“ซิ่วเอ๋อร์” กู้หลินหลางเดินเข้ามาหยุดตรงหน้า จ้องมองนางด้วยแววตาลึกล้ำ กล่าวว่า “เหตุใดกัน? หากข้าไม่ได้ทำสิ่งใดผิด เหตุใดเ้าจึงหมางเมินข้าถึงเพียงนี้?”
ได้ยินเช่นนั้น อันซิ่วเอ๋อร์แทบอยากจะตวาดใส่หน้าเขา ‘เหตุใดงั้นหรือ? เหตุใดตอนนั้นข้ายอมทิ้งทุกสิ่งเพื่อติดตามท่านไป แต่สุดท้ายท่านกลับคิดจะทอดทิ้งข้า?’
ทว่าคำพูดเ่าั้ นางทำได้เพียงกล้ำกลืนลงคอ เื่ราวในความฝันนั้นถึงจะสมจริงเพียงใด แต่ก็เป็เพียงความฝัน หากเอ่ยออกไป มีแต่จะถูกหัวเราะเยาะเปล่าๆ
“ท่านอาจารย์กู้ ข้าเคยบอกท่านไปแล้วครั้งหนึ่ง ว่าข้ากำลังจะแต่งงาน” อันซิ่วเอ๋อร์เงยหน้าขึ้น กล่าวกับเขาอย่างชัดเจน “ดังนั้น ต่อไปภายหน้า ขอท่านอาจารย์กู้โปรดสำรวมและรักษาระยะห่าง อย่าได้ทำสิ่งใดที่อาจทำให้คนอื่นเข้าใจผิดอีกเลยเ้าค่ะ”
“ซิ่วเอ๋อร์...” พอเห็นอันซิ่วเอ๋อร์ทำท่าจะเดินจากไป กู้หลินหลางก็รีบคว้าข้อมือนางไว้ อันซิ่วเอ๋อร์จ้องมองเขาเขม็ง ทว่าเขากลับรู้สึกว่าแววตาคู่นั้นไม่ได้มีเพียงความโกรธเคือง หัวใจพลันเต้นระรัวราวกับถูกกระแสไฟฟ้าแล่นผ่าน ซาบซ่านไปทั่วทั้งร่าง
ครั้นเมื่อได้สติกลับคืนมา อันซิ่วเอ๋อร์ก็หน้าแดงก่ำด้วยความอับอายและโกรธเคือง เขาจึงจำต้องปล่อยมือนาง แล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ ส่งให้นางพลางกล่าวว่า “เ้ายังจำได้หรือไม่? ไม่นานมานี้ เ้ายังอุตส่าห์ปักผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ให้ข้า ถึงกับยอมให้เข็มทิ่มตำนิ้วมือตัวเอง แล้วเหตุใดบัดนี้ เ้าถึงได้เปลี่ยนใจเร็วเช่นนี้?”
อันซิ่วเอ๋อร์มองผ้าเช็ดหน้าผืนนั้น ลายดอกบัวคู่ที่ปักไว้อย่างประณีตดูราวกับมีชีวิต ในตอนนั้นนางปักมันด้วยความรักและความตั้งใจเพียงใด นางจำไม่ได้เสียแล้ว แต่พอนึกถึงภาพในวันวาน ก็ยังรู้สึกแก้มร้อนผ่าวขึ้นมา
นางพยายามระงับอารมณ์ แย้มยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ท่านอาจารย์กู้กล่าวเกินไปแล้วเ้าค่ะ มันก็แค่ผ้าเช็ดหน้าราคาไม่กี่อีแปะ ข้าปักขายที่ตลาดอยู่ทุกเดือน ไม่เห็นจะมีค่าพอให้ท่านอาจารย์ต้องจดจำมาถึงบัดนี้เลย หากการกระทำของข้าในตอนนั้นทำให้ท่านอาจารย์เข้าใจผิดไป ข้าก็ต้องขออภัยท่านอาจารย์ด้วยนะเ้าคะ”
“ซิ่วเอ๋อร์ ข้าชอบเ้าจริงๆ ข้ารู้ว่าเ้าถูกบังคับให้แต่งงานกับเ้าจางตาบอดนั่นก็เพราะเื่เงิน หากเป็เช่นนั้น ข้าก็สามารถนำเงินไปสู่ขอเ้าที่บ้านได้...”
คำพูดของกู้หลินหลางยังไม่ทันจบ ก็ถูกอันซิ่วเอ๋อร์ขัดจังหวะขึ้นเสียก่อน นางตวาดเสียงเข้ม “ท่านอาจารย์กู้ โปรดระวังคำพูดด้วย! ท่านเป็ถึงบัณฑิต ต่อให้ข้าไม่ได้จะแต่งงานกับจางเจิ้นอัน การใช้คำพูดดูถูกผู้อื่นเช่นนี้ ท่านคิดว่าเหมาะสมแล้วหรือเ้าคะ?”
ได้ยินดังนั้น ใบหน้าของกู้หลินหลางก็เดี๋ยวแดงเดี๋ยวซีด เขาคาดไม่ถึงเลยว่าอันซิ่วเอ๋อร์ในยามนี้จะปากคอเราะรายได้ถึงเพียงนี้
แต่ก็จริงอย่างที่นางว่า บ้านของเขาเต็มไปด้วยตำราและคำสอนของปราชญ์ นางคงได้เรียนรู้อะไรไปบ้างเป็ธรรมดา
“เอาเถิด ซิ่วเอ๋อร์ ข้าผิดไปแล้ว” เมื่อเห็นอันซิ่วเอ๋อร์ไม่ไยดีตน กู้หลินหลางจึงยอมลดทิฐิลง เอ่ยขอโทษนาง แล้วกล่าวต่อว่า “ให้โอกาสข้าเถอะนะ คืนนี้ข้าจะไปที่บ้านเ้า ข้าสามารถมอบเงินทองให้พ่อแม่เ้าได้ แล้วเ้าก็จะได้ไม่ต้องแต่งงานกับจางเจิ้นอันอีก”
“หึ...” อันซิ่วเอ๋อร์แค่นหัวเราะเบาๆ ไม่สนใจคำพูดของเขาอีก หันหลังเดินจากไปทันที
กู้หลินหลางมองตามแผ่นหลังของอันซิ่วเอ๋อร์ที่เดินลับไปอย่างเหม่อลอย ครั้นเมื่อได้สติ ใบหน้าก็ฉายแววอำมหิตขึ้นมาเล็กน้อย เดิมทีคิดจะจับปลาสองมือโดยไม่ต้องลงทุน ดูท่าแล้ว หากไม่ยอมควักเงินออกมาบ้าง เื่คงไม่สำเร็จเป็แน่
อันซิ่วเอ๋อร์เดินกลับมายังโต๊ะหิน อันหรงเหอกินข้าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ถ้วยชามถูกเก็บใส่ตะกร้าอย่างเป็ระเบียบ พอเห็นอันซิ่วเอ๋อร์เดินมา เขาก็รีบเช็ดปาก แล้วเรียกนางอย่างดีใจ “ท่านอา”
“ท่านอา ท่านอาจารย์เรียกท่านไปทำอะไรหรือขอรับ?” เขาถามด้วยความอยากรู้
“เ้าคิดว่าเื่อะไรล่ะ?” อันซิ่วเอ๋อร์ใช้นิ้วชี้จิ้มหน้าผากหลานชายเบาๆ “เมื่อเช้าไม่ได้ฟังที่อาจารย์สอน มัวแต่เหม่อลอยใช่หรือไม่?”
“ข้าเปล่าเหม่อนะขอรับ” อันหรงเหอรีบส่ายหน้าปฏิเสธ
“เปล่าเหม่อ?” อันซิ่วเอ๋อร์เลิกคิ้วมอง “เมื่อครู่ท่านอาจารย์กู้เพิ่งบอกอา ว่าตอนเรียนเ้าเอาแต่มองนกบนต้นไม้ เื่นี้จะเป็เื่โกหกไปได้อย่างไร?”
“ข้าขอโทษขอรับ ท่านอา” เมื่อเห็นอันซิ่วเอ๋อร์รู้เื่ราวโดยละเอียด อันหรงเหอก็จำต้องยอมรับแต่โดยดี เขาก้มหน้าลง กล่าวขอโทษเสียงอ่อย “วันนี้ท่านอาจารย์สอนเื่ 'ซานจื้อจิง' บทที่ว่า 'เมื่อบิดามารดายังอยู่ ไม่ควรเดินทางไกล' พอข้าได้ยินประโยคนี้ ก็นึกถึงท่านพ่อขึ้นมาน่ะสิขอรับ ในเมื่อพ่อแม่ยังอยู่ไม่ควรไปไกล แล้วทำไมท่านปู่ท่านย่าก็ยังอยู่ แต่ท่านพ่อกลับต้องจากบ้านไปทำงานข้างนอกเล่าขอรับ? พอถึงฤดูใบไม้ผลิ พวกนกน้อยยังบินกลับรัง แล้วเหตุใดท่านพ่อของข้าถึงยังไม่กลับบ้านเสียทีล่ะขอรับ?”
เด็กชายอายุยังน้อย เสียงยังเล็กแหลม พอพูดถึงตอนท้าย น้ำเสียงก็เริ่มสั่นเครือคล้ายจะร้องไห้ อันซิ่วเอ๋อร์จึงลูบศีรษะเล็กๆ ของเขาเบาๆ แล้วกล่าวว่า
“เพราะเื่นี้เองสินะ เ้าถึงไม่ได้ตั้งใจเรียน บิดามารดายังอยู่ ไม่ควรเดินทางไกลก็จริง แต่การเดินทางก็ต้องมีเหตุผล ท่านพ่อของเ้าต้องออกไปทำงานข้างนอก ก็เพื่อหาเงินมาเป็ค่าเล่าเรียนให้เ้า และเพื่อความเป็อยู่ของทุกคนในครอบครัว ดังนั้น เ้าถึงต้องยิ่งตั้งใจเรียนให้ดี เข้าใจหรือไม่?”
“เข้าใจแล้วขอรับ” อันหรงเหอพยักหน้ารับคำ
อันซิ่วเอ๋อร์จึงกล่าวต่อ “คืนนี้กลับไปทำตัวดีๆ นะ ท่านย่ารู้เื่ที่เ้าไม่ตั้งใจเรียน ก็โกรธมากทีเดียว แต่ไม่ต้องกลัว มีอาอยู่ทั้งคน อาจะช่วยพูดให้เ้าเอง”
พูดพลาง นางก็หยิบลูกอมสองเม็ดออกมาจากอกเสื้อ ส่งให้หลานชาย “นี่ อาซื้อมาจากตลาดวันนี้ ให้เ้ากิน”
“ขอบคุณขอรับ ท่านอา” ขนมหวานย่อมมีเสน่ห์ดึงดูดใจเด็กเสมอ แม้จะเป็เพียงลูกอมมันเทศราคาถูกสองเม็ดก็ตาม
“ถ้าเช่นนั้นอาไปก่อนนะ ตั้งใจเรียนหนังสือล่ะ” อันซิ่วเอ๋อร์กล่าวจบก็ลุกขึ้นยืน เดินออกจากสำนักศึกษาไป
ระหว่างเดินกลับบ้าน อันซิ่วเอ๋อร์คิดว่าหากนำอาหารที่แทบไม่แตะต้องสำรับนี้กลับไป เหลียงซื่อคงต้องเสียใจแน่ๆ นางจึงแอบวางกล่องอาหารซ่อนไว้ในพุ่มไม้หน้าประตูบ้าน แล้วจึงเดินตัวเปล่าเข้าบ้านไป
“กลับมาแล้วรึ? เอาข้าวไปส่งให้ท่านอาจารย์หรือยัง?” เหลียงซื่อเอ่ยถาม
“ส่งเรียบร้อยแล้วเ้าค่ะ ท่านอาจารย์กู้ยังชมว่าท่านแม่ทำอาหารอร่อยมาก บอกว่าข้าวที่ท่านหุงน่ะ ไม่แข็งไม่อ่อนนุ่ม กำลังดีเลยเ้าค่ะ” อันซิ่วเอ๋อร์ปั้นหน้ายิ้มตอบ
“ดีแล้วๆ” ใบหน้าของเหลียงซื่อพลันปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาทันที นางรับตะกร้าเปล่าจากมืออันซิ่วเอ๋อร์ แล้วถามต่อ “แล้วทำไมไม่เอากล่องข้าวกลับมาด้วยล่ะ?”
“ท่านอาจารย์กู้กินข้าวยังไม่เสร็จเ้าค่ะ ข้าเห็นว่าต้องรีบไปส่งข้าวให้ท่านพ่อต่อ เลยไม่ได้รอเขาน่ะเ้าค่ะ” อันซิ่วเอ๋อร์ตอบ
“อ้อ เป็อย่างนี้นี่เอง” เหลียงซื่อจึงจัดแจงนำอาหารที่เตรียมไว้ใส่ลงในตะกร้าอีกใบ ยื่นให้อันซิ่วเอ๋อร์ “ถ้าเช่นนั้น เ้ารีบเอาข้าวไปส่งให้พ่อเ้าเถอะ”
“เ้าค่ะ” อันซิ่วเอ๋อร์รับตะกร้ามา แล้วรีบวิ่งออกจากบ้านไป นางแวะไปหยิบกล่องอาหารที่ซ่อนไว้หน้าประตู เปิดออก เทข้าวสวยที่อยู่ชั้นบนสุดลงบนใบไม้ใบใหญ่ พับเก็บไว้อย่างดี ตั้งใจจะนำไปให้ไก่กินทีหลัง จากนั้นก็หยิบไข่ต้มสองฟองออกมาซ่อนไว้ในอกเสื้อ ปิดฝากล่องอาหารตามเดิม แล้วจึงมุ่งหน้าไปยังทุ่งนา
เมื่อมีข้าวเพิ่มมาอีกหนึ่งถ้วย พ่อเฒ่าอันและคนอื่นๆ ก็ได้กินกันอิ่มหนำถ้วนหน้า ขากลับบ้านก็เจอสองพี่น้องต้ายาและเอ้อร์ยาพอดี อันซิ่วเอ๋อร์แย้มยิ้ม เรียกพวกนางมา แล้วมอบไข่ต้ม ลูกอม และยางรัดผมสีแดงให้ พร้อมกำชับว่าอย่าให้เหลียงซื่อรู้เป็อันขาด สองพี่น้องดีใจกันยกใหญ่ ท่าทางทะนุถนอมไข่ต้มและลูกอมอย่างระมัดระวังนั้น ทำให้อันซิ่วเอ๋อร์รู้สึกปวดใจอยู่ลึกๆ
โชคดีที่เขารังเกียจอาหารมื้อนั้น มิเช่นนั้นแล้ว นางจะมีโอกาสได้เห็นรอยยิ้มเปี่ยมสุขของต้ายากับเอ้อร์ยาเช่นนี้ได้อย่างไร
พอกินอาหารกลางวันเสร็จ อันซิ่วเอ๋อร์ก็กลับเข้าห้องไปนั่งปักผ้าต่อ ลองนับนิ้วดูแล้ว เหลืออีกเพียงเจ็ดแปดวันก็จะถึงวันที่ยี่สิบแปดตามกำหนด พอคิดว่าตนเองกำลังจะกลายเป็ภรรยาของคนอื่น ในใจนางก็ยังคงรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึงอยู่ดี
ชีวิตในวันข้างหน้าจะเป็อย่างไรต่อไป? อันซิ่วเอ๋อร์วางสะดึงในมือลง เดินไปที่หน้าต่าง
นางผลักบานหน้าต่างที่เก่าซอมซ่อออก มองดูต้นสนใหญ่กลางลานบ้านที่เขียวชอุ่ม แผ่กิ่งก้านเต็มไปด้วยพลังชีวิต ่นี้เป็ฤดูใบไม้ผลิ กิ่งก้านเก่าแก่ต่างผลิยอดอ่อนสีเขียวสดใสดุจมรกต
อันซิ่วเอ๋อร์ถอนหายใจเบาๆ ยกม้านั่งตัวเล็กมาวางไว้หน้าประตูห้อง แล้วนั่งลงตรงนั้น ปล่อยให้สายลมพัดผ่านเส้นผมไปเงียบๆ เหม่อมองต้นไม้ใหญ่ในลานบ้านอย่างเลื่อนลอย
สายลมพัดโชยมา ใบไม้เสียดสีกันเป็เสียงซ่าๆ แสงตะวันยามบ่ายคล้อยทอดเงาลงบนร่างของนาง อาบร่างบอบบางนั้นไว้ด้วยสีทองเรืองรอง
จางเจิ้นอันกับแม่สื่อฮวาเดินเข้ามาในบ้านก็ในเวลานี้เอง วันนี้หลังจากได้พบอันซิ่วเอ๋อร์ เขาก็นึกขึ้นได้ว่าธรรมเนียมการแต่งงานในชนบท แม้จะไม่ยุ่งยากซับซ้อนเท่าในเมือง แต่ก็ยังมีพิธีรีตองบางอย่างที่ต้องจัดการ พอดีกับที่แม่สื่อฮวาแวะมาที่บ้าน เขาเองก็ไม่มีธุระอะไร จึงถือโอกาสมาด้วยกันเสียเลย
เขายังคงสวมเสื้อผ้าสีเข้มและงอบใบลาน เครื่องแต่งกายแปลกตาบวกกับท่าทางเคร่งขรึมนั้น ทำให้เขาดูราวกับปีศาจร้ายที่เดินอยู่ในเงามืด ส่วนนางผู้นั่งอยู่ท่ามกลางแสงตะวัน กลับดูงดงามบอบบางราวกับเทพธิดาที่พลัดหลงลงมาบนโลกมนุษย์
นางยังดูอ่อนเยาว์ เป็เพียงเด็กสาวแรกรุ่นเท่านั้น ทว่าบนใบหน้าของจางเจิ้นอันกลับเต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งความกร้านโลก ราวกับชายวัยสามสิบกว่าปี แม่สื่อฮวามองภาพของคนทั้งสองที่ดูไม่เข้ากันอย่างยิ่งนี้ ก็ได้แต่ถอนหายใจในใจ แววตาฉายแววรู้สึกผิดอยู่ครู่หนึ่ง ทว่าเพียงพริบตาเดียว ใบหน้าอวบอูมของนางก็กลับมาประดับด้วยรอยยิ้มกว้างเช่นเดิม
“พ่อเฒ่าอันอยู่ไหมเ้าคะ?” นางะโถามเข้าไปในบ้าน
ยังไม่ทันสิ้นเสียง เหลียงซื่อก็เดินออกมาจากในครัว พอเห็นแม่สื่อฮวา ใบหน้าก็พลันมีรอยยิ้ม รีบกล่าวเชื้อเชิญ “อ้าว แม่สื่อฮวานี่เอง เข้ามาข้างในก่อนสิ”
“อีกไม่กี่วันหนูซิ่วเอ๋อร์ก็จะได้ออกเรือนแล้ว ท่านจางอุตส่าห์มาบ้านท่านด้วยตัวเอง ก็เพื่อจะมาถามไถ่ว่าวันแต่งงาน ทางพวกท่านมีอะไรจะเรียกร้องเป็พิเศษหรือไม่ ต้องจัดงานเลี้ยงกี่โต๊ะ ดูสิเ้าคะ ถึงแม้ท่านจางจะตัวคนเดียว ไม่มีญาติพี่น้อง แต่เขาก็ให้ความสำคัญกับหนูซิ่วเอ๋อร์ของพวกท่านมากนะ ต่อไปภายหน้าพอแต่งเข้าไปแล้ว รับรองว่าต้องมีชีวิตที่ดีแน่นอน อย่างน้อยก็มีข้าวกินอิ่ม มีเนื้อมีปลากินไม่ขาดปากล่ะ”
อันซิ่วเอ๋อร์ได้ยินคำพูดของแม่สื่อฮวา ก็เหลือบมองนางแวบหนึ่ง รอยยิ้มของนางดูเสแสร้งจนเกินจริง ใบหน้าที่อวบอ้วนนั้นมีเนื้อหนังเบียดเสียดกันจนดวงตาแทบจะปิดสนิท
“ท่านจาง ว่าจริงไหมเ้าคะ?” เห็นจางเจิ้นอันไม่ตอบรับคำพูดของตน แม่สื่อฮวาก็รู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย จึงหันไปถามเขา จางเจิ้นอันจึงตอบกลับมาเสียงเรียบเพียงคำเดียวว่า “อืม”
เหลียงซื่อเห็นท่าทีเ็าของจางเจิ้นอันเช่นนี้ หัวใจก็พลันหล่นวูบไปถึงตาตุ่ม ต่อให้แม่สื่อฮวาจะพูดจาหว่านล้อมดีเพียงใด แต่ท่าทีของเขาก็แสดงออกมาชัดเจน นี่หรือคือท่าทีของคนที่จะมาสู่ขอลูกสาว? ใบหน้าดำคล้ำเคร่งขรึม ราวกับมาเพื่อทวงหนี้แค้นเสียมากกว่า ชวนให้ผู้คนรู้สึกหวาดหวั่นอย่างบอกไม่ถูก
อย่างไรก็ตาม แขกมาถึงเรือนชานแล้ว เหลียงซื่อจึงได้แต่ฝืนยิ้ม ต้อนรับคนทั้งสองเข้าไปในบ้าน
เื่ที่พวกเขาจะพูดคุยกันนั้น ไม่เหมาะที่เด็กสาวที่ยังไม่ได้ออกเรือนเช่นอันซิ่วเอ๋อร์จะได้ยิน นางจึงไม่ได้เข้าไปใกล้ ยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม มองดูแสงตะวันค่อยๆ ลาลับไปจากร่างของนาง
อีกไม่นาน ตะวันก็ลับขอบฟ้า พ่อเฒ่าอันกับอันเถี่ยมู่และลูกสะใภ้รองก็กลับมาจากทุ่งนา พอเห็นว่าในบ้านเหมือนจะมีแขกอยู่ พ่อเฒ่าอันจึงถามอันซิ่วเอ๋อร์ นางเพียงส่งสัญญาณให้เขา เขาก็เข้าใจความหมายทันที
เขาสั่งให้สองสามีภรรยาอันเถี่ยมู่นำเครื่องมือทำนาไปเก็บ แล้วอ้อมไปทางหลังบ้านเพื่อล้างมือล้างเท้าให้สะอาดเรียบร้อย จากนั้นจึงค่อยๆ เดินเข้าไปในห้องโถง
เสียงพูดคุยดังแว่วออกมา อันซิ่วเอ๋อร์ได้ยินพวกเขาพูดคุยกันเื่การจัดงานเลี้ยง ตลอดการสนทนานั้น จางเจิ้นอันพูดน้อยมาก แทบจะไม่มีบทสนทนาใดๆ พ่อเฒ่าอันเสนออะไรมา เขาก็ไม่โต้แย้ง นานๆ ครั้งจึงจะตอบรับด้วยคำว่า “อืม” เพียงสั้นๆ เท่านั้น
