ซูิเยว่ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนเบือนสายตาหนีด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ แต่กลับเป็บุรุษชุดชมพูที่อยู่ด้านข้างองค์ชายสามที่หัวเราะออกมา สิ่งนี้ทำให้ซูิเยว่ประหลาดใจเล็กน้อย
เด็กหนุ่มโค้งตัวลงแล้วพูดบางอย่างข้างหูจี๋โม่หาน?
ต่อมาจี๋โม่หานก็หันมา ซูิเยว่อยากแสร้งทำเป็มองไม่เห็น แต่นางก็อดปรายตามองไปทางนั้นไม่ได้ ที่จี๋โม่หานหันมองมาทางนี้ก็เพราะองครักษ์ของเขาได้บอกฐานะของนางออกไปแล้วกระมัง
ซูิเยว่รู้สึกจนใจแล้วถอนหายใจเงียบๆ เดิมนางคิดว่าจะนั่งนิ่งๆ เช่นนี้จนเลิกรา แต่หากไม่ทักทายเขาก็คงเสียมารยาทไปหน่อย
ความคิดของซูิเยว่ตีกันในหัวอยู่รอบหนึ่ง สุดท้ายนางก็แสร้งทำเป็ไม่รู้จักเขาและหันไปทางจี๋โม่หาน พลางแย้มยิ้มกล่าวทักทาย “หม่อมฉันซูิเยว่ ถวายบังคมเพคะฝ่าา”
จี๋โม่หานเลิกคิ้ว แย้มยิ้มแฝงความนัยเล็กน้อย “ที่แท้ก็แม่นางซูนี่เอง ไม่ต้องมากพิธีหรอก”
“ขอบพระทัยเพคะฝ่าา” ซูิเยว่พูดจบก็กลับมานั่งตัวตรง
งานเลี้ยงเริ่มมาได้สักพักหนึ่งแล้ว ทางด้านที่นั่งประธานซึ่งอยู่ด้านหน้ากำลังชนแก้วพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน หากเทียบกันแล้วทางนี้เงียบสงบและเ็าอย่างเห็นได้ชัด
ผ่านไปครู่หนึ่ง จี๋โม่หานพลันเอ่ยปากขึ้นมา “เหตุใดแม่นางซูถึงไม่นั่งด้านหน้าหรือ?”
นี่กำลังชวนนางคุยอย่างนั้นหรือ?
ซูิเยว่ประหลาดใจเล็กน้อย จากความทรงจำของนางองค์ชายสามผู้นี้ค่อนข้างเ็าอยู่เสมอ ว่ากันว่าหลังจากที่ทรงประสบอุบัติเหตุ นิสัยก็ยิ่งไม่แน่นอน ดังนั้นปกติแล้วไม่มีใครกล้าที่จะเข้าใกล้เขา
แต่ในเมื่อเขาชวนคุยแล้ว ซูิเยว่ก็ไม่อาจแสร้งทำเป็หูหนวกเป็ใบ้ได้
“ด้านหน้าค่อนข้างเสียงดัง ข้าเองก็ไม่ถนัดพวกคำพูดตามมารยาทสักเท่าไหร่” ซูิเยว่ยิ้มแล้วตอบตามความจริง “อีกทั้งองค์ชายสามก็นั่งอยู่ที่นี่ไม่ใช่หรือเพคะ?”
จี๋โม่หานหันมาทางนางพลันยกมุมปากขึ้นแล้วหัวเราะเบาๆ “ข้าเองก็เช่นกัน ไม่ชอบเสียงดังคึกคักสักเท่าไหร่”
เสียงหัวเราะเบาๆ นี้ไม่เพียงทำให้ซูิเยว่ชะงักไป แต่ยังทำให้หลิงชวนกับจิ่งฉือที่ยืนอยู่ด้านหลังตะลึงค้างไปด้วย
พวกเขาอยู่ข้างกายองค์ชายสามมานาน แต่ยังไม่เคยเห็นองค์ชายสามหัวเราะมากเท่าไรนัก
ตอนที่จี๋โม่หานไม่ยิ้มก็เหมือนกับหยกงามที่แกะสลักมาอย่างประณีต เป็บุคคลหน้าตางดงามแต่แผ่ไอเย็นออกมา ทำได้แค่มองจากไกลๆ ไม่อาจเข้ามามองใกล้ๆ ได้ ทว่ารอยยิ้มเมื่อครู่เหมือนกับน้ำแข็งได้ละลายไปจนหมดทำให้ไม่อาจละสายตาไปได้
ซูิเยว่ถึงกับเหม่อไปครู่หนึ่ง นางอดที่จะเดาะลิ้นไม่ได้ จี๋โม่หานผู้นี้ขนาดตาบอดก็ยังสง่างามได้ถึงขนาดนี้ หากไม่ตาบอดจะเพียบพร้อมราวกับคนจาก์ขนาดไหน ในเมืองหลวงนี้คงจะหาผู้ที่งดงามเหมือนจี๋โม่หานไม่ได้อีกแล้ว
ซูิเยว่มองจนพอใจแล้วดึงสายตากลับมา จากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
งานเลี้ยงดำเนินมาถึง่กลางของงาน พระสวามีขององค์หญิงใหญ่ก็อุ้มลูกเข้ามาชนแก้วทางนี้
ถึงแม้ซูิเยว่จะคออ่อน แต่เมื่ออีกฝ่ายให้เกียรติแล้วก็ต้องฝืนดื่มเข้าไปหนึ่งแก้ว รสชาติขมร้อนของสุราชั้นดีที่เพิ่งจะเข้าปากไปนั้นก็อร่อยใช้ได้ แต่พอดื่มไปเรื่อยๆ ก็เหมือนมีดที่ไหลผ่านคอเข้าไปในท้องทำเอาซูิเยว่แทบจะน้ำตาเล็ด ภายในท้องร้อนผ่าวอย่างทรมาน
นางขมวดคิ้วก่อนจะวางแก้วลงแล้วไอออกมาเบาๆ ตอนนี้รู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย
องค์หญิงใหญ่มองนางด้วยความเป็ห่วง “แม่นางซู ไม่เป็อะไรใช่หรือไม่ หากรู้ก่อนก็คงไม่บังคับเ้าแล้ว”
ซูิเยว่โบกมือพร้อมรับน้ำชาจากนางกำนัลมาถือเอาไว้ “ไม่เป็ไรเพคะ องค์หญิงไม่ต้องกังวลใจ อย่างไรวันนี้ก็เป็วันมงคล”
“เช่นนั้นหากแม่นางซูรู้สึกไม่สบายตรงไหนก็รีบบอกข้าทันทีเลยนะ”
ซูิเยว่อดทนกับความรู้สึกร้อนปั่นป่วนในท้องก่อนจะยิ้มแล้วพยักหน้า “องค์หญิงไปสนุกกับงานเถิดเพคะ ไม่ต้องเป็ห่วงข้า”
หลังจากที่องค์หญิงไปแล้ว ซูิเยว่ถึงได้ยกมือขึ้นกุมท้องแล้วไอน้อยๆ ต่อ ความรู้สึกที่เหมือนมีดบาดในลำคอดีขึ้นมากแล้ว แต่ภายในท้องกลับเริ่มรู้สึกร้อนมากขึ้น
เสี่ยวอวี่ สาวรับใช้ที่ติดตามจากจวนสกุลซูมองซูิเยว่ด้วยความกังวลแล้วพูดเสียงเบา “คุณหนู ไม่เป็อะไรจริงๆ ใช่หรือไม่เ้าคะ?”
“ไม่เป็อะไร” ซูิเยว่ไอแค่กๆ อีกหลายครั้ง คิ้วถึงได้คลายออกจากกัน “ไม่เป็อะไร ข้าดีขึ้นมากแล้ว”
ตอนนี้เองที่จี๋โม่หานซึ่งนั่งอยู่ด้านข้างก็เอ่ยปากขึ้นมา “หากรู้สึกไม่ดีก็ให้คนรับใช้ของเ้าไปต้มโอสถแก้เมาที่โรงครัว”
ซูิเยว่ได้ยินเสียงก็หันไปมอง พอเห็นว่าจี๋โม่หานก็มองมาทางนี้เช่นนี้ นางก็รู้สึกแปลกๆ เล็กน้อย เหตุใดวันนี้จี๋โม่หานถึงได้ชอบยุ่งเื่ของคนอื่นขนาดนี้ “ข้าไม่เป็ไร องค์ชายสามไม่ต้องกังวลหรอกเพคะ”
เมื่อซูิเยว่ดื่มชาที่เย็นแล้วหมดไปหนึ่งแก้วก็คลายความรู้สึกร้อนๆ ในท้องลงได้ นางจึงรู้สึกดีขึ้นมาก
ทว่านั่งอยู่ได้ไม่นานนักซูิเยว่ก็รู้สึกว่าฤทธิ์สุราขึ้นมาที่หัว ร่างกายเริ่มโงนเงน แม้แต่สิ่งของตรงหน้าก็เริ่มสั่นไหว
แขนของนางเท้าอยู่ที่โต๊ะ มือกุมหน้าผากพร้อมนวดหว่างคิ้วไปด้วย ดูเหมือนนางจะประเมินปริมาณสุราที่ตัวเองรับได้เอาไว้สูงเกินไป เพิ่งจะผ่านไปแก้วเดียวก็รับไม่ไหวแล้ว
เสี่ยวอวี่เห็นสภาพเช่นนี้ก็ก้มตัวลงแล้วพูดด้วยความกังวล “คุณหนู เป็อย่างไรบ้างเ้าคะ?”
ซูิเยว่หลับตาถอนหายใจ “ข้ามึนหัวเล็กน้อย เสี่ยวอวี่ เ้าไปถามองค์หญิงใหญ่ว่าสามารถจัดห้องพักผ่อนให้สักห้องได้หรือไม่”
อย่างไรงานเลี้ยงก็เพิ่งดำเนินมาได้ครึ่งทาง หากจะกลับก่อนก็คงไม่ค่อยดีเท่าไร
“เ้าค่ะ”
เสี่ยวอวี่ไปครู่เดียวก็กลับมา ข้างกายยังมีชิงจื้อซึ่งเป็สาวใช้ที่ติดตามองค์หญิงใหญ่ตามมาด้วย
“คุณหนูซู เรือนหลังมีห้องว่างอยู่ เชิญตามมาทางนี้เ้าค่ะ”
เสี่ยวอวี่พยุงซูิเยว่ให้ลุกขึ้นแล้วตามหลังชิงจื้อไปที่เรือนหลัง จ้าวอวี้ถิงที่นั่งอยู่ด้านหน้าเห็นภาพนี้ก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่งสายตาให้องค์ชายห้าแล้วตามไป
“น้องิเยว่ เ้าเป็อะไรหรือ?” น้ำเสียงของจ้าวอวี้ถิงเต็มไปด้วยความเป็ห่วง พูดไปพลางพยุงแขนของซูิเยว่เอาไว้แล้วพาเดินมาอีกด้านหนึ่ง
ซูิเยว่ดึงแขนตัวเองอยู่ครู่หนึ่งแต่ก็ดึงไม่ออก อีกทั้งตอนนี้ยังเวียนหัว นางรู้สึกเหมือนใต้เท้ากำลังหมุนจึงเลิกดึงแขนออก “ข้าไม่เป็อะไรเ้าค่ะ ข้าแค่คออ่อนก็เลยมึนหัวเล็กน้อยเท่านั้น”
จ้าวอวี้ถิงพูดกับชิงจื้อ “เช่นนั้นจัดห้องให้ข้าด้วยได้หรือไม่?”
นางพูดจบก็มองซูิเยว่ “เ้าเป็เช่นนี้ข้าเองก็ไม่วางใจ ข้าไปดูแลเ้าแล้วกัน”
ซูิเยว่ยังไม่ทันจะปฏิเสธ ชิงจื้อก็รับคำไปแล้ว “ห้องข้างๆ คุณหนูซูก็วางอยู่เ้าค่ะ คุณหนูสามารถพักผ่อนที่นั่นได้”
ซูิเยว่เงียบ นางปล่อยให้จ้าวอวี้ถิงไปส่งนางที่ห้อง หลังจากเข้าห้องมาแล้ว เสี่ยวอวี่ก็พยุงนางมานั่งที่ข้างโต๊ะ ส่วนจ้าวอวี้ถิงก็นั่งลงด้านข้างยังไม่มีความคิดที่จะกลับไป
ซูิเยว่หลับตา ถึงแม้จะเวียนหัว แต่สติก็ยังแจ่มชัด ที่นางไม่ปฏิเสธจ้าวอวี้ถิงก็เพราะนางมีเหตุผล
ั้แ่ที่เห็นองค์ชายห้าในวันนี้ ซูิเยว่ก็จำได้ทันที เมื่อชาติก่อนนางถูกจ้าวอวี้ถิงวางยาในชาตอนมาร่วมงานเลี้ยงครบรอบเดือนขององค์ชายน้อย
องค์ชายห้ากับจ้าวอวี้ถิงได้วางแผนกันล่วงหน้าแล้ว โดยพวกเขาจะส่งคนมาข่มเหงนาง จากนั้นองค์ชายห้าก็จะอาศัยจังหวะนี้แสดงตัวเป็วีรบุรุษมาช่วยสาวงามเอาไว้ ตอนนั้นนางรู้สึกซาบซึ้งมาก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้