่คิดอะไร บางครั้งก็ชอบทำตัวเซ็กซี่ยั่วยวนเขาอย่างจงใจ แต่นั่นเป็แค่การล้อเล่น นิสัยจริงๆ ของเธอไม่ใช่คนแบบนั้น
ตอนนี้ภาพของเธอปรากฏอยู่บนนิตยสารที่ขายดีที่สุดของประเทศ ความสวยและสไตล์ที่หลากหลายทำให้คนมองไม่อาจละสายตา เธอไม่ได้มองมาทางเขาอย่างเพ้อฝันอีกต่อไป แววตาของเธอสะท้อนเพียงความเป็ตัวของตัวเอง
เมื่อคืนหลังได้ยินคำพูดของประธานลั่ว เดิมทีเขากะจะรอให้ผ่านไปอีกสักระยะ ให้ตัวเองได้คิดให้ดีกว่านี้ แต่ตอนนี้สัญชาตญาณร้องเตือนเขาว่า เขาไม่อาจรอได้อีกแล้ว
“เอด้า” เขากดต่อสายภายใน “คืนนี้ฉันมีตารางอะไรหรือเปล่า”
“มีค่ะ” เอด้าตอบ “คุณมีนัดกับคุณถังผอ.ของโหยว่หยิ่น เจรจาเื่ที่จะร่วมทุนกันน่ะค่ะ”
“ย้ายตารางเป็วันพรุ่งนี้”
“แต่ผอ.คะ ตารางของพรุ่งนี้เต็มแล้วนะคะ...” เอด้ารู้สึกว่า่นี้ซูอี้เฉิงดูแปลกไป เมื่อก่อนเขามักจะทำงานตามตารางทั้งหมดของทุกวันราวกับคนบ้างาน แต่่นี้กลับสั่งให้ย้ายตารางไปมา เลขาอย่างเธอจึงทำงานได้ไม่ง่ายเลย
“งั้นก็เปลี่ยนเป็มะรืนนี้” ซูอี้เฉิงเอ่ย “เอาเป็ว่าคืนนี้ไม่ได้ ฉันมีธุระ”
“ค่ะ ดิฉันจะแจ้งกับทางเลขาของผอ.ถังให้นะคะ”
หลังวางสายซูอี้เฉิงก็มองภาพของลั่วเสี่ยวซีในนิตยสารอีกครั้ง เขายิ้มมุมปากก่อนจะลงมือจัดการงานตรงหน้า
ขณะที่ง่วนอยู่กับงาน ความคิดของเขาก็เริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
เขาไม่ได้แค่อยากจะลองคบเธอ แต่เขาอยากจะคบกับเธอจริงๆ จังๆ และหากเป็ไปได้ เขาไม่ได้รังเกียจที่จะต้องแต่งงานกับเธอแม้แต่น้อย
ลั่วเสี่ยวซีบอกว่าเขาแค่สงสารเธอ ที่จริงแล้วไม่ใช่สักนิด เขาจริงจังกับเื่นี้มาก ถ้าไม่อย่างนั้นตอนที่ฉินเว่ยพูดว่าจะแต่งงานกับเธอ เขาคงไม่รู้สึกอยากจะเข้าไปชกหน้าเอีกสักรอบ ทั้งๆ ที่ยืนอยู่ริมถนนที่ญี่ปุ่นแบบนั้น เมื่อวานหลังได้ยินคำพูดของประธานลั่วพ่อของเธอ เขาก็คงไม่เสียมารยาทถึงขนาดพูดออกไปว่า ถ้าสามีในอนาคตของเธอไม่ใช่เขา ก็ไม่มีทางเป็ฉินเว่ย
เขาไม่เคยทำร้ายใครก่อน แต่ลั่วเสี่ยวซีเป็คนแรกที่ทำให้เขาทำมันลงไป
แล้วลั่วเสี่ยวซียังมาบอกว่าเขาไม่จริงจังอีกอย่างนั้นเหรอ?
ห้าโมงตรง ซูอี้เฉิงเซ็นเอกสารชุดสุดท้ายเสร็จเรียบร้อย เขาวางปากกาหมึกซึมในมือ ในที่สุดงานของวันนี้ก็จบลง
เขาลุกขึ้นติดกระดุมเสื้อสูท ขณะที่กำลังจะออกจากห้องทำงาน จู่ๆ เสี่ยวเฉินก็วิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน
ทำงานด้วยกันมาตั้งหลายปี เสี่ยวเฉินเป็ผู้ช่วยที่สงบเยือกเย็นที่สุด น้อยครั้งที่เขาจะทำสีหน้าแบบนี้ ซูอี้เฉิงเริ่มรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี
“เกิดเื่อะไร”
“เื่ใหญ่แล้วครับ” เสี่ยวเฉินพูดพลางหอบหายใจ “ผอ.ซูครับ เครือฉินได้เซ็นสัญญากับทางญี่ปุ่นแล้วครับ ที่สำคัญกว่านั้น แผนงานที่ทางนั้นเสนอให้กับทางญี่ปุ่นเหมือนกับของพวกเราทุกอย่าง ไม่ต่างกันแม้แต่ตัวอักษรเดียว”
ซูอี้เฉิงนึกไปถึงวันนั้นที่เขาพบกับฉินเว่ยที่ริมถนน รอยยิ้มของเขาดูมั่นใจในอะไรบางอย่าง
ที่แท้ เขาวางแผนเอาไว้แล้วสินะ
ซูอี้เฉิงเดินกลับไปที่โต๊ะทำงาน สีหน้าของเขาในยามนี้เย็นเยียบอย่างน่าหวั่นใจ
“สืบได้หรือยังว่าเป็แบบนี้ได้ยังไง”
“ผมกำลังสืบอยู่ครับ” เสี่ยวเฉินตอบ “แต่เื่นี้ไม่ได้เห็นกันชัดๆ อยู่แล้วเหรอครับ?”
“นายจะบอกว่ามีหนอนบ่อนไส้เปิดเผยข้อมูลของพวกเราสินะ” ซูอี้เฉิงเอ่ยเสียงเย็นกว่าเดิม
“ผอ.ครับ...” เสี่ยวเฉินลดเสียงเบาก่อนเอ่ย “คนที่มีส่วนร่วมกับแผนงานครั้งนี้คุณเป็คนเลือกเองกับมือ หลายคนในนั้นก็อยู่ด้วยกันมาั้แ่สมัยเพิ่งก่อตั้งบริษัท ทุกคนจงรักภักดีกับเครือเฉิงอันอย่างไม่ต้องสงสัย เพื่อจะได้อยู่ที่นี่ต่อ จางเหมยถึงกับยอมรับคำนินทา ทนอยู่ที่ฝ่ายการตลาด แล้วคุณจะไปสงสัยพวกเขาได้ยังไง”
สายตาคมดังเหยี่ยวของซูอี้เฉิงมองจ้องเสี่ยวเฉิน
“นายอยากจะพูดอะไร”
“ผมแค่อยากจะเตือนว่า คนที่รู้เนื้อหาของแผนงานยังมีคุณหนูลั่วอยู่อีกคน” เสี่ยวเฉินพูดพลางหลับตาปี๋ เขาโพล่งออกไปจนได้ “แถมผมยังได้ยินมาว่า ตระกูลฉินกับตระกูลลั่วกำลังจะเกี่ยวดองกัน คุณหนูลั่วกับฉินเว่ยเองก็สนิทสนมกันมาก ผมสืบมาแล้วครับว่า วันรุ่งขึ้นหลังจากที่คุณหนูลั่วมาช่วยแปลเอกสาร เธอไปถ่ายแบบให้กับ ZuiShiShang ก็จริง แต่่กลางคืน...เธออยู่กับฉินเว่ยทั้งคืนเลยนะครับ”
“พอแล้ว!” ซูอี้เฉิงตะคอกอย่างคุมอารมณ์ไว้ไม่อยู่ “ออกไป!”
เสี่ยวเฉินไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาออกไปจากห้องของซูอี้เฉิงอย่างเงียบๆ
ซูอี้เฉิงปัดโทรศัพท์บนโต๊ะทำงานอย่างแรงด้วยบันดาลโทสะ จนมันตกลงบนพื้นแตกเป็เสี่ยงๆ
