ไม่สิ ฉันจะคิดเื่นี้ไปทำไม?
ฉีลั่วอิ่งไม่อยากพูดเื่ก้นกับผู้ช่วยต่อ แต่บทสนทนานี้ก็ทำให้เขามั่นใจว่า แม้กระทั่งโทรศัพท์ของอาโย่วก็ยังมีของที่ไม่อยากให้ใครเห็น นับประสาอะไรกับนักแสดงที่ต้องปกป้องความเป็ส่วนตัวอย่างพวกเขา? ดังนั้น การที่เมิ่งเชวี่ยไป๋เห็นเขาเข้าไปใกล้จึงไม่ทันระวังและทำโทรศัพท์หลุดมือก็เป็เื่ปกติมาก
แต่ถ้าไม่อยากให้ใครเห็นสิ่งที่อยู่ในโทรศัพท์มือถือ แค่ล็อกหน้าจอก็น่าจะพอแล้ว ทำไมจะต้องมีปฏิกิริยารุนแรงขนาดนั้นด้วย?
หรือเพราะถูกเขาล้อเื่สายคล้องมือถือ?
ถ้านายอายก็ไม่ต้องใช้สายคล้องสิ!
ฉีลั่วอิ่งอดไม่ได้ที่จะเปิดหัวข้อใหม่ขึ้นมา “ผู้ชายที่ใช้สายคล้องมือถือ ถ้าโดนเห็นเข้าจะรู้สึกอายมากไหม?”
“เมื่อก่อนนี้ใครๆ ก็ใช้สายคล้องมือถือกันหมดนะถึงผู้ชายจะใช้น้อยกว่า และตอนนี้ก็ไม่นิยมกันแล้วด้วยเพราะยุคสมัยที่เปลี่ยนไป เมื่อก่อนสินค้าของฉีเกอยังเคยทำสายคล้องมือถือเลย แต่ตอนนี้ก็เปลี่ยนเป็เคสมือถือแทนแล้ว”
พอพูดถึงสินค้า ฉีลั่วอิ่งก็รู้สึกสับสนขึ้นมา “สินค้าของฉันยังมีขายอยู่อีกเหรอ?”
แม้เขาจะเป็นักแสดงมืออาชีพ แต่บริษัทก็วางแผนการตลาดให้เขาไม่ต่างกับไอดอล โดยเฉพาะเื่การจำหน่ายสินค้า ตอนนั้นอะไรเป็ที่นิยมบริษัทก็ผลิตทั้งหมด โฟโต้บุ๊ก โปสเตอร์ หรือปฏิทิน ล้วนเป็สิ่งที่หาได้ไม่ยาก นอกจากนี้เขายังเคยเห็นหน้าตัวเองถูกพิมพ์ลงบนแก้ว ถุงเท้า ผ้าเช็ดตัว หมอนข้าง ผ้าปูที่นอน แล้วก็ยังมีสติกเกอร์ที่จะซื้อไปแปะตรงไหนก็ได้ ไม่มีอะไรน่าอับอายไปกว่านี้อีกแล้ว
“ได้ยินว่าขายดีมาก สินค้าส่วนใหญ่เป็ของที่มีจำนวนจำกัด ต้องลงทะเบียนล่วงหน้าและจำนวนคนซื้อก็ล้นหลามมาก สุดท้ายต้องจับฉลากขายเลย”
ทัศนคติของซิงเหอที่มีมาตลอดคือ “ในเมื่อมีคนอยากซื้อ แล้วทำไมถึงจะไม่ทำขายล่ะ?” ทั้งยังใช้การตลาดแบบหิวกระหาย ที่ต่อให้มีเงินก็ไม่ได้หมายความว่าจะซื้อได้เพราะสินค้ามีจำนวนจำกัด ส่งผลให้มีการเพิ่มมูลค่าสินค้าที่จะขายต่อและเพิ่มความ้าซื้อของแฟนคลับอีกด้วย
ฉีลั่วอิ่งคิดเหตุผลมาหักล้างไม่ออกจึงทำเป็มองไม่เห็นไปเสีย และไม่ได้สนใจว่าหน้าของตนจะถูกเอาไปพิมพ์ลงบนสินค้าอะไรอีก
เขาครุ่นคิดเื่นี้ แล้วส่งข้อความไปหาเมิ่งไป๋ไป๋อีกครั้ง
สุ่ยเก้ออี้ฟาง : “คุณเคยซื้อสินค้าของฉีลั่วอิ่งไหม?”
เมิ่งไป๋ไป๋ : “เคย”
สุ่ยเก้ออี้ฟาง : “ในที่สุดคุณก็ตอบแล้ว เคยซื้ออะไรมาล่ะ?”
เมิ่งไป๋ไป๋ : “โทรศัพท์พัง พอถึงบ้านเลยใช้คอมพิวเตอร์ ซื้ออะไรได้ก็ซื้อหมด”
โทรศัพท์พัง? วันนี้เป็วันโทรศัพท์พังงั้นหรือ?
สุ่ยเก้ออี้ฟาง : “คุณซื้อสินค้าทุกอย่างของฉีลั่วอิ่งจริงๆ เหรอ?”
ฉีลั่วอิ่งเดบิวต์มาสิบปีแล้ว ทุกปีจะมีสินค้าจำนวนจำกัดตามฤดูกาล ถ้าซื้อทุกอย่างรวมๆ กันแล้วก็เป็เงินก้อนจำนวนไม่น้อยเลย
สมกับที่เป็แฟนตัวยง! ฉีลั่วอิ่งไม่รู้ว่าเขาควรจะปรามเมิ่งไป๋ไป๋ไม่ให้ใช้เงินสุรุยสุร่ายดีหรือเปล่า เพราะกำไรของสินค้ามักเข้ากระเป๋าบริษัท ในขณะที่รายได้หลักของเขามาจากส่วนแบ่งของภาพยนตร์และค่าตัวจากการเป็แบรนด์แอมบาสเดอร์
เมิ่งไป๋ไป๋ : “การลงทะเบียนจองสินค้าจำนวนจำกัดของปีนี้สิ้นสุดแล้ว ถ้าคุณอยากซื้อต้องรอพรีออร์เดอร์รอบฤดูใบไม้ผลิของปีหน้า”
เมิ่งไป๋ไป๋พูดจบก็ส่งลิงก์เว็บไซต์บทความ〈เคล็ดลับการจองสินค้าจำนวนจำกัดของฉีลั่วอิ่ง〉มาด้วย ซึ่งคนเขียนก็คือเมิ่งไป๋ไป๋
ฉีลั่วอิ่งอ่านไปเล็กน้อยก็เอ่ยคำชื่นชมออกมา เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าการซื้อสินค้าของเขาจะยากขนาดนี้
ก่อนอื่นต้องลงทะเบียนสมัครสมาชิกของซิงเหอ เมื่อเป็สมาชิกแล้วก็ต้องเข้าไปลงชื่อในเว็บไซต์ทุกวัน ความภักดีของสมาชิกจะช่วยเพิ่มอัตราความสำเร็จได้ และถ้าอัตราค่าใช้จ่ายของปีก่อนเต็มแล้วก็จะสามารถอัปเกรดเป็สมาชิก VIP ได้ โดยสมาชิก VIP จะได้เลือกสินค้าที่ชอบที่สุดหนึ่งอย่างและมีสิทธิ์ซื้อก่อนผู้อื่น
เมิ่งไป๋ไป๋ยังกล่าวในบทความอีกว่าเขาสมัครสมาชิกให้ทุกคนในบ้าน ทั้งยังอัปเกรดทุกบัญชีให้เป็สมาชิก VIP ทำแบบนี้จำนวนสินค้าที่ต้องจับฉลากก็จะลดลง และหากจับฉลากไม่ได้จริงๆ ก็แค่เข้าไปประมูลในหน้าเว็บไซต์ หรือไม่ก็ไปซื้อในกลุ่มจากแฟนคลับที่จับฉลากได้มาซ้ำ
ฉีลั่วอิ่งอ่านมาถึงตรงนี้แล้วไม่รู้ว่าควรจะใหรือหัวเราะดี ถ้าครอบครัวของเมิ่งไป๋ไป๋รู้ว่าตัวเองกลายเป็แฟนคลับ VIP ของฉีลั่วอิ่ง พวกเขาจะรู้สึกแบบไหนกันนะ?
แล้วอายุของเมิ่งไป๋ไป๋ก็น่าจะไม่มาก ทำไมถึงได้มีเงินเยอะขนาดนี้?
สุ่ยเก้ออี้ฟาง : “คุณคงไม่ใช่เศรษฐีรุ่นที่สองหรอกใช่ไหม?”
เมิ่งไป๋ไป๋ : “นี่นับว่าเป็คำถามส่วนตัว ฉันไม่ตอบ”
สุ่ยเก้ออี้ฟาง : “ฉันแค่กำลังคิดว่าฉันเอารูปพวกนั้นให้คุณฟรีๆ นี่ฉันขาดทุนไหม”
เมิ่งไป๋ไป๋ : “คุณยังมีอีกเยอะไหม? ขายยังไง?”
ไม่ใช่แค่ปีศาจน้อยที่ไม่รู้จักพอเท่านั้น แต่ยังเป็ปีศาจน้อยที่มีค่านิยมผิดๆ อีกด้วย!
มีหลายอย่างที่ใช้เงินซื้อไม่ได้นะ!
ฉีลั่วอิ่งคิดว่าในฐานะที่ตัวเองเป็บุคคลสาธารณะและมีความรับผิดชอบต่อสังคม เขาควรจะแก้ไขค่านิยมของแฟนคลับให้ถูกต้อง
สุ่ยเก้ออี้ฟาง : “ไม่ขาย!”
เมิ่งไป๋ไป๋ : “คุณเสนอราคามา”
สุ่ยเก้ออี้ฟาง : “ส่งให้ฟรีเป็ของขวัญ”
ถือว่าเป็สิทธิพิเศษของแฟนคลับ VIP ก็แล้วกัน ฉีลั่วอิ่งเลือกรูปแล้วส่งให้เมิ่งไป๋ไป๋อีกครั้ง มีทั้งรูปเซลฟีที่รายล้อมไปด้วยแฟนคลับ แล้วก็รูปที่เขามีความสุขมากๆ เพราะถ่ายไว้เป็ที่ระลึกตอนปลอมตัวออกจากบ้านกลางดึกได้สำเร็จ
สุ่ยเก้ออี้ฟาง : “เห็นว่าคุณชอบฉีลั่วอิ่งมากถึงได้ส่งให้”
เมิ่งไป๋ไป๋ : “ขอบคุณ”
แม้จะมีความคิดที่ผิดไปหน่อย แต่อย่างน้อยก็เป็เด็กดีมีมารยาทสินะ!
ฉีลั่วอิ่งเพิ่งจะสบายใจได้หนึ่งวินาที ข้อความของเมิ่งไป๋ไป๋ก็ส่งมาอีกครั้ง
เมิ่งไป๋ไป๋ : “ถ้าอยากจะขายล่ะก็ ติดต่อมาหาฉันได้ตลอดเวลา”
ไม่ ค่านิยมของเด็กคนนี้ยังมีปัญหาอยู่เหมือนเดิม!
----------
เมิ่งไป๋ไป๋ : “รูปของฉีฉีจะขาดไปไม่ได้”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้