วันเวลาผ่านไป จากหนึ่งวัน เป็เจ็ดวัน ล่วงเลยมาเป็หนึ่งเดือน
เกาหนิงซินวางจดหมายลงบนกลองแล้วปิดฝาอย่างเบามี หนึ่งเดือนที่ผ่านมาทุกเจ็ดวันจะมีจดหมายมาหนึ่งครั้ง ส่งมาจากเมืองหลวงเซียวเหลียงบอกเล่าสถานการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น ทั้งเื่คดีความที่กำลังจัดการและเื่ที่สกุลสวีฟ้องร้องเธอ ชายหนุ่มบอกว่าไม่ต้องกังวลเื่ภายนอกให้รักษาตัวให้ดีก็พอ คงมีหลายเื่ที่เขาต้องลำบากเพราะเธอแต่ไม่ได้พูดออกมาสินะ
ทำหน้าที่สามีได้ดีจริงๆ
ส่วนเธอก็จะทำหน้าที่ของภรรยาให้ดีเช่นกัน
หญิงสาวยกมือััหน้าท้องที่กลมนูน หากมองอย่างผิวเผินคงคิดว่าครรภ์นี้อายุแปดเก้าเดือนเป็อย่างต่ำ ทว่าความจริงแล้วอายุครรภ์ของเธอพึ่งได้สี่เดือนสามสัปดาห์กับอีกห้าวัน อีกสองวันอายุครรภ์นี้จะเต็มห้าเดือน ตอนนี้หญิงสาวใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่แต่ในห้อง นอนเอนหลังอยู่บนเตียงบ้างบนตั่งข้างหน้าต่างบ้าง ่เช้าและตอนเย็นต้องลุกเดินรอบห้องหนึ่งรอบ ตอนนี้ยังไม่มีอาการผิดปกติใดๆแค่รู้สึกเหมือนหญิงท้องแก่ใกล้คลอดเท่านั้น ทั้งหมอท่านป้าต่างย้ายมาอยู่เรือนของเธอกันหมด ป้องกันไว้ก่อนดีที่สุด การรักษาอย่างทันท่วงทีช่วยเพิ่มให้มีโอกาสประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้น
เกาหนิงซินลืมตาขึ้นจากการฟักสายตาเมื่อได้ยินเสียงความวุ่นวายด้านนอก ในใจพลางคิดว่านี่เป็เรือนชั้นในของจวนเ้าเมืองยังมีผู้ใดกล้ามาส่งเสียงเช่นนี้ คิ้วเรียวดั่งกิ่งหลิวเลิกขึ้นเล็กน้อยนั่นเป็สัญญาณว่าเ้าตัวเริ่มจะหงุดหงิดเล็กน้อย
ยิ่งท้องโตขึ้นอารมณ์ของคนเป็แม่ก็ยิ่งแปรปรวน
“นายหญิงบ่าวจะออกไปสอบถามเ้าค่ะ”ปี้เจินที่กำลังปลอกเปลือกส้มรีบละมือลงเมื่อเห็นนายหญิงของตนแสดงท่าทีว่าเหลืออดแล้ว นางรีบลุกขึ้นแล้วถอยออกไปทันที วันนี้ฮูหยินท่านแม่ทัพไม่อยู่ั้แ่เช้า เพียงแค่นี้ก็มีผู้มาโวยวายถึงเรือนด้านในได้ นี่พ่อบ้านเจียงทำงานเช่นไรกัน เป็ที่ทราบกันดีว่านายหญิงไม่พบแขกหน้าไหนทั้งนั้น
เสียงพูดคุยดังแว่วมาจากลานบ้าน ไม่นานปี้เจินก็เดินกลับเข้ามาด้วยสีหน้าลำบากใจ
“นายหญิงเป็ฮูหยินท่านรองเ้าเมืองเ้าค่ะ นางคุกเข่าร่ำไห้อยู่ด้านนอกขอให้ท่านช่วยเหลือชีวิตคน”ปี้เจินกล่าวรายงานเสียงเบา
“พูดมาให้ชัดเจน”เกาหนิงซินลูบท้องของตัวเองไปมา แรงแตะของแก๊งมินเนี่ยนทั้งสี่ทำให้เธอพักผ่อนไม่ได้
“บุตรสาวสกุลฉีที่แต่งออกไปตอนนี้ท้องแก่ใกล้คลอดเต็มทีฉีซื่อเจ็บท้องมาสามวันแล้วยังไม่คลอด ทั้งท่านหมอและหมอตำแยต่างบอกว่า...”ปี้เจินไม่พูดออกมา นายหญิงของนางตั้งครรภ์อยู่จะมารับรู้เื่เช่นนี้ได้เช่นไร
“ให้เ้าพูดเ้าก็พูดมา”เกาหนิงซินรับถ้วยน้ำอุ่นจากฟ่านมามาแล้วยกขึ้นดื่มอึกใหญ่
“บอกว่า...ให้เตรียมจัดงานไว้แต่เนิ่นๆเกรงว่าจะเป็หนึ่งศพสองชีวิต ยามนี้ตระกูลสามีของฉีซื่อส่งตัวนางกลับบ้านเดิมเพราะเกรงว่าหากมีคนตายจะนำรางร้ายแปดเปื้อนหลินอี๋เหนียงที่กำลังครรภ์แก่ใกล้คลอด...เ้าค่ะ”ปี้เจินกลั้นหายใจกล่าวรายนางก้มหน้ามองพื้นไม่กล้ามองสีหน้าของนายหญิงยามนี้เลย
เพล้ง!
ถ้วยน้ำอุ่นถูกปาไปกระทบผนังห้องอย่างแรง ทั้งฟ่านมามและปี้เจินต่างก็คุกเข่าลงอย่างหวั่นเกรง ทั้งสองไม่รู้ว่านายหญิงของตนเองเกิดโทสะด้วยเื่อันใด
“นายหญิงโปรดระงับโทสะ!”
“ไปนำกระดาษกับพู่กันมา”
ปี้เจินรีบลุกขึ้นออกไปทันที ไม่นายสาวใช้ก็นำสิ่งของมาอย่างครบถ้วน ไม่พูดอะไรให้มากเกาหนิงซินเริ่มเขียนข้อความลงกระดาษทันที ใช้เวลาไม่นานข้อความก็ถูกเติมลงจนเต็มหน้ากระดาษ เสร็จแล้วก็ประทับตราประจำตำแหน่งฉินเซี่ยวกงฟูเหริน
“ไปเรียกฮูหยินรองเ้าเมืองเข้ามา”
ฟ่านมามาถอยออกไปทันทีที่ได้รับค่ำสั่ง นางยืนอยู่ข้างกายนายหญิงสิ่งที่อยู่บนแผ่นกระดาษนางล้วนเห็นมันทุกตัวอักษร นั่นทำให้ฟ่านมาเกิดอาการหนาวเย็นไปทั่วร่างไม่ได้ ไม่นานนักสตรีวัยกลางคนที่แต่งกายสะอาดเรียบร้อยก็เดินตามมามาเข้ามา เมื่อเห็นบุคคลที่กำลังเอนหลังอยู่บนตั่งนางก็ลงไปคุกเข่าหมอบกราบที่พื้นทันที
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ไม่มีเสียงใดๆจากผู้ที่กำลังเอนกายอยู่บนตั่งแม้ครึ่งคำ นั่นยิ่งทำให้ภายในห้องเต็มไปด้วยความอึดอัดและกดดัน
“ข้าได้ฟังเื่ของเ้าแล้ว”ในที่สุดก็มีเสียงดังขึ้นเหนือหัวของฮูหยินท่านเ้าเมืองนั่นทำให้นานสั่นสะท้านโดยไม่ทราบสาเหตุ
“ข้าถามเ้า...เ้ากล้าที่จะท้าทายความตายหรือไม่”น้ำเสียงอันเรียบนิ่งทำให้หลายคนต่างกลั้นหายใจฟัง
“ต่อให้ข้าน้อยต้องตายหากมันจะช่วยบุตรสาวและหลานที่ยังไม่เกิดให้รอดได้ ข้าน้อยก็ยินดี!”ฮูหยินท่านเ้าเมืองเงยหน้าขึ้นมาตอบคำถามด้วยวาจาที่หนักแน่น ไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย
“ข้าไม่ได้ถามถึงเ้า ข้าถามถึงบุตรสาวของเ้าต่างหาก...นางพร้อมที่จะท้ายทายความตายหรือไม่”เกาหนิงซินจ้องสบตาคนที่กำลังคุกเข่าด้วยสายตาอันเฉียบคม
“ฟูเพริน...ท่านหมายถึงสิ่งใด”
“ผ่าท้อง...เอาเด็กออกมา”
“...!”ฮูหยินรองเ้าเมืองแสดงสีหน้าตื่นตระหนกสุดขีด
“กลับไปถามบุตรสาวของเ้าให้ดีให้นางตัดสินใจ ยิ่งเ้าลังเลทั้งแม่และลูกอาจจะช่วยเอาไว้ไม่ได้สักคน”
ฮูหยินเ้าเมืองจับใจความสำคัญได้ไม่กี่คำ ทั้งแม่และลูก! นั่นหวายความว่าสามารถช่วยได้ทั้งสองคนเช่นนั้นรึ ไม่รอเช้าฮูหยินท่านเ้ามาก็โขกศีรษะขอบคุณแล้วกำลังจะลุกขึ้นออกไปทว่ากลับถูกเรียกตัวไว้
“ช้าก่อน...เ้านำสิ่งนี้กลับไปให้บุตรสาวของเ้าหากนางยิยอมก็ให้นางลงชื่อประทับลายนิ้วมือให้เรียบร้อย ส่วนเื่ทางจวนบุตรเขยเ้าข้าจะจัดการเอง...ไปได้ชีวิตคนจะชักช้าไม่ได้ หากตัดสินใจได้ก็พานางมาหาข้า”
“เ้าค่ะ ขอบพระคุณในความกรุณาของฟูเหรินเป็อย่างยิ่ง”ฮูหยินรองเ้าเมืองย่อกายคำนับแล้วรับเอกสารมายังไม่ทันได้อ่านเ้าตัวก็เร่งรีบออกไปทันที
ยังไม่อ่านสิ่งที่เขียนในกระดาษก็รีบร้อนออกไปแล้ว? แต่วานั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญเท่าไหร
“ปี้เจินไปแจ้งท่านหมอซวีให้เตรียมห้องผ่าตัดให้พร้อม เราจะผ่าคลอดหญิงท้องแจ้งที่เจ็บท้องคลอดมาแล้วสามวัน ฟ่านมามาไปเชิญท่านป้ากลับมาแจ้งท่านไปว่าข้ารู้สึกไม่สบาย”
“บ่าวจะรีบไปจัดการ”ทั้งสองรับคำและหมุนกายเดินออกไปปฏิบัติตามคำสั่งทันที
ส่วนเกาหนิงซินก็มีสาวใช้อีกสี่คนช่วยประคองลุกขึ้นไปอาบน้ำชำระร่างกาย ต้องเตรียมทุกอย่างให้พร้อมเมื่อผู้ป่วยมาถึงจะได้เริ่มลงมือทันที สิ่งสำคัญของเคสฉุกเฉินคือความเร็ว หญิงสาวก้าวลงสระน้ำขนาดย่อมที่ถูกสร้างขึ้นมาเป็พิเศษสำหรับคนท้องเช่นเธอ นี่เป็น้ำผสมสมุนไพรหลายชนิดที่มีสรรพคุณพิเศษที่ท่านหมอซวีคิดค้นขึ้นมาหลังจากที่เธอบอกความ้าคร่าวๆ ต้องสามารถกำจัดสิ่งสกปกที่ติดอยู่ตามร่างกายได้นั่นเป็สรรพคุณหลักๆที่สำคัญ
เมื่อชำร่างร่างกายเสร็จแล้วก็ต้องเช็ดตัวให้แห้ง สวมชุดชั้นในและชุดเสื้อแขนสั้นและกางเกงผ้าขายาวตามแบบฉบับที่ศัลยแพทย์สวมใส่เข้าผ่าตัด ผ้าฝ้ายย้อมสีน้ำเงินเข้มทำให้หญิงสาวคิดถึงโลกอนาคตขึ้นมาทันที สวมเสื้อผ้าเสร็จแล้วเธอก็นั่งลงบนเก้าอี้ให้สาวใช้ใสหมวกคลุมให้ หญิงสาวหลับตาครุ่นคิด...นี่ไม่ใช่สถานการณที่ควบคุมไม่ได้ สถานการณ์ที่ควบคุมไม่ได้จริงๆก็คือการรักษาผู้ป่วยท่ามกลางสนามรบ
ไม่ว่าจะยุคสมัยไหนหากว่าอยู่ท่ามกลางการฆ่าฟันการรักษาผู้าเ็ยากยิ่งกว่าการปีนขึ้นูเาที่สูงชัน อุปกรณ์ที่จำกัด ยามีจำกัด ไร้ซึ่งผู้ช่วย ต้องรักษาแบบตามมีตามเกิดอย่างแท้จริง
เกาหนิงซินเดินผ่านห้องที่เชื่อมต่อกันมาหยุดอยู่ตรงหน้าห้องผ่าตัด อ่างทองเหลืองสี่ใบวางเรียงรายกันอยู่บนโต๊ะอ่างแต่ละใบใส่น้ำที่แตกต่างกันห้าชนิด หนึ่งน้ำเกลือที่ต้มสุก สองน้ำยาสมุนไพร สามน้ำเกลือต้มสุก สี่เป็สุราขาวฤทธิ์แรง
อันดับแรกต้องจุ่มมือไปจนถึงข้อศอกในน้ำเกลือเสร็จแล้วหยิบสบู่สมุนไพรจากกล่องที่ปิดผนึกออกมาทำการขัดถือ ทุกซอกทุกมุมทั้งฝ่ามือ หลังมือ ปลายนิ้ว ง่ามนิ้ว ข้อมือ แขนยาวไปจนถึงข้อศอก เมื่อขัดถูจนแน่ใจแล้วว่าสะอาดพอหญิงสาวก็ทิ้งสบู่ลงถังขยะ แล้วจุ่มล้างคราบสบู่ในอ่างถัดไป นิ้วมือทั้งสิบกางออกเล็กน้อยค่อยๆจุ่มเริ่มจากปลายนิ้วไปจนถึงข้อศอกอย่างช้าๆ ขั้นตอนนี้ทุกส่วนของมือและแขนต้องไม่ััสิ่งใดนอกจากน้ำเท่านั้น
ทุกขั้นตอนก่อนการลงมีดล้วนสำคัญ จะละเลยไปไม่ได้
เธอไม่มีความสามารถพอที่จะผลิตยาปฎิชีวนะ
ดังนั้นหากมีเปอร์เซ็นที่จะลดการติดเชื้อในกระแสเืได้เธอก็จะทำ
หวังว่าภูมิคุ้มกันของคนโบราณจะแข็งแรงพอ
...
“เรียนฟูเหรินอาการของฉีฮูหยินก็เป็เช่นนี้”ท่านหมอและหมอตำแยที่ติดตามฮูหยินรองเ้าเมืองมาได้บอกเล่าอาการของผู้ป่วยตามคำถามของฉินเซียวกงฟูเหรินโดยไม่กล้าปิดปัง
“ข้าเข้าใจแล้ว”เกาหนิงซินรับคำแล้วหัดกลับไปมองผู้ป่วยที่นอนอยู่บนเตียงผ่าตัดด้วยสายตาสงบนิ่ง ทั้งอย่างใกล้เตรียมจนพร้อม กาจัดการผู้ป่วยถือว่าอยู่ในระดับที่ดี ม่านกั้นและผ้าคลุมตัวเหลือไว้เพียงส่วนหน้าท้องที่เปลือยเปล่า ตอนนี้ท่านหมอซวีได้ทำการวาดเส้นสำหรับลงมีดไว้แล้ว
“เรามาทบทวนประวัติของคนไข้ก่อนที่จะเริ่มผ่านตัด”
“คนไข้ ฉีเจียวเจียว อายุ24ปี คนไข้ฉุกเฉินเจ็บครรภ์คลอดบุตรเมื่อสามวันที่แล้ว อาการเบื้องที่วินิจฉัยคือทารกอยู่ในท่าที่ผิดปกติจึงไม่สามารถคลอดตามธรรมชาติได้ จึงลงความเห็นว่าการผ่าคลอดฉุกเฉินเป็ทางเลือกเดียวที่จะสามารถช่วยชีวิตทั้งมารดาและบุตรได้ ทุกท่านในที่นี้มีความเห็นหรือไม่”
“ไม่มี”ทุกคนกล่าวอย่างพร้อมเพรียง
“ผู้ช่วยซู คนไข้หมดสติอย่างสิ้นเชิงหรือยัง”เกาหนิงซินหันไปถามวิสัญญีแพทย์จำเป็ที่เธอเป็ผู้ฝึกหัดมาด้วยตนเอง วางยาสลบ ติดตามสัญญาณชีพโดยการวัดชีพจรและจดบันทึกในหนึ่งนาทีสัญญาณชีพของคนไข้ต้องไม่อยู่ในขั้นวิกฤติ โดยใช้นาฬิกาทรายจับเวลาของบรรณาการที่เธอหามันเจอในคลังสมบัติของเซียวเหลียง เกาหนิงซินเป็ทหารหน่วยรบพิเศษย่อมต้องได้รับการฝึกมาให้นับเวลาในสถนการณ์ที่ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวก นาฬิกาทรายอันเล็กนี้ใช้เวลาที่ทรายไหลจนหมดในหนึ่งนาทีพอดี
“เรียนอาจารย์หมอคนไข้หมดสติอย่างสิ้นเชิง ระยะเวลาในการวางยาสลบสองชั่วยาม”
“เอาล่ะ เริ่มการผ่าตัดได้”
มีด...
