บทที่ 20 เจตจำนงแห่งวิถีกระบี่
เมื่อเดินหน้าทำภารกิจต่อ สิ่งของส่งมอบภารกิจของฉินชูก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน อีกทั้งกระบวนท่ากระบี่ก็ถูกขัดเกลาจนเฉียบคมและคร่ำประสบการณ์ขึ้นเรื่อยๆ
ฉินชูเริ่มคิดว่าไป๋อวี้พูดถูก แม้กาลเวลาผันผ่าน หลายสิ่งถูกกาลเวลาชะล้างกลบหาย แต่พื้นฐานของกระบี่ยังคงอยู่ยงคงกระพันและไม่เสื่อมหาย เพราะกระบวนท่าเหล่านี้ถูกใช้งานอย่างต่อเนื่อง ถูกขัดเกลาผ่านกาลเวลา และสิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือวิชากระบี่พื้นฐานก็คือรากเหง้าดั้งเดิมของวิชากระบี่ทั้งปวง
วันนี้เป็วันที่ฉินชูตื่นเต้นยิ่งนัก เพราะเขาได้กลิ่นหอมของสมุนไพรเจือมากับกลิ่นคาวเืจางๆ
ครั้นแล้วจึงมุ่งหน้าตามกลิ่นนั้นไปจนถึงที่หมาย และเขาก็พบกับดอกัหิมะหนึ่งดอกในสภาพบานสะพรั่งเต็มวัย
แม้ดอกัหิมะจะไม่ใช่สมุนไพรที่เขา้า แต่ฉินชูรู้ดีว่ามันมีค่าหายากยิ่งนัก ตอนที่อาศัยอยู่ในหุบเขาลึก ผู้เฒ่าเคยพูดถึงมันมาก่อนว่ามันเป็วัตถุดิบหลักในการปรุงโอสถล้างอะไรสักอย่าง
ขณะที่ฉินชูกำลังจะไปเก็บดอกัหิมะ อยู่ๆ พื้นดินก็เริ่มสั่นไหวพร้อมกับกลิ่นคาวเืที่เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ
ใต้เท้าของเขาสั่นะเือย่างรุนแรงจนร่างกายโงนเงน เขาเกือบลืมไปแล้วว่าพื้นที่ที่อุดมไปด้วยพืชสมุนไพรวิเศษจะต้องมีผู้รักษาคุ้มครองอยู่ ดอกัหิมะหายากแบบนี้ คงเป็เื่แปลกน่าดู หากไม่มีสัตว์อสูรคุ้มครองอยู่
ขณะที่ฉินชูกำลังถอยกลับ สัตว์อสูรตัวมหึมาก็ได้ปรากฏตัวออกมาแล้ว สัตว์อสูรที่ปรากฏเป็อสรพิษสี่เท้ามีสีขาวหิมะ กระดูกสันหลังมีแผงขนสีทองแดง มันเป็สัตว์อสูรจากถิ่นอื่น
อสรพิษัหิมะ!...เป็สัตว์อสูรพิษร้ายแรงหายาก
ณ เวลานี้ฉินชูกับอสรพิษัหิมะสบตากัน อสรพิษัหิมะไม่พอใจที่ฉินชูบุกรุกเข้ามาในถิ่นของมันและมันก็้าฆ่าฉินชู แต่เขาแค่้าดอกัหิมะเท่านั้น ทว่าอสรพิษัหิมะกลับปกป้องดอกัหิมะเอาไว้ราวกับเป็ของของตัวเอง
ในความเป็จริงแล้ว สมุนไพรวิเศษทั่วใต้หล้าเกิดขึ้นตามธรรมชาติ มันดูดซับอณูปราณธรรมชาติเพื่อเจริญเติบโต ดังนั้นหากผู้ใดมีวาสนาพบเจอก็ย่อมตกเป็ของผู้นั้น ไม่เกี่ยวว่าใครจะมาก่อนมาหลัง
เมื่อถึงคราวต้องเผชิญหน้า อสรพิษัหิมะก็เริ่มเคลื่อนไหว กรงเล็บทั้งสี่เค้นแรง ร่างทั้งร่างพลันพุ่งตรงเข้าใส่ฉินชูทันที
ฉินชูเค้นแรงลงเท้า ร่างกายะโถอยหลบการจู่โจมอันทรงพลังที่สุดของอสรพิษัหิมะ ต่อมาก็ชักกระบี่ออกมาพุ่งเสียบเข้าไปที่หัวของมัน
เคร้ง!
ฉินชูแทงกระบี่เข้าไปที่กะโหลกของอสรพิษัหิมะ บังเกิดเสียงของแข็งกระทบกันดังกังวาน การโจมตีของฉินชูไม่เป็ผลต่ออสรพิษัหิมะแม้แต่น้อย ในทางตรงกันข้าม ฉินชูกลับถูกอสรพิษัหิมะจู่โจมจนต้องถอยร่นไม่หยุด
ร่างกายของฉินชูแข็งแกร่งทรงพลัง อสรพิษัหิมะก็เช่นกัน แต่เนื่องจากขนาดของมันใหญ่กว่ามาก ทำให้การพุ่งชนแต่ละครั้งของมันรุนแรงจนฉินชูต้องถอยออกไป
ตอนนี้สายตาของฉินชูจับจ้องไปที่วงแสงสีเขียวเรืองรองบริเวณท้ายทอยของอสรพิษัหิมะ ทำให้เขามั่นใจว่าอสรพิษัหิมะที่อยู่ด้านหน้าตัวนี้เป็สัตว์อสูรขั้นที่สี่แน่นอน และพลังของมันก็สูงกว่าเขาหลายเท่า
ควรหนีดีหรือไม่?...หลังจากใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง ฉินชูก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่เพื่อละทิ้งความคิดถอยหนี จากนั้นก็พุ่งตัวเข้าไปสู้กับมันต่อ
ครั้นอสรพิษัหิมะพุ่งเข้าจู่โจมในระลอกที่สอง ฉินชูก็ถูกโจมตีจนต้องถอยหลังเช่นเดิม ทว่าฉินชูก็ยังคงตวัดกระบี่โจมตีกลับทุกครั้ง
แม้ขนาดของอสรพิษัหิมะจะใหญ่โต แต่มันกลับเคลื่อนไหวรวดเร็วและคล่องแคล่ว เมื่อมันตะปบกรงเล็บ การโจมตีด้วยกระบี่ของฉินชูล้วนถูกหักล้างอย่างสิ้นเชิง แต่การโจมตีของมันก็ถูกกระบี่ของฉินชูหักล้างเช่นกัน
การต่อสู้ดำเนินไปอย่างดุเดือด ต้นไม้ก้อนหินถูกกระแทกจนแหลกกระจุยกระจาย ตามร่างกายของฉินชูเริ่มมีเืไหลซึม นั่นไม่ใช่าแจากการถูกกระแทก แต่เป็คมเขี้ยวที่เกิดจากแรงบีบอัดของพลังปราณที่ถูกรีดเค้นออกมาจากกรงเล็บของมัน
ผู้ฝึกตนและสัตว์อสูรขั้นที่สามขึ้นไปสามารถรีดเค้นพลังปราณออกมาได้บ้าง และเ้าอสรพิษัหิมะก็ใช้พลังนี้ในการต่อสู้
หลังจากนั้นมันก็พุ่งชนอีกครั้ง ฉินชูถอยร่นเช่นเคยและสายตาของเขาก็สบตากับอสรพิษัหิมะอีกครั้ง
ควรหนีดีหรือไม่? ...ความคิดเดิมผุดขึ้นมาในห้วงสมองของเขา อสรพิษัหิมะแข็งแกร่งเกินไป ยากที่เขาจะโค่นมันได้ แต่ถ้าถอยหนีก็เท่ากับกลัว เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรต้องไร้ความกลัว ถึงเวลาต้องชักกระบี่ต่อสู้ก็ต้องทำ ไม่ว่าศัตรูจะแข็งแกร่งขนาดไหนก็ตาม
ครั้นกระบี่ตวัดขึ้นอีกครั้ง รังสีที่แผ่ซ่านออกมาตามร่างกายของฉินชูก็เปลี่ยนไป ไม่ใช่เพราะตบะแปรเปลี่ยน แต่เป็เพราะทัศนคติและเจตจำนงเปลี่ยนไป กระบี่ในมือของเขาพลันเรืองแสงและสั่นเครือเบาๆ
ฉินชูกับอสรพิษัหิมะพุ่งเข้าฟาดฟันกันอีกครั้ง แต่ว่าในครั้งนี้ กระบี่ของฉินชูกลับสามารถฝากาแฉกรรจ์ไว้บนร่างของอสรพิษัหิมะได้ กรงเล็บของมันถูกคมกระบี่ของฉินชูฟันขาด ทำให้มันไม่กล้าพุ่งเข้าชนฉินชูอีก
หลังจากกลับมากุมความได้เปรียบ ฉินชูรู้สึกราวกับว่าตัวเองตระหนักได้ถึงความคิดและแก่นสารอันไร้รูปทรงบางอย่าง คล้ายกับว่ากระบี่ในมือของเขาหลอมรวมเป็ส่วนหนึ่งกับร่างกายตนเอง
หลังจากฟันกรงเล็บของอสรพิษัหิมะขาดสะบั้น ฉินชูก็พุ่งเข้าไปโจมตีที่จุดตายของมัน โดยะโขึ้นไปบนหลัง คว่ำกระบี่ลง มือทั้งสองข้างจับด้ามกระบี่และแทงลงไปยังกะโหลกของอสรพิษัหิมะจากด้านหลัง มือขวากำยึดด้ามกระบี่ มือซ้ายง้างหมัดชูขึ้น จากนั้นก็ตอกหมัดกระแทกด้ามกระบี่ลงไปให้ลึกกว่าเดิมจนกระบี่เสียบลึกลงไปที่สมองด้านหลังของมัน
อสรพิษัหิมะเริ่มดิ้นทุรนทุราย แต่ฉินชูหาได้ชักกระบี่ออกไป สมองส่วนท้ายของอสรพิษัหิมะถูกเล่นงานจนมันเ็ปและสิ้นใจตายในที่สุด
ผ่านไปครู่หนึ่ง กระบี่ก็ถูกชักออก ฉินชูพึงรำลึกถึงกระบวนท่ากระบี่พื้นฐานที่ตนขัดเกลามาพร้อมกับหวนนึกถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้นเมื่อครู่
กระบวนท่ากระบี่พื้นฐานพลันตวัดวาดลวดลาย ฉินชูจมดิ่งลงสู่ห้วงภวังค์อันลึกซึ้ง กระแสเวลาไหลผ่าน กระแสพลังปราณบนร่างและกระบวนท่ากระบี่หลอมรวมแปรเปลี่ยนเป็คมกระบี่คมกริบเหนือสิ่งอื่นใด
ต่อมาบังเกิดเสียงหวืดๆ พ้องลั่นออกมาจากกระบี่คล้ายเสียงเรียกขาน ฉินชูลืมตาขึ้นก่อนหัวเราะดังลั่น เพราะว่าวิถีกระบี่ของเขาถูกขัดเกลาจนถึงขั้นเจี้ยนหลิงอย่างลุล่วงสมบูรณ์
ขั้นเจี้ยนหลิงหรือขั้นิญญากระบี่คือ การที่จิติญญาของผู้ฝึกตนกับกระบี่หลอมรวมเป็หนึ่งเดียว ครั้นแก่นแท้ของวิถีกระบี่ถูกหลอมรวม พลังที่แท้จริงของขั้นิญญากระบี่ถึงถือกำเนิด หลังจากนี้ ไม่ว่าจะตวัดฟาดฟันด้วยกระบวนท่ากระบี่แบบใด อานุภาพทำลายล้างของมันก็จะรุนแรงขึ้นอย่างทบทวี
แม้ตำราวิชากระบี่พื้นฐานของฉินชูจะเรียบง่าย แต่คำแนะนำในตำรากล่าวไว้ว่า ‘ผู้ที่ฝึกวิชากระบี่จนถึงขั้นที่สามารถปลุกิญญาของกระบี่ขึ้นมาได้มีน้อยมาก หนึ่งในหมื่นก็ว่าได้ นี่คือขั้นที่ตรัสรู้ถึงจิติญญาของสรรพสิ่งได้อย่างลึกซึ้งแตกฉาน บรรลุและตระหนักได้ยากกว่าขั้นเจี้ยนอี้ (เจตจำนงกระบี่) หรือขั้นเจี้ยนหุน (ิญญากระบี่) หลายเท่าตัว จำเป็ต้องมีพร์และวาสนาติดตัวมาั้แ่กำเนิด การตะบี้ตะบันเอาแต่ฝึกอย่างเดียวไม่อาจขัดเกลาจนบรรลุขั้นนี้ได้’
ในเวลาเดียวกัน ณ สำนักชิงหยุน บนยอดเขาชิงหยุนได้บังเกิดเสียงสั่นพ้องร้องลั่นของกระบี่ขึ้น เหล่าลูกศิษย์บนยอดเขาชิงหยุนนับไม่ถ้วนต่างวิ่งมาที่ลานฝึกยุทธ์ ท่ามกลางลานฝึกยุทธ์ มีหญิงสาวคนหนึ่งกำลังวาดลวดลายกระบี่ กระแสปราณกระบี่พลิ้วไหว มวลพลังปราณแผ่กระเพื่อมฟุ้งตลบทั่วพื้นที่
ลู่หยวนและปรมาจารย์สูงสุดผู้ดูแลยอดเขาชิงหยุนก็ตามมาเช่นกัน “ขั้นเจี้ยนอี้! หลายร้อยปีมานี้ไม่คิดไม่ฝันว่าจะมีอัจฉริยะอายุน้อยกว่ายี่สิบปีที่สามารถปลุกเจตจำนงแห่งวิถีกระบี่ถือกำเนิดขึ้นที่สำนักชิงหยุนของพวกเรา”
“ศิษย์พี่ขอรับ ซั่งชูอวี๋มีพร์ในการฝึกวิถีกระบี่มาแต่กำเนิด นับว่าเป็ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในสำนักชิงหยุนใน่หลายร้อยปีที่ผ่านมาเลยก็ว่าได้” ลู่หยวนเอ่ยปากพูด
ขณะกำลังพูดอยู่นั้น ลู่หยวนก็นึกถึงฉินชู เขาคิดว่าลู่หยวนมีคุณสมบัติโดดเด่นเป็ยิ่งนัก แต่เมื่อเทียบกับซั่งชูอวี๋ที่สามารถปลุกเจตจำนงแห่งวิถีกระบี่ขึ้นมาได้นั้น เห็นได้ชัดว่ายังห่างชั้นจากซั่งชูอวี๋อยู่ไกลโข
ภายในเขามี่หยุน เพื่อคงเสถียรภาพพลังของขั้นเจี้ยนหลิงไว้ ฉินชูจึงได้เข้าฌานอยู่ที่เดิมเป็เวลาหนึ่งวันเต็ม
หลังจากหยั่งรู้พลังขั้นเจี้ยนหลิงอย่างแตกฉานแล้ว ฉินชูก็เก็บดอกัหิมะ ตัดหัวอสรพิษัหิมะและลากร่างของมันกลับไปที่สำนักชิงหยุน เนื่องจากร่างของอสรพิษัหิมะใหญ่เกินไป อย่าว่าแต่กำไลมิติเก็บของเลย ขนาดแหวนมิติเก็บของของเขายังยัดมันใส่เข้าไปไม่ได้ ดังนั้นจึงได้แต่จำใจลากมันกลับไปทั้งแบบนี้
ณ ลานหอศิษย์รับใช้บนยอดเขาชิงจู๋ ไป๋อวี้กำลังเผชิญหน้าอยู่กับศิษย์สายนอกคนหนึ่ง เขาอารมณ์ไม่ดียิ่งนัก เพราะตอนนี้มีศิษย์สายนอกจากยอดเขาชิงหยุนกำลังดูการต่อสู้อยู่และได้ยินมาว่าอัจฉริยะแห่งยอดเขาชิงหยุนนามว่าซั่งชูอวี๋ได้ปลุกเจตจำนงแห่งวิถีกระบี่ให้ตื่นขึ้นมาได้แล้ว ไป๋อวี้กลัวว่าหากฉินชูยังดันทุรังอยากท้าสู้กับลูกศิษย์สายในบนยอดเขาชิงหยุนต่อไป มีหวังคงถูกอัดจนเละเป็โจ๊กแน่นอน
เมื่อได้ยินคนอื่นพูดถึงฉินชูแบบนี้ จะให้ไป๋อวี้อภิรมย์ใจได้อย่างไร ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็ใคร ไป๋อวี้คิดว่าฉินชูเป็คนที่แข็งแกร่งที่สุดในสายตาของของเขามาตลอด