มู่อวิ๋นจิ่นก้าวช้าลงหรี่ตาไปที่ฉินมู่เยว่ “อย่างนั้นเ้ามาที่นี่กลางดึกเพื่อทำสิ่งใด?”
ฉินมู่เยว่ยิ้มน้อยๆ “มาดูเื่สนุกยังไงล่ะ”
ได้ยินเช่นนั้นมู่อวิ๋นจิ่นหน่ายเหนื่อยที่จะสนใจ จึงเดินต่อไป
ทั้งสี่คนต่างเดินกันมาถึงตำหนักฉินไท่เฟยไล่เลี่ยกัน
พอก้าวเข้าไปในตำหนักฉินไท่เฟย ด้านในมีเสียงร้องห่มร้องไห้สะอึกสะอื้น นางกำนัลและขันทีด้านนอกต่างพากันเริ่มใช้ผ้าขาวไว้อาลัย จนบรรยากาศภายในตำหนักดูเย็นชืดไร้ชีวิตชีวา
ฮ่องเต้ซีิและฮองเฮาที่พักผ่อนลงแล้ว เมื่อได้ยินเื่นี้รีบเสด็จมาโดยที่ผมเผ้ายังไม่เรียบร้อย
มู่อวิ๋นจิ่นทำความเคารพฮ่องเต้ซีิและฮองเฮา นางเม้มริมฝีปาก สีหน้าดูซีดเซียว
ฮ่องเต้ซีิเข้าพระทัยว่าคงเสียใจกับการจากไปของฉินไท่เฟย จึงเอ่ยปลอบใจมู่อวิ๋นจิ่นอย่างนิ่มนวล “ไท่เฟยรักใคร่ในตัวเ้า เ้ารีบเข้าไปดูนางเถอะ”
มู่อวิ๋นจิ่นพยักหน้ารับทราบ คิดในใจว่าหากเป็ความรักที่เช่นนี้ นางมิกล้ารับไว้หรอก!
มู่อวิ๋นจิ่นเดินเข้าไปในห้องนอนของฉินไท่เฟย ข้างเตียงของนางมีเหล่าสนมคนอื่นๆ ต่างร้องไห้ฟูมฟาย หนึ่งในนั้นยังมีสนมลี่เฟยและสนมหว่านเฟยที่เคยมีเื่กับมู่อวิ๋นจิ่น
สนมทั้งสองนั้นหลังจากที่เห็นมู่อวิ๋นจิ่นเข้ามา ต่างควักผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับน้ำตา ขยับตัวไปด้านข้าง
มู่อวิ๋นจิ่นจึงเดินเข้ามาข้างเตียง มองคนที่กระซิบขู่นางเมื่อบ่ายข้างหู นอนแน่นิ่งไม่ติงไหวอยู่บนเตียง ความรู้สึกในใจตอนนี้ช่างระคนจนอธิบายไม่ถูก แต่ความเกลียดชังที่มีอยู่เหนือกว่าความรักที่มีให้
“อั๊ยย่ะ เสียแรงที่ไท่เฟยรักใคร่เอ็นดูพระชายาหกมาตลอด ทำไมตอนนี้หน้าตายังแห้งไปหมดแบบนี้?” สนมลี่เฟยจัดการอารมณ์เข้าที่ก็เริ่มแขวะใส่มู่อวิ๋นจิ่นทันที
มู่อวิ๋นจิ่นมองค้อนไปหนึ่งที รำคาญจะต่อปากต่อคำกับคนเช่นนี้
ในเวลานี้พระชายาหรงและฉินมู่เยว่พากันเดินเข้ามา เห็นสถานการณ์เบื้องหน้าต่างก็ยิ้มด้วยความสะใจ
“ท่านป้าดูสิเ้าค่ะ ไท่เฟยชีวิตสั้นนัก ปกตินางร่างกายแข็งแรง จิตใจเบิกบาน จู่ๆ จะไปก็ไปโดยไม่บอกไม่กล่าวกันก่อนเลย” ฉินมู่เยว่ถอนหายใจ
ทุกคนภายในห้องแม้ใกับคำพูดที่ไร้ความเคารพของฉินมู่เยว่ ทว่ามิมีผู้ใดกล้าต่อปากต่อคำ
พระชายาหรงได้แต่ยิ้มจางๆ “หลานสะใภ้เอ๋ย เหตุใดดูไร้ความรู้สึกโศกเศร้าอาดูรด้วยเล่า?”
“ก็นั่นนะสิ เมื่อครู่เปิ่นกงก็ถามพระชายาหกในคำถามเดียวกัน อย่างน้อยร้องไห้ให้ได้ยินเสียงก็ยังดี แต่นี่กลับยืนนิ่งไม่เเสดงอารมณ์เสียใจ ช่างเป็คนที่จิตใจแข็งกระด้างเสียจริง” สนมลี่เฟยสำทับขึ้นมาสนับสนุนคำพูดของพระชายาหรง
มู่อวิ๋นจิ่นได้แต่แสยะยิ้ม สะบัดหน้าเดินออกจากห้องนอนไป
“ห๊ะ? ทำไมออกไปแล้ว……”
เมื่อเดินออกไปแล้ว มู่อวิ๋นจิ่นนั่งเก้าอี้ยกมือขึ้นกอดอก ก้มหน้าครุ่นคิดเื่บางอย่าง
“อวิ๋นจิ่น……” เสียงของฉินมู่หลานดังขึ้นจากด้านข้าง
มู่อวิ๋นจิ่นรู้สึกรำคาญขึ้นในฉับพลัน ด้านในห้องวุ่นวาย ด้านนอกก็ยังคงวุ่นวายอีก
“มีเื่อันใด?” มู่อวิ๋นจิ่นถือว่ายังมีนางกำนัลและขันทีอยู่ จึงยอมกวาดสายตาเ็ามองไป
ฉินมู่หลานรู้สึกเริ่มชินกับความเ็าของมู่อวิ๋นจิ่นแล้ว “ดึกดื่นเช่นนี้ เหตุใดเ้ามาเพียงคนเดียว บ่าวใช้สักคนก็ไม่ติดตามมาเลย”
มู่อวิ๋นจิ่นยิ้มเจื่อนๆ “จะพามาให้เอกเกริกไปทำไม ข้ามาเพื่อแสดงความลัย มิใช่มาร่วมงานเลี้ยงสักหน่อย”
“เ้าสูญเสียความทรงจำไปนาน จนเปลี่ยนเป็คนละคนไปแล้ว ไม่รู้ว่าหากความทรงจำของเ้าฟื้นคืนมาแล้ว จะยังจำนิสัยในตอนนี้ได้หรือไม่ก็ไม่ทราบได้” ฉินมู่หลานเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยน
“ความทรงจำกลับมาหรือไม่กลับมา ย่อมไม่เกี่ยวข้องกับเ้าแม้แต่น้อยนิด” มู่อวิ๋นจิ่นเปรยเสียงเรียบ
ฉินมู่หลานหน้าชาในทันใด
มู่อวิ๋นจิ่นได้เข้าไปไว้อาลัยฉินไท่เฟยในห้องนอนเรียบร้อยแล้ว ฉะนั้นไม่อยากจะหยุดที่ตำหนักต่อไป จึงเดินออกไปด้านนอก
ฉินมู่หลานเห็นนางเดินไปเพียงผู้เดียว จึงลุกขึ้นเตามไปเป็เพื่อน
ด้านฉินมู่เยว่ที่จับจ้องความเคลื่อนไหวของทั้งสองคนอยู่ในมุมหลังเสา ได้ยินบทสนทนาของทั้งคู่ชัดเจนแจ่มแจ้ง ได้แต่ถอนหายใจเสียงเบา
หรือว่าพี่ชายของนางจะมีใจให้กับมู่อวิ๋นจิ่น? อีกอย่าง มู่อวิ๋นจิ่นสูญเสียความทรงจำเป็มาเป็ไปยังไงกัน?
ฉินมู่เยว่เลิกคิ้วยิ้มอย่างมีแผนชั่วร้ายในใจ มิน่าเล่า ข่าวลือที่ว่ามู่อวิ๋นจิ่นอ่อนแอไร้ความสามารถคนนั้นเปลี่ยนไป ที่แท้ก็สูญเสียความทรงจำนี่เอง นิสัยถึงได้เปลี่ยนไปเป็คนละคน!
ฮ่าๆๆๆ เื่นี้ช่างน่าสนุกเสียเหลือเกิน
……
ในระหว่างเส้นทางที่เดินออกจากวังหลวง ฉินมู่หลานรู้สึกถึงความไม่เป็มิตรที่มู่อวิ๋นจิ่นมักมีกับเขา จึงทำเพียงเดินตามหลังเพื่อไปส่ง
มู่อวิ๋นจิ่นรู้ว่าฉินมู่หลานตามหลัง จึงรีบเดินไปที่ประตูวังหลวง
เมื่อมาถึงมู่อวิ๋นจิ่นเห็นรถม้าของจวนมีโคมไฟแขวนอยู่ พร้อมกับติงเซี่ยนที่ถือโคมไฟนำทางในมือ ส่วนฉู่ลี่ยืนรอรับนางอยู่ข้างรถม้า
มู่อวิ๋นจิ่นพลันเกิดความรู้สึกยินดีปรีดาขึ้นมา วิ่งเข้าไปคว้าแขนของฉู่ลี่เอาไว้ พร้อมกับเอ่ยยิ้มแย้ม “ทำไมเ้ามาอยู่ที่นี่ได้?”
“รอเ้ายังไงเล่า” ฉู่ลี่หันสบตานาง พร้อมกับยื่นมือโอบเอว
มู่อวิ๋นจิ่นในตอนนี้เหนื่อยล้าเต็มทนจึงโผเข้าใส่อ้อมอกของฉู่ลี่ เอ่ยขึ้นว่า “เ้าจะเข้าไปไว้อาลัยไหม?”
“ไม่เข้า” ฉู่ลี่ตอบเสียงเ็า จ้องมองไปประตูวังด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ได้ อย่างนั้นกลับจวนกันเถอะ” มู่อวิ๋นจิ่นผละออกจากอ้อมอก เดินขึ้นรถม้าไป
เมื่อรถม้าเคลื่อนไปแล้ว แววตาของฉินมู่หลานละห้อยหาด้วยความเสียใจ ภาพการสวมกอดนั้นช่างบาดตาบาดใจ ฝังลึกติดอยู่ในมโนทวารแแ่
ความรู้สึกต่างๆ พรั่งพรูขึ้นในมโนทวาร ว่าเขาสูญเสียนางไปแล้วจริงๆ
“พี่ชาย……” เสียงฉินมู่เยว่เรียกขึ้น “พี่กับคุณหนูสามมู่เป็อะไรกันเหรอ?”
“เื่นี้ไม่เกี่ยวกับเ้า” ฉินมู่หลานหันขวับไปตำหนิ
ฉินมู่เยว่กลับยิ้มหวาน เอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่มนวล “พี่ชายชอบคุณหนูสามมู่ ส่วนน้องชอบพี่ฉู่ลี่ ตอนนี้พวกเขาอยู่ด้วยกัน นั่นหมายความว่าพวกเราต้องสูญเสียคนที่ชอบอย่างนั้นหรือ?”
“ยิ่งไปกว่านั้นสองคนนั้นแต่งกันด้วยสัญญาที่ผูกมัดอย่างเลี่ยงมิได้ มีหรือที่จะปฏิบัติต่อกันด้วยความจริงใจ……”
ฉินมู่หลานคว้าแขนของฉินมู่เยว่ขึ้นบีบไว้แน่นด้วยความโกรธขึ้ง พร้อมกล่าวเตือนสติ “เ้าอย่าได้สร้างเื่ที่ผิดบาปอีกต่อไปเลย มิอย่างนั้นไม่ช้าก็เร็วมันจะทำลายชีวิตเ้าเอง”
“พี่ชาย ข้าแค่พูดไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้น อย่าได้เอามาใส่ใจไปเลย” ฉินมู่เยว่เอ่ยปากพูดแก้ตัว
ฉินมู่หลานจึงสะบัดแขนนางออก “กลับจวน ่นี้ไม่อนุญาตให้เ้าไปมาหาสู่กับท่านป้า!”
“ได้ๆๆๆ ข้าจะทำตามที่พี่ชายสั่ง” ทั้งสองคนจึงเดินไปขึ้นรถม้า
ฉินมู่เยว่ที่เดินตามฉินมู่หลานจากด้านหลัง เผยยิ้มน้อยๆ เหมือนมีแผนการชั่วร้ายในใจแล้ว
……
ทางด้านรถม้าของฉู่ลี่และมู่อวิ๋นจิ่นกลับมาถึงจวนแล้ว มู่อวิ๋นจิ่นยังคงหลับใหล ฉู่ลี่จนปัญญามิอยากปลุก จึงทำได้เพียงโอบอุ้มนางเดินลง
เมื่อโอบอุ้มเดินเข้าไปที่เรือนลี่เฉวียน ฉู่ลี่วางร่างมู่อวิ๋นจิ่นลงบนเตียง ยื่นมือไปลูบหน้านางอย่างเบามือ เห็นนางนอนยิ้มหวาน จึงหยิบผ้าห่มมาคลุมตัวให้ ก่อนเดินออกจากห้องไปสั่งจื่อเซียง “พรุ่งนี้ห้ามใครมาปลุกนางแต่เช้า ปล่อยให้นางตื่นตามที่ใจ้า”
“เพคะองค์ชาย” จื่อเซียงทำความเคารพ
หลังจากนั้นฉู่ลี่เดินกลับไปที่ห้อง จุดไฟให้สว่างขึ้น ติงเซี่ยนและหวงเหยียนยืนรอรับคำสั่งอยู่ในด้านใน
“องค์ชาย ทุกอย่างเตรียมการเรียบร้อยทั้งหมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ” หวงเหยียนยิ้มอย่างได้ใจ พร้อมกับควักโองการลับออกมา
“ทุกอย่างเป็ตามที่องค์ชายคาดไว้ทุกประการ ฉินไท่เฟยได้เขียนโองการลับทิ้งไว้ วันนี้ั้แ่ได้รับคำสั่งลับจากองค์ชาย ข้าน้อยก็รีบไปซุ่มอยู๋ที่ตำหนักฉินไท่เฟยตลอดพ่ะย่ะค่ะ”
“ก่อนที่ฉินไท่เฟยจะสิ้นใจ นางซ่อนโองการลับนี้ไว้ที่ตัว รอจนกระทั่งนางสิ้นใจไปแล้ว ข้าน้อยถึงได้เข้าไปค้นตัวถึงพบสิ่งนี้เข้า ข้าน้อยจึงปลอมโองการลับขึ้นมาใหม่ จากนั้นไม่ทันไร แม่นมชวีเข้ามาพบฉินไท่เฟยสิ้นใจ รีบหยิบโองการลับนั้นวิ่งไปด้านนอกอย่างลนลานพ่ะย่ะค่ะ”
ฉู่ลี่เปิดโองการลับที่คัดลอกมาออกอ่าน เห็นเนื้อความข้างในกับตราประทับ ดวงตาคู่นั้นกลับชะงักงันในทันที
ลูกลับๆ ที่เกิดจากสตรีอันดับหนึ่งของอาณาจักรหนานถิง ที่ชื่อว่าเจียงชิงเสวี่ย……
“โชคดีที่เนื้อความด้านในไม่ได้แพร่ออกไป มิฉะนั้นพระชายาอาจถูกประฌามจากผู้คนพ่ะย่ะค่ะ” หวงเหยียนเอ่ย
ฉู่ลี่เก็บโองการลับนี้ พร้อมจ้องไปที่หวงเหยียน “ใครรับโองการลับจากมือแม่นมชวีไป?”
หวงเหยียนยิ้มมุมปาก “เป็ไทเฮาเจิ้งพ่ะย่ะค่ะ”
“เหอะๆๆ” ฉู่ลี่แสยะยิ้ม “น่าเวทนานางเหลือเกินสิ้นใจยังไม่ทันไร ต้องมาร่วมมือกับคนที่จงเกลียดจงชังกันที่สุด”
“อย่างนั้น ตอนนี้พวกเราต้องทำอะไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ?” หวงเหยียนเอ่ยถามขึ้น
ฉู่ลี่ยังคงจ้องไปที่หวงเหยียน “โองการลับที่เ้าทำขึ้นใหม่นั้น เนื้อความด้านในเขียนอะไรบ้าง?”
“ไม่ได้เขียนอะไรเลยพ่ะย่ะค่ะ” หวงเหยียนพูดด้วยสีหน้าไม่เป็ธรรมชาติ
……
(สลับเข้ามาที่วังหลัง)
ในตำหนักเฟิงิ
“เ้าฉินเซียงเซี่ยน[1]ผู้นี้ตั้งใจเล่นตลกกับอายเจียใช่ไหม? วันนั้นยังมาขอร้องวิงวอนอายเจีย บอกว่าหลังจากสิ้นใจจะมีโองการลับให้อายเจีย สุดท้ายนี่มันหมายความว่ายังไง?”
ไทเฮาเจิ้งโยนโองการลับทิ้งลงกับพื้นด้วยความไม่พอใจ
ทางด้านพระชายาหรงกลับเก็บขึ้นมาอ่านดู ถึงกับต้องขมวดคิ้ว ไม่รู้จะเอ่ยคำใด “หากมีเวลาอายเจียจะไปดื่มน้ำชากับเ้า”
พระชายาหรงขนพองสยองเกล้า รีบโยนโองการลับนั้นทิ้งทันที “ก่อนฉินไท่เฟยสิ้นใจ นางตั้งตัวเป็ปฏิปักษ์กับเสด็จแม่มาตลอด เหตุใดเสด็จแม่ถึงได้เชื่อคำพูดของนางด้วย”
ไทเฮาเจิ้งถอนหายใจ ตบโต๊ะดังลั่น “อายเจียเห็นนางคุกเข่าวิงวอนร้องขอถึงยอมอนุญาต ใครจะไปรู้ว่าแม่นมชวีกลับนำโองการลับบ้าบออะไรเช่นนี้มาให้อายเจียด้วย!”
“ฉินไท่เฟยผู้นั้นนิสัยแปลกประหลาก มักทำเื่เหนือความคาดหมายขึ้นมา ย่อมไม่น่าแปลกใจ แต่ยังดีที่นางสิ้นใจไปแล้ว นับจากนี้จะไม่มีผู้ใดกล้ามาต่อกรกับเสด็จแม่อีกต่อไป” พระชายาหรงกล่าว
ไทเฮาเจิ้งยกน้ำชาขึ้นจิบด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ใช่แล้ว วันๆ ฉินไท่เฟยเอาแต่จะยกองค์ชายแท้ๆ ของนางขึ้นให้มีตำแหน่งสูง แต่สุดท้ายนางกลับตายไปก่อนเสียแล้ว”
“เสด็จแม่ วันนี้ที่สะใภ้คนนี้มาหา ด้วยมีเื่อยากปรึกษาหารือด้วยเพคะ” พระชายาหรงเปรยขึ้น
“เื่อันใด?”
พระชายาหรงเดินเข้าไปนั่งเก้าอี้ด้านข้างไทเฮาเจิ้ง พลางเอื้อมมือเข้าไปลูบแขน “เสด็จแม่ ท่านดูท่านอ๋องหรงก็เป็โอรสของท่าน หลายปีมานี้เขาปฏิบัติตน รักษาคุณธรรม กตัญญูรู้คุณ มากกว่าฝ่าาองค์ปัจจุบันที่มีต่อเสด็จแม่มากมายหลายเท่าเลยนะเพคะ”
ถึงแม้ไทเฮาเจิ้งจะมีอายุมากแล้ว ทว่ากลับเข้าใจเื่ทุกอย่างแจ่มแจ้ง จึงจับไปที่มือพระชายาหรง “ซูหนิง เ้าคิดอยาก……”
“สะใภ้คนนี้มิได้ใจกล้ามากถึงเพียงนั้นเพคะ” จากนั้นนางเอื้อมเข้ามากระซิบข้างหูไทเฮาเจิ้ง “การจากไปอย่างกะทันหันของฉินไท่เฟย เป็เพราะกู่ฉง[2]ที่มู่เยว่นำมาจากชายแดน กู่ฉงชนิดนี้หากเข้าร่างกายไปแล้ว แม้หมอหลวงในวังก็ไม่มีผู้ใดตรวจพบได้ ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงเชื่อว่าฉินไท่เฟยป่วยจนสิ้นใจเพคะ”
“จริงหรือ?” ไทเฮาเจิ้งใมิน้อย ด้วยคิดมาตลอดว่าฉินไท่เฟยป่วยสิ้นใจกะทันหัน โดยมิทราบมาก่อนว่านางโดนกู่ฉงนี่เอง
พระชายาหรงพยักหน้าเน้นย้ำ “เื่นี้จริงแท้แน่นอนเพคะ”
“เสด็จแม่ ดูอย่างตอนนี้ราชสำนักยังไม่แต่งตั้งรัชทายาท หากฝ่าาเกิดตด้วยอาการประชวรโดยมิทราบสาเหตุ เช่นนั้น ใครจะเหมาะสมที่ขึ้นครองบัลลังก์แห่งอาณาจักรซีหยวนเพคะ?”
[1] ฉินเซียงเซี่ยน นามจริงของฉินไท่เฟย
[2] กู่ฉง เป็ สัตว์พิษที่ผ่านพิธีกรรมทางไสยศาสตร์ โดยนำแมลง สัตว์เลื้อยคลานต่างๆ ใส่ภาชนะแล้วปล่อยให้กัดกินกันเอง โดยตัวที่เหลือรอดมาได้ นับว่ามีพิษร้ายแรงที่สุด ซึ่งจะนำมาใช้วางพิษสังหารคนหรือใช้ถอนพิษก็ได้