ความเร็วในการบินของเสี่ยวเทียนนั้นไม่ได้ช้าไปกว่าอินทรีดำหลังค่อม ดังนั้นพวกเขาสามคนจึงเดินทางมาถึงหุบเขาเทียนอวิ่นใน่เย็น หลังมาถึงแล้วเสี่ยวเทียนก็กลับเข้าไปนอนในอ้อมแขนของมู่เฟิงอย่างอ่อนล้า ส่วนหุ่นเชิดซู่เหลียนก็กลับเข้าไปในโลงศพอยู่ในแหวนเฉียนคุน
เดิมทีเขาไม่้าให้ซู่เหลียนกลับเข้าไปนอนในโลงและหลับไหลอยู่ในแหวนเฉียนคุน แต่หากเขาปล่อยให้นางติดตามอยู่ข้างกายอาจจะทำให้เกิดปัญหาขึ้นอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
ซีเยว่เคยกล่าวว่าหุ่นเชิดิญญาสามารถกำเนิดิญญาใหม่ที่มีสติและจิตสำนึกเป็ของตัวเองได้ ดังนั้นมู่เฟิงจึงไม่้าปฏิบัติต่อซู่เหลียนราวกับเป็อาวุธชิ้นหนึ่ง
คนทั้งสามเดินกลับเข้าไปในหุบเขาเทียนอวิ่นพร้อมกัน
“คราวนี้เ้าปล่อยให้หุ่นเชิดสังหารซือถูคง อีกทั้งพวกเว่ยอี้อวิ๋นคงเดาออกแล้วว่าเ้าได้รับสมบัติจากวังโบราณจิ่วซานกลับมา เ้าคิดจะอธิบายเื่นี้กับสำนักศึกษาอย่างไร?”
ข่งย่วนเอ่ยถามด้วยความเป็ห่วง
แม้ว่ามู่เฟิงจะไม่ได้สังหารซือถูคงด้วยตัวเอง แต่มันก็เกี่ยวข้องกับเขา
“หากสำนักศึกษาถาม ข้าจะตอบไปตามจริง อย่างไรมันก็ถือเป็ความขัดแย้งส่วนตัวนอกเขตสำนักศึกษาอยู่แล้ว ทางสำนักศึกษาไม่สมควรเข้ามายุ่ง”
มู่เฟิงขมวดคิ้ว
“อืม ตามที่เ้ากล่าวมาก็ถือว่าถูกต้อง เมื่อออกนอกเขตสำนักศึกษา ความเป็ตายของบัณฑิตล้วนไม่เกี่ยวข้องกับสำนักศึกษา แต่ปัญหามันอยู่ตรงที่ภารกิจนี้เป็ภารกิจพิเศษของสำนักศึกษา ข้าเกรงว่าสำนักศึกษาอาจจะเข้ามาแทรกแซง”
“หึๆ รถวิ่งมาถึงหน้าูเาต้องเจอทางไปต่อแน่* เรือมาถึงหัวสะพานอย่างไรก็ต้องจอด**”
(*ทุกปัญหามีทางออก ,**อดทนเอาไว้ มันจะผ่านไปด้วยดี)
มู่เฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม ไม่ว่าผลที่ตามมาจะเป็อย่างไรเขาจะไม่เสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะมันได้เกิดขึ้นไปแล้ว
“เฮ้อ คิดไม่ถึงเลยว่าซือถูคงจะเป็คนบัดซบที่น่ารังเกียจถึงเพียงนี้ เมื่อก่อนเป็ข้าที่มองเขาผิดไป”
ข่งเซวียนเอ๋อร์ถอนหายใจ
“หึๆ มนุษย์เราอะไรจริงอะไรเท็จสามารถเห็นได้ชัดเจนเสียที่ไหน แต่ไม่ว่าเขาจะเป็คนกลับกลอกหรือมีเล่ห์เหลี่ยมมากเพียงใด ขอเพียงเ้ามีพละกำลังที่แข็งแกร่ง ต่อให้อีกฝ่ายจะมีแผนชั่วอะไรอยู่ก็จะกลายเป็แค่เื่น่าขบขันเท่านั้น”
มู่เฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม แม้เขาจะยังเป็เพียงเด็กคนหนึ่ง แต่เขาก็เคยััประสบการณ์เ่าั้มามากมายนับไม่ถ้วนแล้ว จิตใจของผู้คนในนั้นจอมปลอม
“หึ เ้านี่วางมาดอย่างกับผู้ใหญ่”
ข่งเซวียนเอ๋อร์พึมพำ
คนทั้งสามเดินกลับมาเข้าไปในสำนักศึกษาเทียนอวิ่นด้วยกัน เมื่อเข้ามายังเขตสำนักศึกษาแล้ว ข่งย่วนก็แยกออกไปรายงานตัวในฐานะหัวหน้าภารกิจ
ส่วนมู่เฟิงก็เดินตรงไปยังเรือนโอสถ
ห้องพักผู้ป่วยภายในเรือนโอสถ
หมอโอสถเหลิ่งมองดูหญ้าโลหิตมรกตที่มู่เฟิงเพิ่งมอบให้ด้วยความประหลาดใจ ส่วนคนอื่นๆ ต่างจ้องมองหญิงชราอย่างคาดหวัง
“เ้าหนุ่ม เ้าเพิ่งไปที่นั่นได้เพียงไม่กี่วัน เ้าก็สามารถนำหญ้านี่กลับมาได้แล้วหรือ”
หมอโอสถเหลิ่งรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แน่นอนว่าการเข้าไปยังวังโบราณจิ่วซานนั้นไม่ใช่เื่ล้อเล่น แต่มู่เฟิงกลับสามารถออกมาได้อย่างปลอดภัยทั้งยังใช้เวลาเพียงไม่กี่วันเท่านั้น
“ผู้าุโ ตกลงสมุนไพรนี่ใช้ได้หรือไม่?”
มู่เฟิงเอ่ยถามด้วยความคาดหวัง ส่วนมู่ขวง มู่หลิงเอ๋อร์และคนอื่นๆ ต่างก็จ้องมองอย่างเป็กังวลในคำตอบ
“วางใจเถอะ ข้าจะนำมันกลับไปกลั่นเป็ยาล้างพิษให้เ้าเด็กนั่นเอง”
หมอโอสถเหลิ่งตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“ช่างดีนัก จื่อเยว่มีทางรอดแล้ว!”
หลังจากได้ฟังคำตอบ ทุกคนต่างก็รู้สึกยินดีเป็อย่างยิ่ง พวกเขาถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก สายตาของพวกเขาที่มองไปทางมู่เฟิงเต็มไปด้วยความเคารพและชื่นชม
คนที่สามารถเสี่ยงชีวิตเพื่อพวกพ้องของตัวเองได้ บุคคลเช่นนี้ไม่น่าติดตามหรอกหรือ?
มู่หลิงเอ๋อร์จ้องมองเด็กหนุ่ม ความรู้โล่งใจฉายชัดขึ้นในดวงตาคู่สวยของนาง
เวลานี้อีกฝ่ายกำลังเติบโตเป็ผู้ใหญ่และเป็ผู้นำที่สามารถพึ่งพาได้ สักวันหนึ่งเขาคงจะสามารถแบกผืนฟ้าอันกว้างใหญ่เอาไว้ได้เช่นกัน
มู่เฟิงรู้สึกโล่งใจมาก ราวกับได้ยกก้อนหินออกจากอก
ยามค่ำคืน บนหลังคาเรือนพักของมู่เฟิง เด็กหนุ่มกำลังนอนซบอยู่ในอ้อมแขนของว่านเอ๋อร์ มือของเขาวางลงบนตักของเด็กสาว ขณะเหม่อมองไปยังกลุ่มก้อนเมฆและหมู่ดาวบนท้องฟ้า เวลานี้ภายในใจของเขารู้สึกสงบยิ่งนัก
“เฟิง หลายวันมานี้เ้าคงจะเหนื่อยและลำลากมากเลยสินะ”
อวิ๋นชิงว่านโอบกอดศีรษะของมู่เฟิงพลางเอ่ยถามเขา
“อืม ว่านเอ๋อร์ หลายวันมานี้ข้าได้รู้ซึ้งถึงจิตใจของมนุษย์เพิ่มขึ้นไม่น้อย มีบางคนสามารถร่วมเผชิญปัญหาจมวิกฤตไปกับข้าได้ แต่เมื่อมีเื่ผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง เขากลับเปลี่ยนสีหน้าไปอย่างรวดเร็วจนข้าใ”
มู่เฟิงหวนนึกถึงโหวโซ่ว
“จิตใจของผู้คนข้าไม่เข้าใจหรอก แต่ข้าจะอยู่เคียงข้างเ้าเสมอ ตลอดไป”
ว่านเอ๋อร์กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“หึๆ เด็กดี มานี่ แม่นางน้อยมาให้ข้าหอมสักครั้ง”
มู่เฟิงหัวเราะคิกคัก ก่อนจะหอมลงไปบนใบหน้าของว่านเอ๋อร์ สีหน้าเด็กสาวเปลี่ยนเป็แดงก่ำ นางกลอกตาใส่เขาทันที
ว่านเอ๋อร์เป็ความไร้เดียงสาเพียงหนึ่งเดียวในใจของเขา นางทั้งไม่ประสีประสาและเงียบสงบที่สุด...
โลกที่เต็มไปด้วยเื่ราวยุ่งเหยิงมากมาย ความซับซ้อนและความวุ่นวายของจิตใจมนุษย์ หากว่ามีสิ่งที่ช่วยให้จิตใจสงบลงได้ เท่านี้ก็นับว่าเพียงพอแล้ว...
หลังจากมู่เฟิงกลับมาถึงสำนักศึกษาเทียนอวิ่นได้ไม่นาน พวกเว่ยอี้อวิ๋นและบัณฑิตคนอื่นๆ ก็เดินทางกลับมาถึงเช่นกัน
เวลารุ่งสางของเช้าวันถัดมา บัณฑิตผู้คุมกฎสองคนเดินมาหามู่เฟิงถึงเรือนพัก
“มู่เฟิง มากับเรา”
บัณฑิตผู้คุมกฎกล่าวอย่างเ็า
มู่เฟิงพยักหน้า เขาสามารถตระหนักได้ทันทีว่ามีเื่อะไร
เด็กหนุ่มเดินตามบัณฑิตผู้คุมกฎทั้งสองไปจนถึงหอควบคุมกฎ
หอควบคุมกฎเป็อาคารสีดำขนาดใหญ่ ซึ่งสถานที่แห่งนี้จะเป็ที่ตัดสินและลงทัณฑ์ศิษย์ที่ละเมิดกฎของสำนักศึกษา
เมื่อเข้ามาถึงด้านในหอคุมกฎก็พบว่ามีผู้าุโหลายคนกำลังนั่งรออยู่้า ซึ่งในบรรดาพวกเขามีผู้าุโสายนอกอย่างเจิ้งเยว่เซินรวมอยู่ด้วย นอกจากนี้ยังมีอู๋อี้และจ้าวเหิงอีกด้วย
ส่วนผู้คนที่อยู่ทั้งสองฝั่งคือพวกบัณฑิตในสำนักศึกษา ซึ่งเวลานี้ทั้งข่งย่วน เว่ยอี้อวิ๋น หยางฉาน โจวเหวินเฉวียน และศิษย์สายในที่เข้าร่วมภารกิจต่างก็มารวมตัวกันที่นี่
เนื่องจากวันนี้หอควบคุมกฎได้เปิดพิจารณาคดีจึงดึงดูดความสนใจของเหล่าบัณฑิตให้เข้ามาร่วมชมได้ไม่น้อย ภายในห้องโถงจึงเต็มไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา
“เฮ้ วันนี้ผู้ใดถูกสอบสวนกัน? ดูเหมือนว่าจะเป็เื่ใหญ่มากทีเดียว กระทั่งผู้าุโเจิ้งยังมาด้วยตัวเอง พวกเว่ยอี้อวิ๋นก็ยังอยู่ที่นี่ด้วย”
มีบัณฑิตบางคนเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย
“เอ๊ะ อะไรกัน พวกข่งย่วนออกไปทำภารกิจกันไม่ใช่หรือ? พวกเขากลับมาแล้วหรือ?”
“เ้าคงยังไม่รู้อะไร ว่ากันว่าภารกิจครั้งนี้มีคนเสียชีวิตไปไม่น้อย เหลือบัณฑิตรอดชีวิตกลับมาเพียงเก้าคนเท่านั้น แม้แต่ซือถูคงก็ตายในภารกิจด้วย”
“เป็ไปไม่ได้ ศิษย์พี่ซือถูตายแล้วอย่างนั้นหรือ!”
เหล่าบัณฑิตที่อยู่นอกห้องโถงต่างก็พูดคุยกันถึงเื่นี้ ในขณะเดียวกันก็เป็เวลาที่บัณฑิตผู้คุมกฎสองคนพามู่เฟิงเข้ามาพอดี
“มู่เฟิง! เป็มู่เฟิง!”
“หรือวันนี้คนที่ถูกสอบสวนจะเป็เขา?”
เมื่อเห็นมู่เฟิงถูกพาตัวเข้าไปในห้องโถง ทุกคนต่างก็ประหลาดใจ
เว่ยอี้อวิ๋นหันไปมองมู่เฟิงที่ถูกพาตัวเข้ามา ก่อนจะแสยะยิ้มเย็น
หลังจากมู่เฟิงมาถึงกลางห้องโถง เขาก็คำนับผู้าุโทุกคนของสำนักศึกษา
“ศิษย์มู่เฟิง คารวะผู้าุโทุกท่าน”
ปัง!
“เ้ามู่เฟิงตัวดี ในฐานะบัณฑิตของสำนักศึกษา เ้ากล้าลงมือสังหารศิษย์พี่ซือถูคงของเ้าในระหว่างทำภารกิจได้อย่างไร เ้ากล้าดีอย่างไร?”
จ้าวเหิงตบโต๊ะเสียงดัง เขาแทบจะทนรอไม่ไหวที่จะะโออกมาสวมหมวกความผิดให้กับมู่เฟิง
“ว่าอย่างไรนะ มู่เฟิงสังหารศิษย์พี่ซือถู! นี่! นี่มัน! เื่นี้มันจะเป็ไปได้อย่างไรกัน?”
เกิดเสียงฮือฮาขึ้นในกลุ่มบัณฑิตที่กำลังเฝ้าดูทันที
เมื่อเผชิญหน้ากับคำถามของจ้าวเหิง มู่เฟิงก็ยังคงกล่าวอย่างใจเย็นว่า “ผู้าุโจ้าวเหิง ท่านเห็นข้าสังหารซือถูคงด้วยตาตัวเองหรือไม่? โอ้ ข้าต้องขออภัย ข้าลืมไปว่าท่านมีตาเพียงข้างเดียว บางทีท่านอาจจะมองผิดไปก็ได้”
“เ้า…!”
เมื่อจ้าวเหิงถูกมู่เฟิงกล่าวเสียดสีเื่ตาของเขา สีหน้าของเขาก็พลันเปลี่ยนเป็เขียวคล้ำด้วยความโมโหทันที
“ผู้าุโจ้าว เื่นี้ยังไม่ได้รับการชี้แจงอย่างชัดเจน ฉะนั้นอย่าได้กล่าวหาผู้อื่นตามอำเภอใจ”
อู๋อี้กล่าวด้วยความไม่พอใจ
“หึ ยังมีสิ่งใดให้ชี้แจงอีก พวกเว่ยอี้อวิ๋นก็กล่าวชัดเจนแล้ว มู่เฟิงควบคุมหุ่นเชิดให้สังหารซือถูคง สังหารศิษย์ร่วมสำนักในระหว่างทำภารกิจถือเป็ความผิดร้ายแรง ข้าใส่ร้ายเขาที่ไหนกัน?”
จ้าวเหิงตวาดอย่างเ็า
“จ้าวเหิง เ้ากล้าเดิมพันกับข้าอีกสักครั้งหรือไม่ หากข้าไม่ได้ควบคุมหุ่นเชิดให้สังหารซือถูคง เ้าจะควักตาสุนัขอีกข้างของเ้าทิ้ง!”
ทันใดนั้นมู่เฟิงก็ตวาดเสียงออกมาอย่างเ็าด้วยใบหน้าเรียบนิ่งเช่นกัน
“เ้า...เ้าคนสารเลว เ้ากล้าดีอย่างไรมาด่าข้า!”
จ้าวเหิงเดือดดาลเป็อย่างมาก พลังภายในร่างของเขาพลันปะทุออกมา
“ตาเฒ่าสวะอย่างเ้า ข้าจะด่าแล้วมันอย่างไร ตกลงหนานหาวให้ประโยชน์แก่เ้ามากเพียงใดกันแน่ ถึงได้ต่อต้านตระกูลมู่ของข้าตลอดเวลาเช่นนี้”
แม้จะถูกคลื่นพลังของอีกฝ่ายกดทับ แต่มู่เฟิงกลับไม่เกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย เขาชี้นิ้วไปยังจ้าวเหิงและตวาดออกมาอย่างมีโทสะ เหล่าบัณฑิตที่เฝ้าดูสถานการณ์อยู่รอบนอกต่างก็ตื่นตะลึงกับเหตุการณ์นี้