แสงแดดในยามเช้า ส่องกระทบใบหน้าของโจวชิงหวา ชายหนุ่มลืมตาขึ้น ก่อนหลับตาลงอีกครั้ง เพราะยังไม่อาจปรับสายตาได้
หนีเจียเอ๋อร์ที่นั่งอยู่บนเตียง เมื่อเห็นชายหนุ่มกะพริบตา ก็รีบเอนตัวเข้าไปเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ “ชิงหวา เ้าตื่นแล้วหรือ?”
ขนตาดกหนาเป็แพกระพือขึ้น เผยให้เห็นดวงตาอันเป็ประกาย ดั่งดวงดาวบนท้องฟ้าในยามค่ำคืน “เหตุใดเ้าถึงไม่กินข้าวและพักผ่อนให้ดีเล่า? ดูเหมือนน้ำหนักเ้าจะลดลงไปมากทีเดียว”
สายตาที่มองนาง เต็มไปด้วยความเห็นใจ
ดวงตาของหนีเจียเอ๋อร์ฉายแววอบอุ่น หญิงสาวจับมือเขา และเอ่ยเสียงแ่เบา “ยังจะมีใจมาห่วงข้าอีก รู้ตัวหรือไม่ ว่าเ้าหมดสติไปกี่วัน?”
“ไม่สำคัญหรอก หากเ้ายังอยู่กับข้า” โจวชิงหวายั่วเย้า พลางหลุบตามองมือเล็กที่กุมมือตนแน่น เสียงของเขาทั้งเบาและแหบพร่า จนแทบจะไม่ได้ยิน
เดิมที การจับมือของผู้มีศักดิ์เป็พี่ชายก็ไม่มีอันใดแปลก แต่แก้มของหนีเจียเอ๋อร์กลับแดงซ่านอย่างไม่อาจควบคุม ครั้นจะถอนมือออก กลับพบว่าโจวชิงหวาไม่ยอมปล่อยมือนาง ทั้งยังจงใจกระชับแน่นอย่างดื้อรั้นอีกต่างหาก
“หากไม่ปล่อยมือ แล้วข้าจะไปนำอาหารมาให้เ้าได้อย่างไร?”
ชายหนุ่มไม่ตอบ และยังคงจับเอาไว้เช่นนั้น ดวงตาของเขาเลื่อนไปที่ลำคอเรียวระหงของนางอย่างมีความหมาย ถึงมิได้เอ่ยถามแต่ก็สังเกตเห็น ว่าสร้อยร้อยจี้หยกที่นางใส่ติดตัวไว้เสมอนั้นหายไปแล้ว
“จี้หยกของเ้าล่ะ?”
“ขายไปแล้ว!” หนีเจียเอ๋อร์ตอบเบาๆ
นี่เป็ทางเลือกเดียว ที่จะช่วยเขาได้
คิ้วของโจวชิงหวาขมวดมุ่น สร้อยเส้นนี้อยู่กับนางมาั้แ่เกิด นี่เป็สินติดตัวเ้าสาวที่เว่ยอี๋เหนียงได้มาจากครอบครัวเดิมตอนแต่งงาน ซึ่งบัดนี้ ตระกูลเว่ยล่มสลายไปแล้ว นายท่านและฮูหยินสกุลเว่ย ล้วนมิได้อยู่บนโลกใบนี้อีกแล้ว จี้หยกจึงมิได้เป็เพียงเครื่องรางเท่านั้น แต่ยังเป็เสมือนของต่างหน้าชิ้นสำคัญอีกด้วย
ชายหนุ่มกุมมือหนีเจียเอ๋อร์แน่น พลางพูด “เ้านำหยกแขวนของข้าไปเบิกเงินที่โรงรับจำนำอวี้เสวียน แล้วไปซื้อจี้หยกคืนมาเสีย”
เขายังมีเงินอยู่... แต่มารู้ตอนนี้ ก็สายไปเสียแล้ว!
เพราะหนีเจียเอ๋อร์โพล่งออกมาว่า “หยกแขวนของเ้า ข้าก็เอาไปขายแล้วเช่นกัน”
โจวชิงหวาเลิกคิ้วขึ้นอย่างประหลาดใจ ท่าทางของนาง ดูไม่ต่างอันใดจากเด็กน้อยที่กระทำผิด เขาจึงอดคลี่ยิ้มอย่างขบขันมิได้ “ไม่เป็ไร ไปหาหมึกกับกระดาษมาหน่อย ข้าจะเขียนจดหมายให้”
หนีเจียเอ๋อร์จึงเดินไปยังห้องครัว เพื่อนำสำรับอาหารมาให้คนป่วย ก่อนจะออกมาหาพู่กัน หมึก และกระดาษตามที่เขาร้องขอ ตอนนั้นเอง นางก็พบเข้ากับชายชราผู้หนึ่ง
ผู้าุโเว่ยมองอีกฝ่ายด้วยความระแวง “เ้าเป็ใคร! มาทำอะไรที่สวนหลังจวนของข้า?”
พอหนีเจียเอ๋อร์เห็นว่าเขาแต่งตัวแบบบัณฑิต จึงทักทายเสียงนอบน้อม “ข้าน้อยมีนามว่าอาหนี ข้าและพี่ชายหนีตายเข้ามาในเขตชานเมือง และได้แม่นางเหมยช่วยเหลือ ทั้งยังเมตตาให้พี่ชายของข้าที่าเ็สาหัส มาพักอาศัยชั่วคราว”
ผู้าุโเว่ยพยักหน้า มิได้ซักไซ้ต่อ แล้วโบกมือไล่นางออกไป
หนีเจียเอ๋อร์ก้าวขึ้นบันได เมื่อเห็นเหมยอี่เหลียน ก็หยุดทักทาย “พี่เหมย”
เหมยอี่เหลียนยิ้มกว้าง จนคิ้วของนางโค้งลง ทำให้ใบหน้าดูสว่างสดใส
“อาหนี นี่คืออาจารย์ของข้า ท่านปู่เว่ย เป็คนเลี้ยงดูและสอนให้ข้าร้องเพลง”
แน่นอนว่า หนีเจียเอ๋อร์ย่อมเคยได้ยินชื่อของผู้าุโเว่ยมาก่อน ในแคว้นฉีหลานนี้ นับว่าเขามีชื่อเสียงเป็ที่เลื่องลือ บุคคลสำคัญมากมายในเมืองหลวง ล้วนส่งเทียบเชิญให้เขาไปร้องเพลงที่จวนทั้งสิ้น
แต่ผู้าุโเว่ยร้างเวทีมาหลายปีแล้ว ตนจึงไม่มีโอกาสดูการแสดงของอีกฝ่าย
“ได้ยินชื่อเสียงมานาน วันนี้อาหนีโชคดีที่ได้พบท่าน” หนีเจียเอ๋อร์ทักทายด้วยความนับถือ
ทว่า ผู้าุโเว่ยดูจะไม่ค่อยซาบซึ้งนัก เพียงกล่าว ‘อืม’ เสียงห้วน จากนั้นก็หันไปคุยกับเหมยอี่เหลียนต่อ “ก่อนหน้านี้ เกิดอะไรขึ้นในคณะงิ้ว?”
เหมยอี่เหลียนมองหนีเจียเอ๋อร์อย่างขอโทษขอโพย แล้วจึงตอบ “ท่านหายตัวไปสามเดือน โชคดีที่วันนี้ท่านมาทัน หาไม่แล้ว คณะงิ้วของเราคงจะถูกยุบแน่!”
ผู้าุโเว่ยพูดอย่างกังวล “ในเมื่อคณะงิ้วสกุลเหมยที่พ่อของเ้าอุตส่าห์ก่อตั้ง ได้ตกมาอยู่ในมือของเ้าแล้ว ต้องรักษาไว้ให้ดี”
เหมยอี่เหลียนยิ้มเจื่อน รีบก้มหน้ารับผิด ‘อย่างจริงใจ’ มิฉะนั้น ท่านปู่เว่ยจะต้องพูดเื่นี้ตลอดบ่ายเป็แน่!
พอเห็นว่าบรรยากาศระหว่างพวกเขาเริ่มดีขึ้น หนีเจียเอ๋อร์จึงไม่อยากจะอยู่เป็ส่วนเกิน เลยหันไปพูดกับเหมยอี่เหลียน “พี่เหมย พวกท่านคุยกันเถอะ ข้าขอตัวก่อน!”
“อ้าว! อย่าเพิ่งไปสิ” เหมยอี่เหลียนจับแขนนาง แล้วหันไปพูดกับผู้าุโเว่ย “พี่ชายของอาหนีได้รับาเ็สาหัส กินยาไปสองสามวันแล้วอาการก็ยังไม่สู้ดี แม้แต่ท่านหมอเซี่ยที่อยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองก็ทำอะไรไม่ถูก ท่านพอจะรู้วิชาแพทย์อยู่บ้าง ไปช่วยดูอาการให้เขาหน่อยมิได้หรือเ้าคะ?”
ผู้าุโเว่ยนิ่วหน้า ถึงพอจะมีวิชาแพทย์ แต่คนไข้ที่ผ่านมือเขา ก็ใช่ว่าจะรอดตายทุกคน
หนีเจียเอ๋อร์นึกยินดี ที่ผู้าุโเว่ยมีความรู้ด้านการแพทย์ ฟังจากคำพูดของเหมยอี่เหลียนแล้ว ดูเหมือนวิชาแพทย์ของเขา จะเหนือชั้นกว่าท่านหมอเซี่ยผู้เลื่องชื่อคนนั้นเสียอีก
หญิงสาวซาบซึ้งจนพูดอะไรไม่ออก ดวงตาของนางเอ่อคลอ พลางโค้งตัวให้เหมยอี่เหลียนหลายครั้ง จากนั้นก็หันมาคำนับผู้าุโเว่ยด้วยความนอบน้อม
“ผู้าุโเว่ย โปรดช่วยชีวิตพี่ชายของข้าด้วย”
แต่เหมยอี่เหลียนไม่รอให้เขาตอบ รีบกึ่งจูงกึ่งลากผู้าุโเว่ยออกมาทันที
หนีเจียเอ๋อร์วิ่งนำหน้าไปเปิดประตูต้อนรับ แล้วหันไปยิ้มให้โจวชิงหวาที่นอนอยู่บนเตียง ซึ่งชายหนุ่มก็กำลังยกยิ้มด้วยความดีใจไม่ต่างกัน
โจวชิงหวาได้ยินบทสนทนาของพวกเขาั้แ่อยู่นอกประตูแล้ว จึงรู้ทันทีว่าเพราะเหตุใดหนีเจียเอ๋อร์ถึงยิ้มทั้งปากทั้งตาอย่างมีความสุข จนเขาก็อดมิได้ที่จะยิ้มตามไปด้วย
อย่างไรก็ตาม รอยยิ้มของพวกเขากลับอยู่ได้ไม่นาน เพราะทันทีที่ผู้าุโเว่ยจับชีพจรของชายหนุ่ม สีหน้าของเขาพลันเปลี่ยนไป
“พวกเ้ารีบเก็บของ แล้วออกไปจากที่นี่เดี่ยวนี้!” ผู้าุโเว่ยชี้ไปที่ประตูด้วยสีหน้าจริงจัง
“เหตุใดท่านถึงไล่พวกเขาไปเล่าเ้าคะ?” เหมยอี่เหลียนสับสน
ผู้าุโเว่ยโกรธขึ้ง “เ้ารู้หรือไม่ว่าพวกเขาเป็ใคร? ถึงได้กล้าพาเข้ามาในบ้าน!”
หนีเจียเอ๋อร์และโจวชิงหวามองหน้ากันด้วยความงุนงง แค่จับชีพจร ชายชราผู้นี้ก็เดาตัวตนของพวกเขาออกเลยอย่างนั้นหรือ?
เหมยอี่เหลียนจึงกล่าว “ไม่จำเป็ต้องรู้ว่าพวกเขาเป็ใคร แค่รู้ว่าเป็คนดีก็พอ!”
แต่พอเห็นว่าผู้าุโเว่ยมีสีหน้ามืดครึ้ม นางก็รู้สึกผิด เลยลดเสียงลงและเอ่ยถาม “เช่นนั้น ท่านช่วยบอกเหตุผลอันสมควร ที่จะไล่พวกเขาออกไปได้หรือไม่เ้าคะ?”
ผู้าุโเว่ยเหลือบมองโจวชิงหวาอย่างเ็า “เขาถูกพิษฝ่ามือน้ำแข็งของเว่ยฉีหราน เท่าที่ข้ารู้มา คนผู้นี้จะไม่ออกกระบวนท่าฝ่ามือน้ำแข็งกับคู่ต่อสู้ง่ายๆ นอกเสียจากจะ้าเอาชีวิตของฝ่ายตรงข้าม”
“พิษฝ่ามือน้ำแข็ง?” หนีเจียเอ๋อร์ขมวดคิ้ว “แต่เขาดูไม่เหมือนคนที่ต้องพิษเลยนะเ้าคะ?”
ผู้าุโเว่ยปรายตามอง ยังคงยืนกรานให้ไล่พวกเขาออกจากจวนให้เร็วที่สุด โดยไม่สนใจสิ่งใด
โจวชิงหวาพยายามลุกขึ้นนั่ง “ผู้าุโเว่ย หากท่านช่วยแก้พิษให้ข้าได้ ไม่ว่า้าสิ่งใด ข้าจะหามาให้เพื่อเป็การตอบแทน”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้