เซี่ยโม่นึกขึ้นได้ว่าในมืออาจารย์มีเงิน ไม่เพียงแค่เงินที่เธอให้ไว้ตอนเฉินเฟิงรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล ยังมีเงินค่ายาที่คุณอาจ้าวให้มาเมื่อเช้า ยิ่งไปกว่านั้นคืออาจารย์มีคนรู้จักอยู่ที่ร้านยา ดังนั้นไม่น่าต้องทนหิว
เธอดึงความคิดกลับ เมื่อครู่พี่ซ่งบอกว่าจะเลี้ยงข้าว จะให้อีกฝ่ายเลี้ยงข้าวเธอได้อย่างไร
“พี่ซ่ง ฉันเลี้ยงดีกว่าค่ะ”
ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “โม่โม่ ฉันรู้ว่าเธอไม่มีเงินถึงได้เข้าไปในป่าลึกบนเขาเพื่อเก็บเห็ดหลินจือกับโสมป่า เธออย่าตบหน้าตัวเองเพื่อให้บวม[1]เลย”
ได้ยินเช่นนี้ เลยไม่กล้าบอกออกไปว่าเงินที่ได้จากการขายหมูป่าเธอยังไม่ได้ใช้เลย
“เงินค่ารักษาพยาบาลของเฉินเฟิงยังเหลืออีกร้อยกว่าหยวน เหลือเฟือสำหรับหนึ่งมื้อค่ะ” เด็กสาวเอ่ยอย่างใจกว้าง เมื่อนึกถึงเงินชดใช้ที่ได้รับมา
ชายหนุ่มหันมาเหลือบมองเธอแวบหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเสียงห้วน “โม่โม่ เงินนั่นเป็เงินสำหรับบำรุงร่างกายเฉินเฟิงและคุณตาคุณยายที่ใกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ฉันจะมีหน้าไปใช้เงินส่วนนั้นได้ยังไง หากฉันใช้ยังจะกล้าเรียกตัวเองว่าผู้ชายอีกเหรอ”
เซี่ยโม่นิ่งไป นึกถึงเข็มขัดที่คิดจะมอบให้เป็ของตอบแทน หากชายหนุ่มถามว่าเอาเงินที่ไหนไปซื้อ เธอพูดออกไปไม่ได้เด็ดขาดว่ามาจากเงินค่ารักษาพยาบาลของน้องชาย คงต้องบอกว่าเป็เงินเก็บที่ได้จากการนำพวกสมุนไพรไปขาย
เธอรู้สึกเซ็งเหลือเกิน อุตส่าห์มีโกดังสินค้าที่มีสิ่งของมากมาย อยากได้อะไรมีหมดทุกอย่าง แต่กลับถูกคนอื่นมองว่ามีฐานะยากจน
แต่ก็ทำได้เพียงสะกดกลั้นความไม่พอใจนี้ลงไป “งั้นก็ต้องรบกวนพี่แล้ว วันหลังไว้มีโอกาสฉันค่อยเลี้ยงคืนนะคะ”
“ได้” ชายหนุ่มพยักหน้า
ไม่นานรถก็แล่นมาจอดหน้าร้านอาหารของรัฐ เมื่อรถจอดสนิททั้งสองคนเปิดประตูลงจากรถ
เวลานี้เป็เวลากินข้าว ภายในร้านจึงมีคนไม่น้อย
ซ่งมู่ไป๋เดินไปสั่งอาหารสี่ห้าอย่าง จากนั้นทั้งสองคนก็ไปหาโต๊ะนั่ง ก่อนจะเลือกนั่งตรงโต๊ะมุมที่ไม่ค่อยเป็จุดสังเกต
เซี่ยโม่อดบ่นไม่ได้ “พี่ซ่ง พี่สั่งเยอะเกินไปแล้ว หากกินไม่หมดจะทำยังไงคะ”
“ไม่เยอะสักหน่อย ฉันอยากให้เธอกินเยอะๆ เธอผอมเกินไปแล้ว”
นึกถึงเมื่อชาติที่แล้ว ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีเธอก็ยังคงรูปร่างผอมแห้งเช่นนี้ “พี่ซ่ง รูปร่างฉันก็เป็แบบนี้ ต่อให้กินเยอะเท่าไรก็ไม่มีทางอ้วนไปกว่านี้หรอกค่ะ”
ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เธอยังอยู่ใน่ที่ร่างกายกำลังเจริญเติบโต หากโตกว่านี้ก็จะมีเนื้อมากกว่านี้”
ชาติที่แล้วเธอตัวสูงกว่าตอนนี้ ส่วนสูงราว 165 เิเ พอตัวเธอสูงขึ้นก็เกิดเื่กระทบกระเทือนจิตใจ ต่อมาเธอสร้างธุรกิจของตัวเอง ่นั้นเป็่ที่ทั้งเหน็ดเหนื่อยและยากลำบาก สารอาหารที่ได้รับถูกใช้จนหมดหลังจากนั้นภายในเวลาไม่นาน หากอ้วนขึ้นสิแปลก
เธอก็เลยรูปร่างผอมแห้งแบบนี้ตลอดไม่เปลี่ยนแปลง
เธอพยักหน้าอย่างจำยอมคล้อยตาม “ที่พี่พูดก็มีเหตุผล”
ผู้ชายหลายคนที่นั่งอยู่โต๊ะข้างๆ หนึ่งในนั้นมีชายหัวเกรียนคนหนึ่ง พอได้ยินเสียงพูดคุยของเธอกับพี่ซ่ง สีหน้าเปลี่ยนเป็ตื่นเต้นยินดี พลันลุกจากโต๊ะแล้วเดินมาหา
“ไงเพื่อน ที่แท้นายก็อยู่นี่เองเหรอ”
ซ่งมู่ไป๋หันไปมอง ก่อนจะขมวดคิ้ว “โล้น นายมาอยู่นี่ได้ยังไง”
ไม่ว่าใครล้วนไม่อยากถูกจี้ปมด้อยทั้งนั้น
ไม่รู้ว่าเป็เพราะชายหนุ่มคนนี้ใจกว้าง หรือถูกเรียกแบบนี้จนเคยชินแล้ว จึงไม่มีทีท่าว่าจะถือสาแต่อย่างใด “นายรู้ไหมั้แ่ที่นายจากไป พวกเราก็แตกแยกกันไปคนละทิศคนละทาง ตอนนี้ฉันเป็เยาวชน[2]อยู่ที่บ้านเกิด หมู่บ้านใกล้ๆ กับตัวอำเภอนี้เอง แล้วนายล่ะ มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
“ฉันอาศัยอยู่กับญาติ อยู่ที่บ้านป้าไปวันๆ” ซ่งมู่ไป๋ตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
ชายหนุ่มหัวเกรียนยังคงพูดด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น “ทำไมนายไม่ไปเป็เยาวชนล่ะ ถึงจะเหนื่อยบ้าง แต่ก็ยังดีกว่าหายใจทิ้งไปวันๆ ดีกว่าอาศัยอยู่บ้านญาติเฉยๆ เป็ไหนๆ…”
เซี่ยโม่ในตอนนี้รู้แล้วว่าชายหัวเกรียนผู้นี้คือคนรู้จักของพี่ซ่ง แต่ดูเหมือนพี่ซ่งจะไม่ค่อยอยากสนทนากับอีกฝ่ายเท่าใดนัก
แล้วอีกอย่างตอนนี้พี่ซ่งก็ไม่ได้อาศัยอยู่บ้านญาติไปวันๆ สักหน่อย ที่พูดออกไปแบบนี้น่าจะเป็เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้ว่าตอนนี้ทำงานอะไรอยู่
ด้วยเหตุนี้เธอเลยปิดปากเงียบ ไม่ได้พูดอะไรออกไป
ชายหัวเกรียนพูดคุยกับซ่งมู่ไป๋ได้สามสี่ประโยคก็เลื่อนสายตามาที่เธอ ก่อนจะพูดด้วยเสียงไม่ดังนักกับพี่ซ่งว่า “นี่แฟนนายเหรอ หน้าตาก็พอใช้ได้อยู่ แต่ผอมแล้วก็ตัวเตี้ยไปหน่อย”
แม้จะพยายามพูดให้เบาแค่ไหน แต่เผอิญว่าเธอหูดีจึงได้ยินอย่างชัดเจน สีหน้าเธอเปลี่ยนเป็ประดักประเดิด
นึกไม่ถึงเลยว่าจู่ๆ หัวข้อสนทนาจะเปลี่ยนมาเป็ตัวเธอได้ ทั้งยังพูดด้อยค่ากันถึงขนาดนี้ เธอย่อมไม่พอใจเป็ธรรมดา
เซี่ยโม่มองชายหัวเกรียนด้วยแววตาเคืองขุ่น
เห็นเด็กสาวมีสีหน้าไม่ชอบใจ ซ่งมู่ไป๋จึงพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “โล้น อย่าพูดจาซี้ซั้ว นี่น้องสาวฉัน ลูกสาวของคุณป้า”
ชายหัวเกรียนชะงักไป ยิ้มแห้งอย่างรู้สึกผิดก่อนจะรีบขอโทษ “ขอโทษที ฉันเข้าใจผิดไปเอง คือพอดีฉันมากับเพื่อน นายเห็นแก่หน้าฉันไปนั่งกินข้าวด้วยกันหน่อยสิ”
ทว่าซ่งมู่ไป๋กลับพูดด้วยสีหน้าเ็า “พอดีฉันไม่สะดวก น้องสาวฉันก็ค่อนข้างเป็คนขี้กลัวด้วย”
“งั้นไว้วันหลังก็ได้” สีหน้าชายหัวเกรียนเปลี่ยนเป็กระอักกระอ่วน
ซ่งมู่ไป๋รับคำในลำคอ จากนั้นชายหัวเกรียนก็เดินกลับไปนั่งที่โต๊ะด้วยสีหน้าจืดเจื่อน
เพื่อนที่นั่งร่วมโต๊ะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยจะพอใจนัก “โล้น ผู้ชายคนนั้นใคร ท่าทางอวดดีจัง”
“นั่นอดีตเพื่อนร่วมงานฉัน ก่อนหน้านี้จะมีปัญหา แต่อีกไม่นานก็จะได้กลับมาเป็เหมือนเดิมแล้ว” ชายหัวเกรียนตอบเสียงเบา
ถึงจะพูดเสียงเบา หากเซี่ยโม่ก็ได้ยินอยู่ดี
เธอฟังออกจากน้ำเสียงว่า ฐานะของพี่ซ่งในใจชายหัวเกรียนนั้นสูงส่งเพียงใด
ชายหัวเกรียนมีท่าทีประจบเอาใจพี่ซ่งอย่างเห็นได้ชัด หรือว่าพี่ซ่งเป็ลูกพี่ของชายคนนี้ อีกฝ่ายถึงได้มีท่าทีเกรงกลัว
ไม่มีทาง คนในยุคนี้ไม่ใช่คนโง่ที่จะต้องนอบน้อมต่อเพื่อนในวัยเด็กถึงขนาดนี้
‘อีกไม่นานก็จะได้กลับมาเป็เหมือนเดิม’ ประโยคนี้คือใจความสำคัญ ชายหัวเกรียนน่าจะได้ยินข่าวอะไรมา ถึงได้มีท่าทีประจบประแจงพี่ซ่งเช่นนั้น
ทว่าพี่ซ่งกลับไม่สนใจอีกฝ่ายเลยสักนิด
เธอนึกขึ้นได้ว่าพี่ซ่งมาจากเมืองหลวง บิดามารดาเป็ฝ่ายมอบอำนาจในการทำงานคืนให้เอง เช่นนั้นพี่ซ่งก็น่าจะเป็ทายาทข้าราชการรุ่นที่สองไม่ก็รุ่นที่สาม
หากทางฝั่งพ่อกับแม่ไม่มีปัญหา ไม่ช้าหรือเร็วก็ต้องได้กลับมานั่งในตำแหน่งเดิม คาดว่าตอนนี้น่าจะเริ่มมีข่าวลือออกมาแล้ว ชายหัวเกรียนเป็คนข่าวสารว่องไวก็เลยรู้ก่อนใคร
คิดได้ดังนั้น สายตาที่เธอมองซ่งมู่ไป๋เปลี่ยนเป็เคารพนับถือ เซี่ยโม่ตัดสินใจแล้วว่าเธอจะกอดขาทองคำ[3]นี้ให้แน่น!
เธอยิ้มเอาใจอีกฝ่าย ก่อนจะเอ่ยชม “พี่ซ่ง คุณแมนมากเลยค่ะ!”
เห็นชายหนุ่มมองมาด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ ถึงค่อยนึกได้ว่าอีกฝ่ายคงไม่เข้าใจภาษาที่นิยมใช้ในโลกอินเทอร์เน็ต เธอจึงอธิบายว่า “หมายถึงแข็งแกร่ง มีความเป็ผู้ชายน่ะค่ะ!”
ซ่งมู่ไป๋ยิ้มกว้างอย่างปลาบปลื้ม
เด็กสาวชมเขา เด็กสาวชื่นชอบเขา
หัวใจเขาพองโตจนแทบล้นออกมานอกอก เขามองเด็กสาวด้วยแววตาลึกล้ำ
ทันใดนั้นเสียงะโแข็งๆ ของใครคนหนึ่งก็ดังขึ้น “เนื้อของใคร มาหยิบไปเอง!”
เป็เสียงของพนักงานในร้านนั่นเอง เสียงะโนี้ทำลายบรรยากาศดีๆ ระหว่างเขากับเด็กสาวจนหมดสิ้น
สิ้นเสียงเมื่อครู่นี้ ลูกค้าหลายโต๊ะต่างลุกขึ้นยืน “เนื้อของฉัน…”
ชายหนุ่มสี่ห้าคนพุ่งตรงไปจะไปหยิบอาหาร
ทว่าพนักงานกลับเอ่ยหมายเลขโต๊ะขึ้นมาเสียก่อน “ของโต๊ะหมายเลขห้า…”
ทุกคนหันไปมองโต๊ะของซ่งมู่ไป๋กับเซี่ยโม่
ซ่งมู่ไป๋ถึงค่อยรู้ว่าโต๊ะที่ตัวเองนั่งอยู่คือโต๊ะหมายเลขห้า เขาลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าไม่ค่อยจะดีนัก เดินไปหยิบหมูน้ำแดงกลับมาที่โต๊ะท่ามกลางสีหน้าเสียดายของใครหลายคนในร้าน
เขาสั่งอาหารสี่อย่าง ไม่นานอาหารก็ได้ครบ จากนั้นทั้งคู่ก็ลงมือรับประทาน
อาหารของที่นี่จานค่อนข้างใหญ่และได้ปริมาณเยอะ กินหมดไปอย่างละครึ่งจานทั้งสองคนก็รู้สึกอิ่ม
-------------------------------
[1] อย่าตบหน้าตัวเองเพื่อให้บวม หมายถึง หน้าใหญ่ใจโต
[2] เยาวชน คือเยาวชนที่ถูกส่งลงไปในชนบทเพื่อรับการศึกษาโดยกลุ่มชาวนา ซึ่งแท้ที่จริงแล้วคือถูกส่งลงไปทำงานหนักอยู่ในชนบทที่ห่างไกล
[3] ขาทองคำ คือคำอุปมาถึงผู้มีอำนาจที่สามารถเป็ที่พึ่งพาและช่วยให้รอดพ้นจากวิกฤติได้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้