เพียงแค่มองประตูสีแดงชาดประดับหมุดทองแดง ก็พอจะจินตนาการถึงความโอ่อ่าภายในบ้านได้
กู่ซิ่วยกมือเคาะประตู ไม่นาน แม่บ้านของบ้านสกุลลู่ก็เปิดประตูออกมาครึ่งหนึ่ง ชะโงกหน้าถามว่า “พวกคุณเป็ใครคะ?”
กู่ซิ่วดันสวี่เยว่ออกไปข้างหน้า “นี่ลูกสาวฉัน สวี่เยว่ คุณนายลู่บอกให้เธอมาเที่ยวบ้านวันนี้ค่ะ”
“อ้อ ๆ ๆ คุณสวี่เยว่นี่เอง คุณนายกลัวว่าวันนี้คุณจะไม่มา เมื่อกี้ยังบ่นถึงอยู่นานเลย!”
แม่บ้านรีบพาสองแม่ลูกกู่ซิ่วเข้าไปในลานบ้าน
หลังจากปิดประตูเรียบร้อยแล้ว แม่บ้านก็เดินนำหน้า ไม่นานนักพวกเขาก็มาถึงหน้าเรือน
ยังไม่ทันเข้าไปข้างในแม่บ้านก็ะโเสียงดัง “คุณนายคะ คุณสวี่เยว่กับคุณแม่ของเธอมาแล้วค่ะ!”
“รีบเชิญเข้ามาสิ!” เสียงตื่นเต้นเล็กน้อยของหญิงชราดังมาจากในเรือน
สวี่เยว่เดินตามแม่กับแม่บ้านเข้าไปข้างในด้วยท่าทางขี้อาย
ทันทีที่เข้าไปในบ้าน กู่ซิ่วก็พูดด้วยรอยยิ้ม “คุณนายลู่ ลูกสาวคนเล็กของฉันขี้อาย ไม่กล้ามาบ้านคุณคนเดียว ฉันเลยมาเป็เพื่อน ไม่รังเกียจใช่ไหมคะ?”
เสียงของกู่ซิ่วค่อย ๆ แ่ลง เพราะเธอเห็นว่าบนโซฟาในห้องรับแขก นอกจากคุณย่าลู่แล้วยังมีเด็กหนุ่มอีกสี่คนนั่งเรียงกันอยู่ หนึ่งในนั้นมีลู่ฉี่เสียนกับลู่ฉี่โหย่วด้วย
ลู่ฉี่เสียนกำลังมองพวกเธอสองแม่ลูกอย่างเ็า
คุณย่าลู่เชิญแม่ลูกกู่ซิ่วให้นั่งลง แล้วแนะนำลู่ฉี่เสียนด้วยรอยยิ้ม “เด็กผู้หญิงคนนี้ชื่อสวี่เยว่ เป็ผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตฉันไว้”
สวี่เยว่จำลู่ฉี่เสียนได้ แต่กลับไม่มีท่าทีเคอะเขิน เหมือนทั้งสองเพิ่งเจอกันครั้งแรก เธอทักทายอย่างเขินอาย “สวัสดีค่ะ พี่ลู่”
ท่าทางขี้อาย เรียบร้อย ดูน่ารักน่าสงสารแบบนี้ เป็คำนิยามของ ‘ลูกคนอื่น[1]’ ชัดๆ
กู่ซิ่วก็ฉีกยิ้มแหยตาม ทักทายเขาเช่นกัน
ลู่ฉี่เสียนเหลือบมองกู่ซิ่วเพียงแวบเดียว สายตาก็จดจ่อลงบนใบหน้าของสวี่เยว่
สวี่เยว่รู้สึกลิงโลดเล็กน้อย ในที่สุดพี่ลู่ก็สนใจเธอแล้ว!
ตราบใดที่ยัยสวี่ฮุ่ยนั่นไม่อยู่ เธอก็คือคนที่สวยที่สุดในงาน!
สวี่เยว่ดีใจยังไม่ถึงสามวิ ก็ได้ยินลู่ฉี่เสียนถามด้วยน้ำเสียงเฉยชา “ได้ยินว่าเธอขโมยเงินพี่สาวไปสามพันหยวนงั้นเหรอ?”
รอยยิ้มหวานที่จงใจปั้นแข็งค้างอยู่บนใบหน้าของสวี่เยว่
เธอไม่คิดว่าลู่ฉี่เสียนจะรู้เื่นี้แล้ว และเธอก็ไม่มีทางแก้ตัวได้
ลู่ฉี่โหย่วโยนองุ่นเข้าปาก มองดูเหตุการณ์ด้วยใบหน้าสนอกสนใจ
เขารังเกียจผู้หญิงเสแสร้ง ซึ่งความประทับใจแรกที่สวี่เยว่สร้างให้เขาก็เป็แบบนั้น
ลู่ฉี่เสียนยังคงจี้จุดสวี่เยว่ต่อไป “ทำไมเธอถึงได้มีนิสัยแย่ที่แก้ไม่หายแบบนี้ ้าให้พี่สาวตายเลยหรือไง?”
คุณย่าลู่ทำหน้าบึ้งแล้วดุ “อาเสียน แกพูดกับแขกแบบนี้ได้ยังไง!”
ในขณะนั้น สวี่ฮุ่ยกำลังถือถังที่ขายปลาไหลหมดแล้วเหลือแต่ตะพาบน้ำตัวเดียว ยืนอยู่หน้าบ้านสกุลลู่ พลางมองสำรวจประตูบ้านโอ่อ่าด้วยความตกตะลึง
บ้านเลขที่ 18 ถนนชางเซิ่งคือบ้านสกุลลู่ บ้านของนายทุนแดงที่มีชื่อเสียงโด่งดังในเมืองเจียงเฉิงเหรอ
ไม่คิดเลยว่าเด็กหนุ่มคนนั้นจะมีภูมิหลังครอบครัวสูงส่งขนาดนี้
สวี่ฮุ่ยยกมือเคาะประตู
ในห้องรับแขกสไตล์จีนคลาสสิก ลู่ฉี่เสียนถามสวี่เยว่ด้วยรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยการเย้ยหยัน “ได้ยินว่าเธอเป็คนช่วยชีวิตย่าของฉันไว้? เล่าให้ฟังหน่อยสิว่าเธอช่วยย่าฉันยังไง?”
สวี่เยว่พูดตะกุกตะกัก ตอบไม่ได้
ตอนนั้นคุณย่าลู่กับลู่ฉี่โหย่วไปขอบคุณที่บ้านสกุลสวี่ แม่ลูกสวี่เยว่ต่างหวาดหวั่น ไม่กล้าพูดคุยเื่อุบัติเหตุทางรถยนต์กับย่าหลานสกุลลู่เลย
กลัวว่าพูดมากจะเผลอหลุดความจริง ที่ว่าเธอแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับอุบัติเหตุเลย
คุณย่าลู่เห็นสวี่เยว่ตอบไม่ได้ พาลถามด้วยความสงสัย “คนที่ช่วยฉันไม่ใช่เธอเหรอ?”
สวี่ฮุ่ยเดินตามแม่บ้านมาถึงห้องนั่งเล่นพอดี ได้ยินดังนั้นก็พูดขึ้นมา “คนที่ช่วยคุณนายไว้คือฉันเองค่ะ!”
สวี่ฮุ่ยไม่คิดเลยว่าการมาขายตะพาบน้ำจะทำให้เธอได้มาที่บ้านของหญิงชราที่เธอเคยช่วยชีวิตไว้
แม้ว่าเธอจะไม่เคยคิดให้หญิงชราตอบแทนบุญคุณ แต่ก็ไม่อยากให้สวี่เยว่หน้าด้านแอบอ้างความดีความชอบของเธอ เธอจึงรีบประกาศตัว
กู่ซิ่วร้อนรน
เห็นว่าเื่ที่พวกเธอสองแม่ลูกเธอแอบอ้างความดีความชอบของสวี่ฮุ่ยกำลังจะถูกเปิดโปง
กู่ซิ่วไม่สนใจว่าตัวเองเป็แขก รีบดุสวี่ฮุ่ยเสียงดัง “อย่ามาอวดเก่ง แกไม่รู้เื่ทางการแพทย์สักหน่อย!”
สวี่ฮุ่ยไม่ยอมเช่นกัน เธอพูดถากถาง “หนูไม่รู้เื่ทางการแพทย์ แล้วลูกสาวสุดที่รักของแม่รู้งั้นสิคะ?”
กู่ซิ่ว “แกไม่เคยได้ยินคำว่า ‘ป่วยบ่อยจนรักษาได้’ เหรอ? เยว่เยว่เป็โรคหัวใจ ยังไงก็รู้เื่มากกว่าแก”
ลู่ฉี่เสียนเห็นสวี่เยว่หน้าซีดเผือด กู่ซิ่วโวยวายกลบเกลื่อน แต่สวี่ฮุ่ยกลับสงบนิ่งก็กระจ่างแจ้งทันที
เขาพูดเสียงราบเรียบ “เลิกเถียงกันได้แล้ว ใครก็ตามที่สามารถจำลองเหตุการณ์ช่วยย่าของฉันได้ คนนั้นก็คือผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตย่าของฉัน”
สวี่เยว่เม้มปากแน่นยิ่งกว่าหอยกาบ
กู่ซิ่วใช้สายตาชี้ไปที่สวี่ฮุ่ย แล้วพูดตะกุกตะกัก “ถ้ามันเห็นเยว่เยว่ช่วยทุกขั้นตอน แล้วเล่าเหตุการณ์ตอนนั้นได้ทั้งหมดล่ะคะ?”
ลู่ฉี่เสียนพูดอย่างสุขุม “ไม่ต้องห่วง ถ้าทั้งสองคนพูดเหมือนกัน ฉันก็สามารถเอารูปของพวกเธอไปสอบถามหาความจริงได้”
เขาย้ำ “อย่าลืมนะว่าฉันเป็ตำรวจ!”
กู่ซิ่วได้ยินดังนั้นก็พูดไม่ออก
สวี่ฮุ่ยพูดอย่างใจกว้าง “ให้น้องสาวพูดก่อนเลยค่ะ ถ้าเธอพูดถูกหมด ก็ถือว่าฉันมาแย่งความดีความชอบไปเอง จะดูถูกฉันยังไงก็เชิญเลยค่ะ”
เธอจงใจเรียกสวี่เยว่ว่าน้องสาว เพื่อให้คุณนายลู่รู้ถึงความสัมพันธ์ของเธอกับแม่ลูกกู่ซิ่ว และจะได้รู้ว่ากู่ซิ่วลำเอียงแค่ไหน
คุณย่าลู่ตกตะลึงมาก พูดด้วยสีหน้าไม่อยากเชื่อ “พวกเธอเป็พี่น้องกันเหรอ?”
กู่ซิ่วกับสวี่เยว่ไม่มีใครกล้าตอบ
สวี่ฮุ่ยพยักหน้าอย่างเปิดเผย “ยังเป็ฝาแฝดกันด้วยค่ะ”
คุณย่าลู่ไม่พูดอะไรอีก แต่สายตาที่มองกู่ซิ่วกับสวี่เยว่กลับเปลี่ยนเป็เคลือบแคลง
แม่ลูกกู่ซิ่วโกรธจนกัดฟันกรอด สวี่ฮุ่ยพูดแบบนี้ กำลังตบหน้าพวกเธออยู่ชัด ๆ !
สวี่เยว่กำชุดสวยบนตัวแน่น ยังคงไม่กล้าเปิดปากพูด
กู่ซิ่วจึงต้องบากหน้าเป็กระบอกเสียงแทนสวี่เยว่
ถ้าเกิดอะไรผิดพลาดขึ้นมา เธอจะรับผิดชอบเอง
ชื่อเสียงของลูกสาวคนเล็กฉาวโฉ่ไปทั่วบ้านพักพนักงานแล้ว จะแย่ไปกว่านี้ไม่ได้อีก
ชื่อเสียงแย่เกินไป กู่ซิ่วกังวลว่าในอนาคตสวี่เยว่จะหาสามีดี ๆ ไม่ได้
กู่ซิ่วแต่งเื่โกหกตามที่เธอเข้าใจเกี่ยวกับอุบัติเหตุ
บอกว่าคุณนายลู่ถูกรถชน ตอนนั้นเืไหลน่ากลัวมาก ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ เป็สวี่เยว่ที่กล้าเข้าไปทำแผลให้
กู่ซิ่วเล่าอย่างคร่าว ๆ จะได้ไม่โป๊ะ และอาจตบตาไปได้
ย่าหลานสกุลลู่สามคนมองกู่ซิ่วด้วยสายตาเ็า
กู่ซิ่วรู้สึกกระวนกระวายใจ
คุณย่าลู่จ้องไปที่ใบหน้าสวี่เยว่ “บอกย่ามา ว่าย่าประสบอุบัติเหตุได้ยังไง? ข้ามถนนแล้วโดนรถชน หรือถูกรถชนโดยไม่ทันตั้งตัว?”
สวี่เยว่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูด “ถูกรถชนโดยไม่ทันตั้งตัวค่ะ”
คุณนายลู่ดูเป็คนมีมารยาท ไม่มีทางฝ่าไฟแดงแน่ ๆ คงถูกรถชนแบบไม่ทันตั้งตัว
“รถอะไรชนฉัน? แล้วชนยังไง?”
สวี่เยว่เห็นสีหน้าคุณย่าลู่ไม่เคร่งขรึมเหมือนก่อนหน้านี้ จึงโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง คิดว่าตัวเองเดาถูก พูดต่อว่า “เป็รถเกษตรค่ะ”
อำเภอเล็ก ๆ นอกจากรถโดยสารประจำทางก็มีแต่รถเกษตร รถยนต์ส่วนตัวไม่ค่อยมีให้เห็นมากนัก โอกาสที่จะชนคุณย่าลู่จึงมีน้อยมาก
คุณย่าลู่มองด้วยสายตาเ็า พูดตรง ๆ ไม่อ้อมค้อมว่า “เธอและแม่ของเธอเป็พวกหลอกลวง!”
สวี่เยว่กับกู่ซิ่วหน้าแตกเป็ผุยผงในทันที
[1] ลูกคนอื่น หมายถึง ลูกตัวอย่าง ให้พ่อแม่บ้านอื่นเอาลูกตัวเองมาเปรียบเทียบ