ส่วนเสี่ยวหมี่ก็เรียกมือเย็บปักรอบก่อนกลับมาทำตุ๊กตาชุดใหม่โดยพร้อมเพรียง
เนื่องจากกระต่ายน้อยปีเตอร์รอบที่แล้วขายได้กำไรงาม ทุกคนได้รับผลกำไรกันถ้วนหน้า จึงมีความมั่นใจกันมาก
รอบนี้เสี่ยวหมี่ส่งแบบร่างแมวไคตี๋ [1] ให้พวกนาง จึงไม่มีใครมีท่าทางลังเลแม้แต่น้อย
หนังกระต่ายขาวที่แต่ละครอบครัวล่ามาได้ในที่สุดก็ได้นำออกมาใช้ แน่นอนว่าส่วนนี้ก็นับเป็ต้นทุน
ที่จริงแล้วเสี่ยวหมี่ยังรู้สึกขาดความมั่นใจอยู่บ้าง อย่างไรเสียในชาติก่อนก็มีการ์ตูนภาพเคลื่อนไหวคอยนำเสนอความน่ารักของมันอยู่ แต่ในชาตินี้ลักษณะแปลกประหลาดของแมวน้อยตัวนี้ไม่รู้ว่าจะได้รับความนิยมจากบรรดาคุณหนูในเมืองหลวงหรือไม่ นางไม่มั่นใจเลยจริงๆ
แต่นางร่างแบบไว้เรียบร้อยแล้ว อุปกรณ์เสริมเล็กๆ ที่เข้าชุดกันก็วาดไว้เสร็จหมดแล้ว นางเลือกเฉดสีกระโปรงหวานแหววเอาไว้หมดแล้วด้วย คิดว่าความน่ารักนี้คงพอจะเอาชนะใจคุณหนูเ่าั้ได้ นางได้แต่ภาวนาให้เป็เช่นนั้น
ถึงแม้ในใจจะลังเลเพียงใด แต่นางไม่แสดงออกทางสีหน้าให้เห็นแม้แต่น้อย ยังคงพูดคุยหัวเราะกับทุกคน ทำให้พวกสะใภ้ทั้งหลายวางใจ
ท่านป้าหลิวคอยดูแลเสี่ยวเตาอยู่ที่บ้าน ครั้งนี้คนที่มาคือกุ้ยจือเอ๋อร์ ท้องของนางใหญ่มากแล้ว คงใกล้จะคลอดเร็วๆ นี้ หากเป็ยามปกตินางคงไม่ออกจากบ้านไปไหน ไม่ใช่ว่านางเื่เยอะ หญิงสาวชาวบ้านที่คลอดลูกในคันนาก็มีให้เห็นกันไม่น้อย
เพียงแต่ยามนี้อากาศหนาวเย็นยิ่งนัก หากว่าคลอดลูกนอกบ้านจริงๆ อาจจะต้องลมหนาวจนกลายเป็โรคประจำตัวติดไปตลอดชีวิตก็ได้ การไม่มีโรคถือเป็ลาภอันประเสริฐ
แต่เพราะเสี่ยวเตาไม่รู้ความ เื่ก่อนหน้านี้ถึงแม้จะไม่ใช่เื่ใหญ่อะไร แต่สกุลหลิวก็รู้สึกผิดต่อเสี่ยวหมี่ไม่น้อย พ่อแม่สามีไม่มีหน้ามา กุ้ยจือเอ๋อร์จึงอาศัยข้ออ้างที่ว่าตนมีฝีมือเื่งานเย็บปัก เสนอตัวมาที่บ้านสกุลลู่แทน
ทุกคนยังคงปฏิบัติต่อกุ้ยจือเอ๋ออย่างดีเหมือนปกติ อย่างไรเสียไม่ว่าบ้านไหนๆ ก็มีเด็กซุกซนกันทั้งนั้น อีกอย่างเมื่อเทียบกับบ้านอื่นแล้ว เสี่ยวเตานับว่าเป็เด็กที่รู้ความและเฉลียวฉลาดมากแล้ว
แต่กุ้ยจือเอ๋อร์กลับรู้สึกไม่สบายตัว เด็กในท้องซุกซนเหลือเกิน
แน่นอนว่าเสี่ยวหมี่ก็เห็นอยู่ นางเลื่อนถ้วยใส่น้ำต้มพุทราจีนไปให้นาง ยิ้มเอ่ยว่า “พี่สะใภ้ ท้องท่านก็ไม่เล็กแล้ว หรือว่าหลานชายตัวน้อยจะออกมาแล้วหรือเ้าคะ”
กุ้ยจือเอ๋อร์รับถ้วยมา ตอบว่า “นั่นสิ คำนวณดูแล้วน่าจะประมาณกลางฤดูใบไม้ร่วง แต่สองสามวันมานี้มีความเคลื่อนไหวบ่อยๆ ท่านแม่บอกว่าเหมือนเด็กคนนี้จะรีบร้อน...โอ๊ย”
กุ้ยจือเอ๋อร์ยังพูดไม่ทันจบจู่ๆ ก็ร้องออกมา ทำให้ทุกคนหันไปมองเป็ตาเดียว ยิ้มแย้มกล่าวหยอกล้อว่า “เป็อะไรไป เด็กคนนี้ได้ยินเ้านินทาเขา จึงสำแดงฤทธิ์เดชหรือ”
แต่กุ้ยจือเอ๋อร์กลับมองไปที่ขาของตัวเอง ปากคอสั่นเอ่ยว่า “แตกแล้ว...เหมือนข้าจะคลอดแล้ว”
ทั้งห้องเงียบกริบ ครู่เดียวก็ราวกับสกุณาแตกรัง
“จู่ๆ ทำไมถึงจะคลอดแล้วเล่า ไม่ใช่ว่ายังอีกสิบกว่าวันหรือ?”
“รีบไปเรียกคนสกุลหลิวมา พวกเราช่วยกันแบกกุ้ยจือเอ๋อร์กลับไปก่อน เสี่ยวหมี่ยังเป็เด็กสาวอยู่ จะให้นางมาเห็นเืที่นี่ไม่ได้”
ทุกคนทิ้งงานในมือะโสั่งการกันให้วุ่นวาย
ดีที่ด้านนอกยังเป็กลางวันและเป็่เวลาใกล้เที่ยง อากาศจึงอบอุ่นอยู่มาก
เสี่ยวหมี่ฉีกผ้าผืนยาวที่เพิ่งเย็บเสร็จเมื่อครู่ไปพันร่างกุ้ยจือเอ๋อร์ไว้ ทุกคนต่างไม่มีเวลามาเสียดายของ ช่วยกันแบกกุ้ยจือเอ๋อร์ออกไปจากเรือน
ที่เรือนหน้าบิดาลู่กำลังสอนเด็กๆ ท่องหนังสืออยู่ เมื่อได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวนี้พวกเด็กๆ ก็พากันมาเกาะขอบหน้าต่างดู
พวกผู้หญิงจึงหันไป “มองอะไรกัน พี่กุ้ยจือเอ๋อร์จะคลอดน้องชายตัวน้อยแล้ว พวกเ้าต้องตั้งใจเรียนวันหน้าจะได้สอนน้องชายเขียนอ่านได้”
เด็กๆ พากันส่งเสียงตื่นเต้น จนบิดาลู่ต้องใช้ไม้บรรทัดตีโต๊ะเรียกสติพวกเขากลับมา
ผู้เฒ่าหยางเปิดประตูเรือนพักฝั่งตะวันออก ยิ้มแย้มมองดูกลุ่มคนที่ออกประตูไป เขาหันไปะโคุยกับบิดาลู่ “มีเด็กเกิดใหม่ในหุบเขาหมีถือเป็เื่ดียิ่งนัก”
"ใช่แล้ว คนเยอะ วันหน้าคงครึกครื้นมาก”
บิดาลู่เอ่ยเสริมว่า “สกุลหลิวต้องจัดงานฉลองแน่ ถึงตอนนั้นอย่าลืมไปร่วมดื่มสุราให้ครึกครื้นด้วยเล่า”
เสี่ยวหมี่กอดห่อผ้าฝ้ายและถือตะกร้าไข่ไก่ออกมาจากในครัว เอ่ยว่า “ท่านพ่อ ข้าจะเอาของไปให้ท่านป้าหลิวหน่อยนะเ้าคะ แล้วจะรีบกลับมา”
“ไม่ได้” บิดาลู่หน้าเปลี่ยนสีทันที ตอนที่กำลังจะพูดอะไรนั้น พี่รองลู่ก็พาเสี่ยวเอ๋อกลับมาแล้ว เขาแบกไก่ป่าและกระต่ายขาวจำนวนหนึ่งกลับมาด้วย ในมือยังใช้เชือกหิ้วลูกกวางมาอีกตัวหนึ่ง
เมื่อเขากลับมาเห็นบิดาและน้องหญิงก็มีสีหน้ารู้สึกผิดทันที รีบเข้าไปหาแล้วส่งกวางน้อยในมือไปให้อย่างเอาใจ ยิ้มเอ่ยว่า “คือว่า เสี่ยวหมี่ ข้าไปช่วยงานอาจารย์มานิดหน่อย จึงเสียเวลาไปบ้าง ล่าอะไรดีๆ กลับมาไม่ได้เลย แต่ข้ายังตั้งใจจับกวางน้อยตัวหนึ่งกลับมาให้เ้าเล่นด้วยนะ เ้าดูสิ...”
เสี่ยวหมี่กลอกตา นางโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ ขอแค่เขาไม่สร้างเื่ให้ที่บ้านนางก็พอใจมากแล้ว
ส่วนเสี่ยวเอ๋อนั้นยังคงโกรธเคืองเสี่ยวหมี่ที่ไม่ยอมให้นางไปแจ้งความกับผู้ตรวจการมณฑล จึงเดินกลับเข้าห้องไปด้วยสีหน้าเ็า
พูดตามจริงเื่นี้ก็ออกจะซับซ้อน สกุลลู่รับเสี่ยวเอ๋อไว้ ถือว่าเป็การเสี่ยงอันตรายอย่างที่สุด นับว่ามีบุญคุณต่อเสี่ยวเอ๋อ แต่ตอนหลังกลับห้ามไม่ให้เสี่ยวเอ๋อไปแจ้งความ ก็ดูไร้คุณธรรมอยู่บ้าง ดังนั้นจึงยากจะบอกว่าใครกันแน่ที่ผิด
แต่ยามปกติของกินของใช้ของเสี่ยวเอ๋อ เสี่ยวหมี่เป็คนจัดการให้อย่างดี การที่นางแสดงอากัปกริยาเช่นนี้ก็ออกจะไร้มารยาทอยู่บ้าง
เฝิงเจี่ยนยื่นมือไปปิดหน้าต่างห้องพักลง มือที่จับพู่กันกวัดแกว่งไปมาบนกระดาษลื่นไหลดุจสายน้ำ รอจนผู้เฒ่าหยางเดินเข้ามาแล้วจึงสั่งว่า “เสี่ยวเอ๋อคนนั้นหาวิธีจัดการอย่างเหมาะสมเสีย”
ผู้เฒ่าหยางเข้าใจทันทีว่าการที่นางปฏิบัติตัวเช่นนั้นกับเสี่ยวหมี่ ทำให้นายน้อยโกรธเข้าให้แล้ว จึงรีบตอบรับ “ขอรับ นายน้อยวางใจ”
พูดจบก็เงยหน้ามองเ้านายด้วยใจที่หนักอึ้ง เหมือนว่านายน้อยจะให้ความสำคัญกับเสี่ยวหมี่มากกว่าที่เขาคิดเอาไว้มาก นี่ถือเป็เื่ดีหรือไม่...
เสี่ยวหมี่ยังไม่รู้ตัวว่านางได้รับความรักและถูกปกป้องอย่างดีเพียงใด นางเบะปากน้อยๆ เพราะบิดาไม่ยอมให้นางไปที่บ้านสกุลหลิว นางจึงเรียกพี่รองให้เอาของไปส่งให้แทน
ซูอีที่เพิ่งพาม้ากลับมาเห็นว่าเสี่ยวหมี่เดินจูงกวางน้อยตัวหนึ่งมาก็ชอบใจมาก รีบพามันไปหาหญ้ากิน
กวางน้อยตัวนี้ไม่รู้ว่าเ้ารองลู่ไปจับกลับมาจากไหน บนขนสีแดงอ่อนมีรอยจุดสีขาวๆ ราวกับดอกไม้ ดวงตาดำแวววาว จมูกสีขาว น่ารักเป็ที่สุด ทำให้เสี่ยวหมี่เกิดความรู้สึกเอ็นดูขึ้นมา นางลูบหัวมันยิ้มแย้มไม่หยุด
พี่รองลู่ไปส่งของกลับมาแล้ว เห็นว่าตนเอาอกเอาใจน้องหญิงได้สำเร็จก็เอ่ยวาจาโอ้อวดว่า “น้องหญิง หากว่าเ้าชอบ ข้าจะไปจับกลับมาอีก”
“ตัวเดียวก็พอแล้ว จะจับกลับมาทำอะไรมากมาย จะเปิดสวนสัตว์หรือ”
เสี่ยวหมี่ถลึงตาใส่พี่ชายอย่างโมโห คิดจะพูดอะไรต่อแต่จู่ๆ ก็หยุดกึกในหัวนางมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา
ส่วนพี่รองลู่นั้นหน้าหนาเป็อย่างยิ่ง ยังคงยิ้มแย้มเอ่ยว่า “สวนสัตว์คืออะไรหรือ? หากเ้าไม่อยากได้กวางน้อย เช่นนั้นเป็จื่อเตียวดีหรือไม่ ข้าจะไปจับกลับมาให้เ้า”
เขาพูดจบก็เตรียมจะออกไปทันทีแต่กลับถูกเสี่ยวหมี่คว้าตัวเอาไว้
“พี่รอง ท่านหมายความว่ากวางพวกนี้จับได้ง่ายอย่างนั้นหรือ?”
พี่รองลู่ลูบหลังศีรษะ ถามอย่างสงสัย “ก็ไม่นับว่าง่ายหรอก มันวิ่งเร็วมาก แต่พี่รองของเ้าเองก็วิ่งไม่ช้านี่นา...”
เสี่ยวหมี่ขัดวาจาโอ้อวดของเขา นางเอ่ยว่า “เช่นนี้แล้วกัน สองวันนี้หากท่านว่างก็ขึ้นเขาไปจับลูกกวางเป็ๆ กลับมาให้ข้า ให้ดีก็เอาตัวที่ลายสวยๆ เช่นนี้ และช่วยไปกระจายข่าวในหมู่บ้านให้ข้าด้วยว่าใครจับเอากวางเป็ๆ มาให้ข้าได้ ข้าจะให้ราคาอย่างงาม”
พี่รองลู่ไม่ค่อยเข้าใจแต่ก็เห็นว่าเสี่ยวหมี่ไม่เหมือนจะล้อเล่น จึงถามว่า “เสี่ยวหมี่ กวางตัวเดียวยังไม่พอให้เ้าเล่นอีกหรือ?”
“ข้ามีเื่ต้องใช้มัน อย่างไรเสียฤดูหนาวก็ว่างไม่มีอะไรทำ ไม่สู้เปิดสวนกวางดูดีกว่า”
“เ้าจะเลี้ยงกวาง แล้วค่อยฆ่าเพื่อขายเนื้อหรือ? มันจะได้สักกี่อีแปะกันเชียว?”
พี่รองลู่ยังคงไม่เข้าใจ ทำให้เสี่ยวหมี่เริ่มโมโหอีกแล้ว “หากท่านไม่จับกวางกลับมาให้ข้า ท่านก็ไม่มีเนื้อกิน”
“ได้ ได้ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”
พี่รองลู่ยิ้มโง่งมอย่างยอมแพ้ พอดีพวกเด็กๆ ก็เลิกเรียนกันแล้ว จึงพากันล้อมวงชี้นิ้วดูกวางน้อยกันใหญ่ เมื่อได้ยินที่เสี่ยวหมี่พูดก็พากันะโว่า “พี่เสี่ยวหมี่ ข้าจะขึ้นเขาไปจับกวางมาให้ท่าน”
“ใช่แล้ว พวกเราเองก็วิ่งเร็วเหมือนกัน”
ก่อนฤดูหนาวนี้เป็่ที่เหล่าสัตว์นักล่าออกหากินเพื่อตุนเสบียงไว้ในฤดูจำศีล แน่นอนว่าเสี่ยวหมี่ย่อมไม่กล้าปล่อยให้พวกเด็กๆ ขึ้นเขาไปเป็อาหารพวกมันได้ จึงรีบเอ่ยปากห้าม “พวกเ้าจะขึ้นเขาไปไม่ได้ ่นี้กำลังอันตราย”
พวกเด็กๆ ไม่ยินยอม พากันเชิดหน้าไม่ตกลง
เสี่ยวหมี่ได้แต่ถอนใจ แล้วเปลี่ยนวิธีพูดใหม่ “จับกวางน้อยนั้นเป็เื่ง่าย แต่มีเื่ยากอย่างหนึ่งที่ต้องให้พวกเ้าช่วย”
“เื่อะไร?”
พวกเด็กๆ ถามออกมาพร้อมๆ กันด้วยดวงตาวาววับ
เสี่ยวหมี่เคาะหน้าผากพวกเขาเบาๆ แล้วจึงยิ้มเอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้ในหุบเขาเรา บริเวณใดมีเห็ดขึ้นเยอะที่สุดพวกเ้าคงรู้กันดีใช่ไหม”
“รู้”
“เช่นนั้นหลังจากที่พวกเ้าเลิกเรียนแล้ว เวลาว่างก็ให้ไปยังที่ที่มีเห็ดขึ้นเยอะๆ ช่วยขุดเอาดินชั้นบนกลับมาให้ข้า โดยเฉพาะประเภทที่้ามีเห็ดแห้งๆ ติดอยู่ด้วยยิ่งดี”
เสี่ยวหมี่อธิบายอย่างละเอียด เด็กๆ ก็พากันตั้งใจฟัง “เหตุใดต้องเอาดินชั้นบนที่เห็ดขึ้นกลับมาด้วยเล่า”
“แน่นอนว่าข้า้าเอามันไปใช้ประโยชน์ ถึงตอนนั้นพวกเ้าก็จะรู้เอง แต่จำไว้นะ ต้องเป็เห็ดที่กินได้ อย่าเอาดินที่มีเห็ดพิษงอกกลับมาเล่า”
“ได้ ข้าทราบแล้ว”
“หากพวกเ้าเอากลับมาหนึ่งตะกร้า ข้าจะให้ค่าตอบแทนเป็ของว่างสองชิ้น แต่หากได้ห้าตะกร้าจะแลกขนมน้ำตาลโรยงาได้ครึ่งจิน เป็อย่างไร?”
“ดีจังเลยๆ”
พวกเด็กๆ รีบวิ่งกอดตำรากลับบ้าน จะได้รีบออกไปขุดดินกลับมาเพราะกลัวคนอื่นจะแย่งไป
พวกผู้ใหญ่ในบ้านเห็นพวกเขาเป็เช่นนี้ก็อดถามไม่ได้ เมื่อได้ฟังเหตุผลก็รู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก กล่าวว่า “เสี่ยวหมี่จะอย่างไรก็ยังเด็ก เห็นกวางน้อยก็อยากเลี้ยง ยามนี้อยากได้ดินชั้นบนที่เห็ดงอกขึ้นมาอีก หรือจะเอามาปลูกผักในฤดูหนาวให้กวางน้อยกิน?”
“เสี่ยวหมี่น่ะฉลาดมาก คาดว่าคงจะวางแผนอย่างอื่นไว้ วันพรุ่งนี้ขึ้นเขาไปหากเจอกวางน้อยก็จับกลับมาให้นางสักสองตัว”
“ได้ อีกเดี๋ยวก็จะฤดูหนาวแล้ว เสี่ยวหมี่ไม่ได้บอกว่าจะสอนทุกคนปลูกผักหรือ เหตุใดถึงไม่ได้ข่าวอะไรแล้วเล่า”
แทบทุกบ้านต่างก็วิพากษ์วิจารณ์กันเช่นนี้ แต่จะทำอย่างไรได้ เสี่ยวหมี่ลืมเื่นี้ไปเสียสนิทนานแล้ว
แต่มีอยู่คนหนึ่งที่ไม่มีทางลืมเด็ดขาด คนคนนั้นก็คือเถ้าแก่เฉิน
เชิงอรรถ
[1] แมวไคตี๋(凯蒂猫) หมายถึง Hello Kitty