เมื่อหยวนอวี่ได้ยินคำของอิ๋งอิ๋ง ในใจก็ให้รู้สึกดีขึ้นมาหน่อย นางมองไปรอบๆ จู่ๆ สายตาก็เหลือบไปเห็นเด็กน้อยที่กำลังวิ่งมาทางตนอยู่พอดี อีกทั้งด้านหลังของเด็กน้อยผู้นี้ก็ยังมีสาวใช้และผอจื่อติดตามมาด้วย สายตาของพวกนางล้วนตกอยู่บนร่างเล็กๆ ของเด็กน้อยราวกับเกรงว่า หากคลาดสายไปเพียงชั่วลัดนิ้ว เด็กน้อยคนนี้ก็อาจหกล้มได้
เมื่ออิ๋งอิ๋งเห็นฉากนี้เข้า ในใจก็คิดไปว่า เด็กเพียงคนเดียวที่จะทำให้สาวใช้และผอจื่อเป็กังวลได้มากเพียงนี้ย่อมต้องเป็จวิ้นจู่น้อยแห่งจวนอ๋องอย่างแน่นอน นางหันมองไปทางหยวนอวี่แล้วรีบแนะนำ “คุณหนู นั่นคงเป็จวิ้นจู่น้อยกระมังเ้าคะ หากว่าคุณหนูสามารถสนิทสนมกับจวิ้นจู่น้อยได้ การจะอาศัยอีกฝ่ายเพื่อเข้าพบท่านอ๋องก็หาใช่เื่ยาก”
หยวนอวี่พยักหน้าเห็นพ้อง แต่เมื่อกำลังคิดจะยืนขึ้นเพื่อไปต้อนรับ เตี๋ยอีกลับพูดขัดขึ้นเสียก่อน “คุณหนูเ้าคะ ท่านจะไปต้อนรับนางด้วยตนเองไม่ได้นะเ้าคะ หากทำเช่นนั้น คนในจวนอ๋องจะให้ค่าคุณหนูต่ำไป”
เมื่ออิ๋งอิ๋งได้ยินคำพูดของเตี๋ยอีก็ชักสีหน้าทันที “เตี๋ยอี ตกลงเ้าเป็สาวใช้ของใครกันแน่ หรือว่าเ้าไม่อยากให้คุณหนูได้ดี ใช่หรือไม่? โอกาสที่เราจะได้เจอจวิ้นจู่น้อยมีไม่มาก หากคุณหนูไม่รีบคว้าโอกาสนี้ไว้ อีกเดี๋ยวจวิ้นจู่น้อยก็จะกลับเข้าไปในเรือนชั้นห้าแล้ว ต่อให้พวกเราจะอยากเจอก็เจอไม่ได้”
เตี๋ยอีผู้นี้ช่างน่ารังเกียจเสียจริง เอาแต่ขัดตนอยู่ตลอดราวกับว่า บนโลกใบนี้มีเพียงนางที่ฉลาดที่สุดอย่างไรอย่างนั้น
หยวนอวี่มองเตี๋ยอีทีหนึ่ง สุดท้ายก็ตัดสินใจนั่งลงดังเดิม จากนั้นจึงหันไปพูดกับอิ๋งอิ๋ง “เตี๋ยอีพูดถูก แม้นางจะเป็จวิ้นจู่น้อยแห่งจวนอ๋อง แต่ก็เป็เพียงบุตรสาวสายรอง ทั้งยังไม่ได้ถูกสลักชื่อลงบนอวี้เตี๋ยของราชวงศ์ด้วยซ้ำ ส่วนตัวข้านั้นเป็เสี้ยนจู่ที่ฝ่าาทรงแต่งตั้งด้วยองค์เอง หากให้พูดตามความจริง สถานะข้าไม่ได้ด้อยไปกว่านาง ดังนั้น หากวางท่าทีต้อยต่ำเกินไป คนในจวนอ๋องนี้จักต้องหัวเราะขบขันตัวข้าเป็แน่ ด้วยเื่นี้เตี๋ยอีพิจารณาได้รอบคอบจริงๆ ”
หยวนอวี่ไม่อาจไม่ยอมรับว่า เตี๋ยอีข้างกายนางที่เพิ่งถูกเลื่อนขั้นขึ้นมาได้ไม่นานผู้นี้เป็คนเฉลียวฉลาด ส่วนอิ๋งอิ๋ง ถึงแม้คนจะซื่อสัตย์ภักดีต่อตนมาก ทว่ากลับไม่ฉลาดเท่าเตี๋ยอี
เมื่อหวานหว่านเดินเข้ามาใกล้ และได้เห็นว่าในศาลามีคนนั่งอยู่ เด็กน้อยขี้สงสัยจึงรีบเดินเข้าไปในศาลาด้วยความกระตือรือร้น “ท่านเป็ใครหรือ? เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่? ” ถึงแม้นางจะยังไม่ถึงสามขวบ ทว่าเป็เด็กที่มีพร์ยิ่งในเื่การพูด เมื่อตอนที่นางมีอายุได้เพียงสิบเดือนก็สามารถพูดได้แล้ว กระทั่งอายุได้ขวบกว่าก็สามารถใช้ประโยคที่สมบูรณ์ เพื่อบอกความ้าของตนได้
หยวนอวี่มองเด็กน้อยน่ารักน่าเอ็นดูตรงหน้า ในใจก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเฝื่อนๆ กระทั่งั์ตายังฉายแววเ็า นางอยากรู้จริงๆ ว่า เด็กคนนี้เป็นังชั้นต่ำคนใดกันที่คลอดออกมาให้พี่จวินเหยียน ทว่าเบื้องหน้านางกลับทำยิ้มแล้วกล่าวตอบหวานหว่านอย่างเป็มิตร “ข้าคือหยวนอวี่เสี้ยนจู่มาจากเมืองหลวง แล้วเ้าเล่า? เ้าเป็ใคร? ”
เมื่อหวานหว่านได้ยินว่านางมาจากเมืองหลวง ทั้งยังมีนามว่าหยวนอวี่อีก ดวงตาน้อยๆ ก็ขยับไปมาคลับคล้ายว่ากำลังครุ่นคิดบางสิ่ง จากนั้นจึงยิ้มให้อีกฝ่ายพลางอ้าแขนออกกว้าง “พี่หยวนอวี่ อุ้มหน่อย”
เมื่อหยวนอวี่เห็นเช่นนั้นก็ยิ้มดีใจแล้วรีบก้าวไปด้านหน้า เพื่ออุ้มหวานหว่านน้อยไว้ในอ้อมแขน เดิมตนยังคิดว่าจะแสดงออกเพียงเล็กน้อย ให้ได้ใกล้ชิดกับอีกฝ่ายสักหน่อยก็นับว่าใช้ได้แล้ว แต่ใครจะรู้ได้ว่าเด็กน้อยหวานหว่านนี้จะมีบางสิ่งให้กล่าวต่อ... “พี่หยวนอวี่ ข้าได้ยินพวกบ่าวชายพูดกันว่า ยามนี้ดอกบัวในสระบัวที่เรือนชั้นสามกำลังเบ่งบาน สวยงามมาก ท่านช่วยอุ้มข้าไปดูดอกบัวที่นั่นจะได้หรือไม่เ้าคะ”
บรรดาสาวใช้ที่ตามติดหวานหว่านอดก้มศีรษะลง มุมปากกระตุกไม่ได้ การจะอุ้มจวิ้นจู่น้อยเดินจากที่นี่ไปยังเรือนชั้นสามต้องใช้เวลาราวสองเค่อ เสี่ยวจวิ้นจู่คงตั้งใจจะให้อีกฝ่ายทำเช่นนี้แน่
เพียงได้ฟังคำขอร้องนั้น แม่นมก็รู้แจ้งในทันที ก่อนหน้านี้ตนก็ยังสงสัยอยู่ว่า เหตุใดจวิ้นจู่น้อยจึงมิให้พวกองครักษ์แบกเกี้ยวมา ทว่าเมื่อได้เห็นเหตุการณ์เป็เช่นนี้ก็คิดได้ว่า เด็กน้อยคนนี้คงนึกอยากจะจัดการหยวนอวี่เสี้ยนจู่ผู้นี้ด้วยตนเองกระมัง จวิ้นจู่น้อยเป็เด็กน่ารักเสมอมา มิคาดหนนี้กลับมีความคิดที่จะกำจัดเสี้ยนหนามอย่างหยวนอวี่เสี้ยนจู่ขึ้นมา
ดูท่า คำพูดของพวกคนรับใช้ในจวนคงจะไปเข้าหูจวิ้นจู่น้อยเป็แน่ เพราะใครๆ ต่างก็พูดกันว่า หยวนอวี่เสี้ยนจู่ผู้นี้เป็ชายาหานอ๋องที่อยู่ในพระทัยของฮ่องเต้และฮองเฮา และมีความเป็ไปได้มากที่จะมาแทนที่พระชายาคนปัจจุบันอย่างอวิ๋นซี ดังนั้น เด็กน้อยที่คิดจะปกป้องมารดาตน จึงได้ตั้งใจจะแผลงฤทธิ์ใส่หยวนอวี่เสี้ยนจู่ เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ แม่นมก็ปล่อยเลยตามเลย ปล่อยให้จวิ้นจู่น้อยได้ทำตามใจตน เพราะในสายตาของนาง พวกคุณหนูตระกูลสูงศักดิ์อย่างหยวนอวี่นั้นมักจะอ่อนแอ หวาดกลัวความยากลำบากเป็ที่สุด ทั้งยังมีอารมณ์ร้าย เพียงพิศมองเท่านี้ก็พอจะรู้ได้ว่าอีกฝ่ายจะมีดีได้เท่าพระชายาอวิ๋นซีได้อย่างไร
หรืออาจจะสังเกตจากการแสดงออกของจวิ้นจู่น้อยก็พอจะรู้ได้แล้ว เพียงแค่ระยะเวลาสั้นๆ ไม่กี่วันที่ได้รู้จักกัน นางกลับเริ่มปกป้องอวิ๋นซีแล้ว เพราะเด็กน้อยนั้นเป็ผู้บริสุทธิ์ไร้เดียงสา ใครดีกับนางจริงๆ นางก็สามารถรับรู้ได้ อีกประการหนึ่ง ตัวแม่นมเองก็ไม่อยากเห็นให้ใครเข้ามาทำลายความสัมพันธ์อันดีระหว่างท่านอ๋องและพระชายาด้วยเช่นกัน
ภายใต้คำขอร้องของหวานหว่าน หยวนอวี่ไม่มีทางเลือกได้แต่ต้องเข้าอุ้มอีกฝ่ายแล้วเดินไปด้านหน้า ทว่าเดินไปได้เพียงครู่หนึ่ง นางก็รู้สึกปวดเมื่อยไปทั้งร่าง แต่เล็กจนโตหยวนอวี่นั้นถูกเลี้ยงดูมาอย่างสมเกียรติของคุณหนูสูงศักดิ์ที่ไม่เคยต้องได้รับกับความลำบากมาก่อน ด้วยเหตุนี้ คนเยี่ยงนางจะทนรับกับความลำบากในตอนนี้ได้อย่างไร การให้นางอุ้มตัวหวานหว่านเป็เวลานานเช่นนี้ถือเป็เื่ที่เป็ไปไม่ได้ ทว่า เป็เพราะยัยเด็กบ้านี่ได้รับความโปรดปรานและรักใคร่จากพี่จวินเหยียนมาก นางที่อยากเจอพี่จวินเหยียนใจแทบขาดจึงจำเป็อย่างมากที่จะต้องเอาอกเอาใจอีกฝ่ายให้ดี
คิดถึงตรงนี้ จู่ๆ นางก็รู้สึกคับข้องใจยิ่ง
ระหว่างทางที่จะไปยังเรือนชั้นสาม ยิ่งหยวนอวี่เดินก็ยิ่งเคลื่อนไหวได้ช้าลง ขณะที่หวานหว่านยังคงกอดคออีกฝ่ายแน่นพลางพูดคุยกับแม่นมที่อยู่ข้างกายบ่อยๆ ทว่าแม่นมเองก็เป็คนฉลาด ถามไถ่หวานหว่านว่าจะให้ตนช่วยอุ้มนางแทนหรือไม่ ส่วนหวานหว่านก็ให้ความร่วมมือเป็อย่างดีจึงกล่าวตอบออกไปว่า นางชมชอบพี่หยวนอวี่ จะให้เพียงพี่หยวนอวี่อุ้ม
หวานหว่านพูดไปพลางขยับร่างไปพลาง ทำให้แขนทั้งสองข้างของหยวนอวี่ที่เดิมทีก็ล้ามากแล้วยิ่งอ่อนแรงมากขึ้นกว่าเดิม และหากหวานหว่านยังคงขยับกายไปมาเช่นนี้ ตัวนางเองก็คงอุ้มต่อไม่ไหวแล้ว ฉับพลันนั้นนางก็ปล่อยมือออก ทำให้หวานหว่านร่วงหล่นลงไปทันที สาวใช้ที่เดินตามอยู่ด้านหลังเมื่อเห็นเหตุการณ์เป็เช่นนี้ก็รีบรุดหน้าเข้ามาอุ้มตัวหวานหว่านที่ยามนี้หกคว่ำคะมำหงายอยู่บนพื้นพลางร้องไห้ฟูมฟายด้วยความเ็ป
หวานหว่านที่ถูกแม่นมอุ้มไว้ในอ้อมแขนชี้นิ้วไปยังหยวนอวี่พร้อมพูดจาด้วยความโกรธเกรี้ยว “พี่หยวนอวี่ ท่านใจร้ายเกินไปแล้ว ถึงกับปล่อยให้ข้าตกลงพื้น ข้าเกลียดท่าน”
เมื่อพูดจบ นางก็ซบตัวพาดไปบนอกของแม่นมแล้วจึงสะอื้นไห้พลางกล่าวฟ้อง “แม่นม ข้าเจ็บ ข้าจะหาท่านแม่ ข้าจะบอกท่านแม่และเสด็จพ่อว่าพี่หยวนอวี่รังแกข้า”
เมื่อหยวนอวี่ได้ยินเช่นนั้น สีหน้านางพลันซีดขาว ก่อนจะรีบพูดด้วยน้ำเสียงขอโทษขอโพย “จวิ้นจู่น้อย ข้าไม่ได้ตั้งใจ ข้าไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ” หากไม่ใช่เพราะยัยเด็กบ้านี่ไม่ยอมอยู่นิ่งๆ ในอ้อมแขนนาง นางก็คงจะไม่แขนล้าจนต้องปล่อยมือ
แม่นมมองดูหยวนอวี่ที่ดูร้อนรนทำอะไรไม่ถูก ทั้งยังมีสีหน้าที่ไม่ดียิ่ง ทว่าตัวนางเองก็เป็คนเลี้ยงหวานหว่านมาจนถึงทุกวันนี้ ในใจนาง เด็กคนนี้ก็ราวกับบุตรสาวแท้ๆ ของตนก็ไม่ปาน และตอนนี้เมื่อต้องมาเห็นคนทิ้งอีกฝ่ายลงพื้นต่อหน้าต่อตา นางก็อดไม่ได้ให้โกรธมาก “หยวนอวี่เสี้ยนจู่ ตัวข้าเป็เพียงบ่าวรับใช้คงไม่อาจพูดอะไรกับท่านได้ แต่หากท่านเหนื่อย ก็สามารถแจ้งแก่ข้าตามตรงได้ เพื่อที่ข้าจะได้อุ้มจวิ้นจู่น้อยเอง”
ถึงแม้จะไม่ได้พูดออกไปตรงๆ ว่าเป็เพราะอีกฝ่ายปล่อยมือจนเป็เหตุให้หวานหว่านต้องตกลงมา แต่ความหมายที่สื่อออกไปก็ยังคงแฝงไว้ด้วยแววตำหนิ
“ยัยแก่คนนี้ริอาจพูดจาเช่นนี้ได้เยี่ยงไร คุณหนูของข้าก็บอกแล้วว่าไม่ได้ตั้งใจ นางเป็ถึงคุณหนูมีตระกูลจะให้ไปอุ้มเด็กที่อ้วนเพียงนี้ไหวได้อย่างไร” อิ๋งอิ๋งที่อยู่เื้ัทนเห็นคุณหนูของตนโดนบ่าวชราตำหนิมิได้ก็รีบก้าวมาด้านหน้าแล้วโต้เถียงกลับด้วยความโกรธทันที
เมื่อแม่นมได้ยินอิ๋งอิ๋งพูดเช่นนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันใด หากไม่ใช่เพราะหวานหว่านกอดนางไว้และร้องว่าอยากจะกลับแล้ว นางคงได้ประชันฝีปากกับอิ๋งอิ๋งผู้นี้เสียสักหน่อย ด้วยเหตุนี้ นางจึงได้แต่พูดกับจวิ้นจู่น้อยด้วยเสียงเบา “ประเดี๋ยวแม่นมจะพาท่านกลับไปหาพระชายานะเพคะ”
บ่าวชราลอบตัดสินใจอยู่เงียบๆ ไม่ว่าอย่างไรก็จะให้สตรีนางนี้ตบแต่งให้ท่านอ๋องไม่ได้โดยเด็ดขาด มิเช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะรังแกหวานหว่านเช่นไร
หยวนอวี่มองแผ่นหลังของแม่นมที่กำลังละจากไป แต่เมื่อไตร่ตรองถึงเื่ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ก็เกิดกังวลว่า แม่นมจะไปกล่าวโทษตนต่อพี่จวินเหยียน จึงได้ตัดสินใจรีบไล่ตามไปแล้วพูดว่า “จวิ้นจู่น้อย ข้าไม่ได้ตั้งใจ อย่าได้โกรธเคืองข้าเลยนะ ให้พี่หยวนอวี่พาเ้าไปดูดอกบัวต่อดีหรือไม่ เ้า อย่าได้โกรธข้าอีกเลยนะ”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้