อย่างไรก็ตามเฉินเทียนหยูคิดถึงแต่ข้าวเหนียวห่อใบบัว ระหว่างทานอาหารกลางวัน เขาจึงได้แต่เหม่อลอย ทว่ามู่หรงฉิงหิวมากแล้วจริงๆ หลังจากทานข้าวไปครึ่งชามและเห็นว่าเฉินเทียนหยูไม่ได้ตักข้าวแม้แต่คำเดียวจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกใจ “ท่านพี่ เกิดอะไรขึ้นหรือ? ทำไมท่านพี่ไม่กินข้าวล่ะ?”
“ข้าอยากกินข้าวเหนียวห่อใบบัว” คำพูดของเฉินเทียนหยูเต็มไปด้วยความคาดหวัง ทั้งยังมีร่องรอยแห่งความทุกข์ บ่งชี้ให้เห็นว่าเขาไม่พอใจกับการต้องรอกินข้าวเหนียวห่อใบบัวเป็เวลานาน
เป็ใบ้อีกหน หัวใจของมู่หรงฉิงพลอยรู้สึกเ็ป ชายหนุ่มหน้าตาแสนหล่อเหลากลับกลายเป็เช่นนี้ไปได้ ์ช่างไม่ยุติธรรมจริงๆ
มู่หรงฉิงส่ายศีรษะเบาๆ นางถึงกับทำอะไรไม่ถูกเนื่องจากความหมกมุ่นของเฉินเทียนหยู จนต้องถอนหายใจกับชะตากรรมของเขา ก่อนคีบรากบัวหนึ่งชิ้นใส่ลงไปในชามของเฉินเทียนหยู จากนั้นน้ำเสียงในการเอื้อนเอ่ยของนางก็เต็มไปด้วยการหลอกล่อ “ท่านพี่อย่ากังวลไปเลย ท่านพี่ลองทานรากบัวนี้ดูสิ รากบัวนี้มีรสน้ำผึ้งจางๆ กอปรกับรสสดชื่น อร่อยสดชื่นมาก!”
มู่หรงฉิงพูดถูก นางเป็คนทำอาหารจานนี้เอง ด้วยกลัวว่าเฉินเทียนหยูจะรอแต่ข้าวเหนียวห่อใบบัว และต้องหิวโซโดยไม่ได้ทานข้าว หลังจากคิดตรึกตรองนางจึงทำอาหารจานนี้ขึ้นมา
เฉินเทียนหยูก็ไร้เดียงสาจริงๆ เมื่อได้ยินคำพูดของมู่หรงฉิง เขาก็เอ่ยถามเพียงว่า “น้องหญิงไม่ได้โกหกข้าใช่หรือไม่?” มู่หรงฉิงแย้มยิ้มพร้อมพยักหน้าให้เฉินเทียนหยู ก่อนที่จะคีบรากบัวมาทาน
ระหว่างเฉินเทียนหยูทานรากบัว มู่หรงฉิงคอยเฝ้าดูผู้เป็สามี ไม่ต้องพูดถึงว่าความรู้สึกในใจเป็อย่างไร
นำรากบัวมาล้างน้ำแล้วห่อด้วยน้ำผึ้ง จากนั้นชุบลงไปในแป้งทอดกรอบและใส่ลงไปในน้ำมันพืช การทอดในน้ำมันจะต้องไม่ทอดนานเกินไป แค่ใช้ตะหลิวกดรากบัวลงในน้ำมันให้ท่วม คราวนี้แป้งทอดกรอบก็จะสุกตามธรรมชาติ แต่รากบัวยังคงกรอบอยู่
ระหว่างรากบัวยังร้อนอยู่ ต้องนึ่งรากบัวที่เพิ่งผ่านการทอดน้ำมันในหม้อเป็เวลาครึ่งเค่อ แป้งที่ผ่านการทอดน้ำมันจะใสมากแต่รากบัวกลับไม่อ่อน หลังจากนำออกมาก็รอให้เย็นลงเป็เวลาหนึ่งเค่อ เนื้อแป้งชั้นนอกจะใสจนสามารถมองเห็นชั้นสีทองของน้ำผึ้งข้างใน เมื่อกัดในปากจะนุ่มเล็กน้อยและความหอมหวานของน้ำผึ้งก็ละลายในปาก นอกจากนั้นยังมีัักรุบกรอบของรากบัว
น้ำผึ้งหวานแต่ไม่เลี่ยน ส่วนรากบัวนั้นทั้งกรอบและหอมในเวลาเดียวกัน
อาหารจานนี้เป็อาหารที่ผู้เป็มารดาของมู่หรงฉิงทำให้นางทานเมื่ออายุได้สิบขวบ ั้แ่นั้นมาครัวเล็กๆ ในเรือนของท่านแม่ก็กลายเป็พื้นที่ฝึกหัดของนางไปโดยปริยาย นางรักอาหารและรักในการทำอาหารมากกว่า ครั้นท่านแม่เห็นว่านางรักที่จะทำอาหาร ท่านแม่จึงสอนในสิ่งที่เรียนรู้มาทั้งชีวิตให้กับนาง
ฉะนั้นเมื่อเห็นเฉินเทียนหยูทานรากบัว มู่หรงฉิงจึงรู้สึกประหม่าเล็กน้อย สาเหตุที่นางเลือกทำอาหารจานนี้เนื่องจากนางพบว่าเฉินเทียนหยูโปรดขนมหวานมาก นางคิดได้ว่าหากนางสามารถใช้ฝีมือปลายจวักพิชิตปากท้องของเฉินเทียนหยูได้ นางน่าจะใช้เฉินเทียนหยูให้ทำอะไรมากกว่านี้ได้ใช่หรือไม่?
การนั่งมองเฉินเทียนหยูทานอาหารจานนี้จึงเป็ต้นเหตุให้มู่หรงฉิงรู้สึกประหม่า โดยกลัวว่าอาหารที่นางตั้งใจทำอย่างพิถีพิถัน จะไม่ถูกปากเฉินเทียนหยู
ภายใต้สายตาวิตกกังวลของมู่หรงฉิง เฉินเทียนหยูกลับเผยสีหน้าเกินจริง จากนั้นเขาก็หยิบรากบัวขึ้นมาเองโดยสัญชาตญาณและไม่ได้พูดพึมพำใดๆ
ภาพเบื้องหน้าทำให้ความประหม่าของมู่หรงฉิงคลายลง ทั้งนั่นยังหมายความว่านางรับรู้วิธีจัดการกับเฉินเทียนหยูแล้ว
เมื่อเห็นว่าในท้ายที่สุดเฉินเทียนหยูก็ยอมทานอาหาร มู่หรงฉิงก็ยิ้มจากใจจริง จากนั้นคีบไก่นึ่งใส่ลงไปในชามของเฉินเทียนหยู “ท่านพี่ไม่ต้องกังวล กินช้าๆ และกินกับข้าวอื่นๆ ด้วย”
เฉินเทียนหยูเชื่อฟังด้วยดีเช่นกัน แม้เขาจะยัดรากบัวเข้าไปในปากอย่างต่อเนื่อง ถึงกระนั้นเขาก็เชื่อฟังคำพูดของมู่หรงฉิงด้วยการคีบกินไก่นึ่งทานเข้าไป ก่อนที่จะยิ้มโง่ๆ ให้มู่หรงฉิง
“เฮ้อ…” เด็กสาวถอนหายใจเบาๆ พลางหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดน้ำผึ้งซึ่งเลอะมุมปากของเขา “ท่านพี่ชอบหรือไม่?”
คำตอบของเฉินเทียนหยูเป็ไปตามที่คาดไว้ “วันข้างหน้าน้องหญิงทำอาหารอีกดีหรือไม่? น้องหญิงทำอาหารอร่อยมากเชียวล่ะ”
“ถ้าท่านพี่เป็คนดีและเชื่อฟัง คราวหน้าจะมีอาหารอร่อยๆ มากกว่านี้อีก” นางค่อยๆ เกลี้ยกล่อม และความละอายใจของมู่หรงฉิงก็ค่อยๆ ถูกแทนที่ด้วยความวิตกกังวลถึงพี่ชายใหญ่
ไม่ว่าอย่างไรตราบใดที่นางสามารถใช้เฉินเทียนหยูผู้นี้ให้เกิดประโยชน์ นางเชื่อว่านางจะสามารถแจ้งข่าวคราวให้พี่ชายใหญ่ได้ทราบก่อนที่จะประสบกับอุบัติเหตุ
่เวลาอาหารกลางวันดำเนินไปอย่างมีความสุข
ั้แ่มื้อเที่ยงของวัน เฉินเทียนหยูก็ทำตัวคล้ายแมวที่เกาะติดมู่หรงฉิงแน่น ถ้ามู่หรงฉิงยืนขึ้น เขาก็ยืนขึ้น หากมู่หรงฉิงนั่งลง เขาก็นั่งลงด้วย จากนั้นมองมู่หรงฉิงด้วยสายตาเปี่ยมไปด้วยความสุขและการพึ่งพิงอาศัยกัน
สภาพการณ์ทำนองนี้ทำให้มู่หรงฉิงพบว่าอยู่กับคนโง่ก็ไม่ใช่เื่ยากเย็นอะไร อย่างน้อยคนโง่ก็บริสุทธิ์ ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม ถ้าปฏิบัติตัวดีกับเขา ทำอะไรที่เขาชอบ เขาจะยอมรับอย่างสุดหัวใจ
ในมือของมู่หรงฉิงคือข้าวเหนียวแช่น้ำสีออกเขียวเล็กน้อย ทว่ามู่หรงฉิงยังค่อนข้างมีความกังวล ยามนี้เฉินเทียนหยูยังเชื่อฟังและว่านอนสอนง่าย แต่ถ้าเขาคลุ้มคลั่งขึ้นมาล่ะ? เฉินเทียนหยูในเวลานั้นจะถูกล่อลวงด้วยขนมหวานนี้ได้หรือไม่?
“น้องหญิง ทำไมข้าวเหนียวเปียกนี่เป็สีเขียวล่ะ? สวยเชียวล่ะ” มู่หรงฉิงยังคงคิดฟุ้งซ่าน แต่จู่ๆ เฉินเทียนหยูก็เหยียดศีรษะมามองดูข้าวเหนียวที่แช่ในอ่างอย่างสงสัย
“น้ำสำหรับแช่ข้าวเหนียวคือน้ำใบบัวที่บดมาจากใบบัว การแช่ข้าวด้วยน้ำใบบัวนี้ทำให้ข้าวเหนียวกลายเป็สีเขียวคล้ายสีใบบัวและจะน่ารับประทาน” มู่หรงฉิงเห็นเฉินเทียนหยูกำลังยื่นมือมาััข้าวเหนียว นางจึงรีบดึงมือของเขาออกและพาไปล้างมือให้สะอาด จากนั้นวางข้าวเหนียวที่แช่ไว้ในฝ่ามือของผู้เป็สามี “ท่านพี่ลองดมดูสิ กลิ่นหอมหรือไม่?”
“อืม กลิ่นหอมจริงๆ” เฉินเทียนหยูพยักหน้า ซึ่งมู่หรงฉิงเพียงยิ้มจางๆ ตอบรับ ก่อนหยิบหม้อนึ่งและวางใบบัวสักสองสามชั้น วางข้าวเหนียวบนใบบัวและเริ่มนึ่งข้าวเหนียว
“เมื่อหุงข้าวเหนียวสุกแล้ว ก็จะสำเร็จครึ่งหนึ่งแล้ว” มู่หรงฉิงจับมือของเฉินเทียนหยูเดินไปนั่งในลานสนามในเรือน ก่อนเห็นใครบางคนเดินเข้ามาจากด้านนอกเรือน
จ้าวจื่อซินเป็คนเดียวที่สามารถเข้าและออกจากเรือนได้ตาม้าโดยไม่จำเป็ต้องให้บ่าวรายงาน
แปลกจริงแท้ ได้ยินมาว่าจ้าวจื่อซินมักจะอยู่เคียงข้างเฉินเทียนหยูมาโดยตลอด แต่ในวันนี้เขากลับหายตัวไปหลายชั่วยาม มากไปกว่านั้นใน่เวลาอาหารกลางวันก็ไม่เห็นเขาดูแลเฉินเทียนหยูด้วยซ้ำ
“คุณชายรองได้เวลากินยาแล้ว” จ้าวจื่อซินเดินเข้ามาหาทั้งสองคนและมอบยาให้เฉินเทียนหยู
เฉินเทียนหยูหยิบชามยามาดื่มโดยไม่ขมวดคิ้วแต่อย่างใด ก่อนร้องขอผลไม้นิรนามมาทาน
มู่หรงฉิงเห็นเฉินเทียนหยูทานผลไม้นิรนามอย่างมีความสุข จึงมุ่งความสนใจไปที่ชามยาอันว่างเปล่าโดยสัญชาตญาณ
ใน่เวลาสองวันที่ผ่านมา นางพบว่าเมื่อใดก็ตามที่เฉินเทียนหยูทานยา เขาจะขอผลไม้มากิน เป็ไปได้หรือไม่ว่ายานี้จะมีความสัมพันธ์กับผลไม้นั่น?
“น้องหญิงกินผลไม้!” ครั้นเห็นมู่หรงฉิงนั่งงุนงงอยู่ เฉินเทียนหยูจึงหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่งและยื่นผลไม้ที่กัดไปแล้วครึ่งหนึ่งให้มู่หรงฉิงด้วยท่าทางรักและทะนุถนอม เขายื่นมันเข้าไปใกล้นางอย่างมาก เกือบจะส่งถึงริมฝีปาก
กลิ่นหอมจางๆ แปลกๆ แทรกซึมเข้าจมูก มู่หรงฉิงถึงกับผงะ จากนั้นก็มีบางสิ่งแวบเข้ามาในหัวสมอง แต่แสงนั้นหายวับเร็วเกินไป สุดท้ายนางจึงไม่รู้ว่าอะไรวาดผ่านเข้ามาในหัวสมองหลังจากได้กลิ่น?
“คุณชายรองรักและทะนุถนอมคุณหนูจริงๆ” มู่หรงฉิงยังคงเหม่อลอย ขณะที่น้ำเสียงของจ้าวจื่อซินคล้ายสัพยอก “จ้าวจื่อซินดูแลคุณชายรองมานานแล้ว แต่ก็ไม่เห็นว่าคุณชายสองจะแบ่งผลไม้ให้จ้าวจื่อซินกินบ้างเลย”
นี่คือ...ไม่พอใจ? หรือหยั่งเชิง?
ด้วยความประหลาดใจ มู่หรงฉิงจึงหันไปมองจ้าวจื่อซินอย่างสงบเสงี่ยม นางยิ่งสงสัยสถานะของจ้าวจื่อซินเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
ในเรือนที่เต็มไปด้วยบรรดาสาวใช้ซึ่งกำลังวุ่นอยู่กับหน้าที่ของตนเอง จ้าวจื่อซินกลับกล้าเอ่ยถ้อยคำสนทนาด้วยน้ำเสียงสบายๆ ต่อหน้าผู้คนจำนวนมาก หรือว่ามันจะเป็สิ่งที่เกิดขึ้นบ่อยจนกลายเป็ความเคยชินในจวนเฉินไปแล้ว?
“น้องหญิงสวย น้องหญิงกลิ่นหอม น้องหญิงอร่อยด้วย” การอธิบายของเฉินเทียนหยูนั้นเรียบง่ายและตรงไปตรงมา แต่เขาก็ตรงไปตรงมาเกินไป มู่หรงฉิงเข้าใจว่าที่เขาพูดว่า ‘อร่อย’ นั้นคงหมายถึงอาหารที่นางปรุง แต่จ้าวจื่อซินไม่รู้เื่ราวภายในนั้นย่อมไม่เข้าใจ
ครั้นกวาดสายตามองไปที่จ้าวจื่อซินก็เห็นสายตาเย้ยหยันของจ้าวจื่อซิน “อ้อ? คุณชายรองได้กินแล้วหรือ?”
นี่… นี่เป็การเยาะเย้ยอย่างโจ่งแจ้ง แต่บรรดาสาวใช้ในเรือนกลับไม่มีใครประหลาดใจแม้แต่คนเดียว มากไปกว่านั้นคือไม่มีใครมาตำหนิจ้าวจื่อซินที่ทำกิริยาหยาบคายแม้แต่คนเดียวเช่นกัน นั่นทำให้มู่หรงฉิงยิ่งประหลาดใจและขุ่นเคือง!
เจอจ้าวจื่อซินคนนี้เมื่อไร นางก็เป็ต้องหงุดหงิดเมื่อนั้น ดูเหมือนว่านางกับจ้าวจื่อซินเกิดมาเพื่อปะทะกัน ถึงเจอกันเป็ไม่ได้
เด็กสาวไม่อยากจะสนใจเขาอีกต่อไป มู่หรงฉิงแค่จ้องจ้าวจื่อซินเขม็งด้วยความขุ่นเคือง จากนั้นลุกขึ้นยืนและเดินเข้าไปในครัวเล็ก เพื่อไปทำข้าวเหนียวห่อใบบัว
ทันทีที่มู่หรงฉิงเข้าไปในครัวเล็ก เฉินเทียนหยูก็เดินตามไปอย่างว่องไว และเมื่อเขาเดินมาถึงตรงหน้าจ้าวจื่อซิน เขาก็มองจ้าวจื่อซินด้วยรอยยิ้มโง่ๆ “น้องหญิงอร่อยมากจริงๆ อีกสักพักจ้าวจื่อซินลองกินก็จะรู้แล้ว”
พูดจบ เขาก็เดินเข้าไปในครัวเล็กอย่างมีความสุข
หลังจากสังเกตไฟในเตา มู่หรงฉิงคิดว่าได้ที่แล้วจึงส่งสัญญาณให้ปี้เอ๋อร์และยวี้เอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ ยกหม้อนึ่งลงมา รอให้ข้าวเหนียวเย็นลงเล็กน้อย นางก็เริ่มปั้นเป็แผ่นกลมเพื่อห่อถั่วบดละเอียด
ครั้นห่อไส้ถั่วลิสงเรียบร้อยจึงโรยด้านนอกด้วยเม็ดถั่วลิสงชั้นดี หากห่อไส้ถั่วเขียว ด้านนอกจะโรยด้วยงาขาว ส่วนไส้งาดำ ด้านนอกโรยด้วยงาดำ เมื่อห่อเสร็จเรียบร้อย ก็ราดน้ำมันร้อนๆ ลงบนลูกกลม พอกรอบๆ หอมๆ จากนั้นวางลงบนจานและรอให้เย็นลง รอเวลาอีกครู่ถึงใส่ลงในหม้อและนึ่งอีก่ระยะเวลาหนึ่งเป็ขั้นตอนสุดท้าย
“เสร็จหรือยัง? เสร็จหรือยัง?” เฉินเทียนหยูอยากกินจนน้ำลายสอ เขาถามมู่หรงฉิงว่ากินได้แล้วหรือไม่?
“อีกครึ่งชั่วยามก็สามารถกินได้แล้ว” มู่หรงฉิงถอดผ้ากันเปื้อนออกและดึงเฉินเทียนหยูที่ยืนอยู่ตรงหน้าหม้อนึ่งไม่ยอมขยับเขยื้อนไปไหนออกจากห้องครัวเล็ก เมื่อนางเดินไปที่ประตูก็เห็นจ้าวจื่อซินยืนกอดอก ดวงตาของนางจึงเป็ประกายเล็กน้อย
สำหรับจ้าวจื่อซินแล้ว มู่หรงฉิงไม่ได้อารมณ์ดีพอที่จะมองเขาไปมากกว่านี้ ในตอนแรกเขาทำให้นางใกลัวในความหลงตัวเองของเขา จากนั้นเขาก็มีท่าทีเปรียบเสมือนตนเองเป็าา หากเขาไม่มาหาเื่นางก่อน นางย่อมปฏิบัติต่อเขาเหมือนดั่งต้นไม้อย่างแน่นอน แต่ผู้ชายคนนี้กลับทำให้นางขุ่นเคืองด้วยคำพูดสองสามประโยค
นางดื่มชากับเฉินเทียนหยูที่ลานในเรือน ผ่านไปครึ่งชั่วยามพวกสาวใช้จึงออกมาพร้อมกับของว่างสองสามจาน และวางลงบนโต๊ะ มู่หรงฉิงยังไม่ทันได้เอ่ยปาก เฉินเทียนหยูก็คว้าลูกกลมโยนเข้าปาก
“อ๊ะ! รีบคายออกมา! ระวังร้อนลวกลิ้น!”
ขณะที่เฉินเทียนหยูขว้างลูกกลมเข้าปาก เปลือกตาของมู่หรงฉิงก็กระตุกด้วยความใ ข้าวเหนียวห่อใบบัวเพิ่งออกจากหม้อนึ่ง ความร้อนเป็อย่างไร ย่อมสามารถจินตนาการได้ เมื่อเห็นคิ้วทั้งสองข้างของเฉินเทียนหยูขมวดแน่นเข้าด้วยกัน มู่หรงฉิงก็รู้ว่าเขาถูกความร้อนลวกแล้ว จึงรีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อให้เขาคายมันออกมา
แต่กระนั้นเฉินเทียนหยูก็แค่ขมวดคิ้วแน่น ไม่ว่ามู่หรงฉิงจะพูดอย่างไร เขาก็ไม่ยอมที่จะคายลูกกลมออกมา เขาเคี้ยวมันด้วยท่าทางเอร็ดอร่อยแต่พูดว่า “ร้อน! ร้อน!” อย่างต่อเนื่อง หลังจากกลืนขนมเข้าไปทั้งหมด เขาก็ะโขึ้น แลบลิ้นพร้ะโกนว่าร้อน