อวิ๋นซีมองหญิงคนนั้นที่กำลังมองมาทางตนด้วยดวงตาละห้อย นางกล่าว “อีกเดี๋ยวจะมีคนนำน้ำเกลือมาให้ เ้าต้องป้อนให้ลูกชายเ้าดื่มลงไป เ้าเองก็เช่นกัน ทั้งยังต้องทำความสะอาดเนื้อตัวเ้าและลูกชายเสียใหม่ด้วย อย่าอยู่อย่างสกปรกเช่นนี้”
นางไม่ได้อธิบายต่อว่า เหตุใดจึงต้องทำความสะอาด และเลือกที่จะไปตรวจดูคนอื่นๆ อีกหลายคนพร้อมกับหลิ่วเซิงแทน จนท้ายที่สุดนางก็แน่ใจแล้วว่าโรคระบาดครั้งนี้เป็โรคระบาดชนิดใด รอกระทั่งตรวจสอบจนชัดเจนแล้วก็เป็ยามโพล้เพล้
เว่ยซานเดินเข้ามาพูดว่า “ให้คนทำความสะอาดบ้านเล็กหลังหนึ่งไว้แล้ว คงต้องทนอยู่ไปก่อน่หนึ่ง”
อวิ๋นซีพยักหน้า สำหรับท่าทีสบายๆ ยามพูดคุยของเว่ยซานนั้น นางไม่ได้เอาความอะไร เพราะเว่ยซานผู้นี้ ไม่ว่าจะปลอมตัวเป็ใครก็สามารถเปลี่ยนเป็คนคนนั้นได้แเียิ่ง และนี่ก็เป็เหตุผลที่อวิ๋นซีเลือกพาเขามา
พวกเขามาถึงยังบ้านหลังเล็กที่เว่ยซานบอก นางสอบถามเว่ยซาน จึงได้รู้ว่าเขาได้ส่งอาหารไปให้เหล่าคนที่ติดโรคระบาดแล้ว ทั้งยังบังคับให้คนเ่าั้ทำความสะอาดตัวเองอีกด้วย
แรกเริ่มคนเ่าั้ต่างก็คิดว่าจะอย่างไรก็มีเพียงความตายเท่านั้นที่รอพวกตนอยู่ แล้วเหตุใดจึงต้องทำอะไรให้วุ่นวายเพียงนั้นด้วย เมื่อเว่ยซานรู้เห็นเช่นนั้นก็โกรธจนชักกระบี่ออกมาพร้อมข่มขู่ว่า หากเ้าไม่ทำความสะอาด ก็จะฆ่าทิ้งเสีย
เว่ยซานใช้วิธีเด็ดขาดควบคุมคนเ่าั้ไว้ได้ ส่วนเยว่หัวก็นำบรรดาสตรีที่เพิ่งตรวจพบว่าติดโรคระบาดไปช่วยกันต้มน้ำ เพื่อให้คนที่ติดโรคเ่าั้ได้ใช้ทำความสะอาดชำระกาย ก่อนจะผลัดเปลี่ยนมาเป็อาภรณ์ใหม่สะอาดอ้านที่ล้วนแต่นำมาจากด้านนอกทั้งหมด ส่วนอาภรณ์ที่เปลี่ยนออกมาแล้วนั้น เยว่หัวก็สั่งให้คนนำลงไปต้มในกระทะ ที่นี่ไม่มีเครื่องฆ่าเชื้ออุณหภูมิสูงเหมือนอย่างในยุคปัจจุบัน อวิ๋นซีจึงทำได้แค่ใช้วิธีเช่นนี้มาป้องกัน
หลิ่วเซิงถาม “ตอนนี้แน่ใจแล้วว่าเป็โรคระบาดหนู ข้าจำได้ว่าเมื่อก่อนหนานเย่าเองก็เคยเกิดโรคระบาดหนูขึ้น แต่ไม่ได้ร้ายแรงถึงเพียงนี้” ทั้งที่วันนี้เพิ่งได้เข้ามา แต่พวกเขาก็ได้เห็นศพจำนวนไม่น้อยถูกแบกออกไปเผา
อวิ๋นซีกล่าว “นี่ไม่ใช่โรคระบาดธรรมดา แต่ว่าเป็หนึ่งในสี่โรคระบาดใหญ่ที่ทำให้คนหวาดกลัวที่สุด พวกเราสามารถเรียกมันได้อีกชื่อหนึ่งว่ากาฬโรค” พูดจบ นางให้เยว่หัวนำกระดาษ หมึก และพู่กันมา
หลิ่วเซิงเห็นเช่นนั้นก็ตกตะลึง รีบถาม “เ้ารู้วิธีจัดการกับโรคระบาดหนู? ”
อวิ๋นซีพยักหน้า “ทดสอบดูก่อน จะได้ผลหรือไม่ก็ต้องลองดูก่อนถึงจะรู้” ในยุคปัจจุบัน ต้นตอของกาฬโรคไม่มีหลงเหลือให้เห็นอยู่อีกแล้ว ต่อให้จะยังพบการระบาดอยู่บ้าง แต่ก็สามารถใช้ยาควบคุมได้
ตอนนี้เทียบยาที่นางเขียนขึ้นมาจากหนังสือที่นางเคยยืมมาจากบ้านของเพื่อนที่ค่อนข้างสนิทผู้หนึ่ง ได้ยินว่า หนังสือเล่มนั้นคือหนังสือยาจีนที่สืบทอดมาจากรุ่นบรรพบุรุษของตระกูลเขา เพียงแต่ในยุคปัจจุบัน การแพทย์แผนจีนถูกอิทธิพลของการแพทย์แผนตะวันตกลดทอนคุณค่าลง แม้คุณปู่และคุณพ่อของเพื่อนนางคนนี้จะเป็แพทย์แผนจีนอยู่แล้ว แต่สุดท้ายเพื่อนของนางก็ตัดสินใจเรียนแพทย์แผนตะวันตก
อีกทั้ง เหตุที่นางสามารถจำเทียบยานี้ได้ก็เป็เพราะ้าจะไปสอบถามเพิ่มเติมต่อศาสตราจารย์ว่า เทียบยาที่เขียนอยู่นี้สามารถใช้รักษาคนที่ติดโรคระบาดหนูได้จริงหรือ ตอนนั้นศาสตราจารย์พูดออกมาเพียงประโยคหนึ่ง แพทย์แผนจีนลึกล้ำกว้างไกลเสียยิ่งกว่าแพทย์แผนตะวันตก หากจะรักษาคนได้จริง แล้วจะแปลกตรงไหนล่ะ?
ด้วยเหตุนี้ นางจึงให้ความสนใจเป็อย่างมาก ถึงกับจดจำเทียบยานั้นไว้ทั้งหมด
นางเขียนเทียบยาออกมา จากนั้นก็มอบให้หลิ่วเซิงดู “ข้าเองก็ไม่กล้ารับประกัน เพียงแต่เคยเห็นมาจากตำราโบราณเล่มหนึ่ง ตอนนี้พวกเราทำได้แค่ลองดู” นางเขียนแยกตัวยาสมุนไพรทั้งหมดที่ต้องใช้ออกมา ก่อนจะส่งให้เว่ยซาน “ให้คนไปจัดเตรียมสมุนไพรเหล่านี้ หากในเมืองเฟิงมี ก็ให้คนรีบส่งมาทันที พวกเราจะได้เริ่มเคี่ยวยา ให้คนที่นี่ได้ลองใช้รักษา”
หลังจากนั้นอวิ๋นซีก็ได้บอกเล่าเกี่ยวกับการระบาดของโรคระบาดหนูให้หลิ่วเซิงและเยว่หัวฟัง คนทั้งสองฟังอย่างอึ้งๆ ก่อนที่หลิ่วเซิงจะเริ่มถามด้วยความสงสัยเต็มอก “เ้าบอกว่า โรคระบาดหนูนี้มาจากตัวหมัดบนร่างของหนูอย่างนั้นหรือ? ”
อวิ๋นซีพยักหน้าตอบ “ถูกต้อง”
“นอกจากวิธีเหล่านี้แล้ว เรายังสามารถป้องกันอย่างไรได้อีก” หลิ่วเซิงคิดว่า การตัดสินใจมาที่นี่ครั้งนี้ถือว่าคุ้มค่านัก ไม่เสียทีที่นางเป็บุตรสาวของอวิ๋นซาน ถึงได้รู้เื่มากมายเพียงนี้
“หมัดหนูหวาดกลัวไฟ หรือจะบอกว่าพวกมันกลัวความร้อนก็ได้...” อวิ๋นซีบอกให้หลิ่วเซิงจดวิธีป้องกัน ครั้งนี้โชคดีที่นางรู้ว่าเป็โรคระบาดชนิดใด จึงสามารถบอกวิธีป้องกันออกมาได้ รอกระทั่งหลิ่วเซิงจดเสร็จแล้ว นางก็สั่งให้คนส่งออกไปด้านนอก มอบให้หลี่หรงเฉียว เพื่อให้เขาสั่งคนให้คัดลอกออกมา ก่อนจะส่งไปยังอวี่โจว และทั่วทุกพื้นที่ที่อยู่ถัดไปจากเมืองเฟิง
สมุนไพรที่อวิ๋นซี้ามาถึงอย่างรวดเร็ว ในคืนนี้นางและหลิ่วเซิงจึงช่วยกันเคี่ยวยา จากนั้นก็ป้อนให้เหล่าคนที่ติดโรคระบาดดื่ม หมอทั้งสองยุ่งกันตลอดดคืน ในที่สุดก็ช่วยให้คนที่อาศัยอยู่ในฝั่งเมืองตะวันตกเหล่านี้ดื่มยาลงไปจนครบ
นางเหนื่อยล้าจนนอนพาดไปบนพื้น เมื่อกลับไปถึงเรือนหลังเล็ก อวิ๋นซีก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าจนเรียบร้อยแล้วหลับไปตื่นหนึ่ง ส่วนหลิ่วเซิงกลับเอาแต่เฝ้าดูแม่ลูกคู่นั้นที่ถูกป้อนยาก่อนใครเพื่อน
เขาอยากจะดูว่า เทียบยานี้ได้ผลจริงหรือไม่
อวิ๋นซีหลับไปราวๆ สองชั่วยามก็ตื่นขึ้นมาแล้วเริ่มง่วนอยู่กับตำรับยาและการรักษาอีกครั้ง นางให้คนส่งบรรดาคนที่ติดโรคระบาดเ่าั้ให้ไปอยู่รวมกันในที่แห่งเดียว เพื่อจะได้ง่ายต่อการตรวจรักษา เพราะนางยังจำต้องจดบันทึกอาการของผู้ป่วยเหล่านี้โดยละเอียดอีกด้วย
นอกจากเื่เหล่านี้ นางยังต้องตรวจดูและจัดการกับสิ่งที่คนป่วยเ่าั้อาเจียนออกมา ทุกครั้งล้วนต้องจดบันทึกอาการทุกอย่างที่เกิดขึ้น หลิ่วเซิงและอวิ๋นซีนำเยว่หัวจัดการเื่ต่างๆ ถึงกระนั้นจำนวนคนมีจำกัด แรงกำลังก็มีจำกัด ทว่า ขณะที่อวิ๋นซีกำลังคิดจะให้คนไปเรียกตัวหลี่หรงเฉียวมา ใครจะรู้ เขากลับรีบร้อนนำคนจำนวนหนึ่งมาถึงเมืองฝั่งตะวันตกแล้ว
ยามที่เห็นอวิ๋นซี เขาก็รีบเข้ามาพูดว่า “ั้แ่เมื่อวานจนถึงวันนี้ เมืองเฟิงพบคนที่ติดโรคระบาดอีกสามพันกว่าคนพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อหลิ่วเซิงได้ยิน มือที่กำลังจดบันทึกอยู่ก็ชะงัก เขาขมวดคิ้วพูดว่า “แค่วันเดียวก็สามพันกว่าคน ถ้ารวมกับคนที่ถูกกักตัวอยู่ทางฝั่งตะวันตกนี้ก็มีอยู่แล้วพันกว่าคน...แค่เมืองเฟิงแห่งเดียวก็มีคนติดโรคไปหลายพันคนแล้ว”
หากยังเป็เช่นนี้ต่อไป เกรงว่า เพียงไม่กี่วันเมืองฝั่งตะวันตกนี้คงจะแตกแน่แล้ว
หลี่หรงเฉียวพยักหน้า “พระชายา นอกจากเื่นี้แล้ว คนของกระหม่อมยังพบเื่ที่ร้ายแรงมากอีกเื่หนึ่งพ่ะย่ะค่ะ”
ไม่รู้เพราะเหตุใดเมื่อได้เห็นท่าทางของหลี่หรงเฉียวแล้ว อวิ๋นซีถึงได้รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง นางถามกลับเรียบๆ “เื่อันใด” เื่มาจนถึงขั้นนี้แล้ว แต่ยังจะมีเื่อะไรที่เลวร้ายยิ่งไปกว่าตอนนี้อีก?
“องค์หญิงสามติดโรคระบาดนี้ด้วยแล้วเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ” หลี่หรงเฉียวถอนใจ พูดต่อ “กระหม่อมเองก็เพิ่งจะทราบเื่เมื่อเช้านี้พ่ะย่ะค่ะ เมื่อรู้ข่าวก็รีบไปยังจวนองค์หญิงสามทันที แต่มารู้จากปากของสาวใช้ว่า องค์หญิงสามทรงติดโรคระบาดมาั้แ่หลายวันก่อนแล้ว จนตอนนี้เริ่มจะเสวยพระกายาหารไม่ได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่ออวิ๋นซีได้ยินก็พูดอย่างโมโห “เหตุใดสาวใช้จึงไม่ไปรายงานที่ศาลาว่าการ”
“ได้ยินว่า นี่เป็พระประสงค์ขององค์หญิงสามเองพ่ะย่ะค่ะ ทั้งยังตรัสว่า ลูกหลานราชวงศ์และราษฎรล้วนถูกปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน แต่พระนางไม่อยากถูกส่งตัวไปยังเมืองฝั่งตะวันตก จึงตั้งใจอยากจะใช้เวลาไม่กี่วันสุดท้ายของตนอยู่ในจวน นอกจากนี้ยังทรงปลดระวางบ่าวรับใช้ในจวนทั้งหมดแล้ว”
เมื่อได้ฟังคำของหลี่หรงเฉียว อวิ๋นซีก็อยากจะไปด่าเสด็จอาของจวินเหยียนคนนั้นสักยกเสียเดี๋ยวนี้เลยจริงๆ หากไม่รนหาที่ก็คงไม่ตาย นางน่ะทำตัวเองตายชัดๆ แต่ในเมื่อยามนี้อวิ๋นซีรับรู้แล้วก็ไม่อาจนิ่งเฉยดูดายอยู่ได้
นางบอกให้หลิ่วเซิงคอยดูแลสถานการณ์ทางนี้ไว้พร้อมกับทำบันทึกการรักษาให้ดี ส่วนตัวนางจะออกไปจากเมืองฝั่งตะวันตกพร้อมหลี่หรงเฉียว ทว่า ยามที่กำลังจะออกไปจากเมืองฝั่งตะวันตกนี้ ข่าวอีกข่าวหนึ่งที่หลี่หรงเฉียวเพิ่งจะรายงานก็ทำให้อวิ๋นซียิ่งโกรธมากกว่าเดิม