ไท้หยูโบกมือคราหนึ่งถาดป้านน้ำชาและถ้วยลอยไปอยู่อีกด้านหนึ่ง การดื่มน้ำชาเป็เพียงพิธีเล็กน้อย ที่สำคัญที่สุดคือเขาจะสั่งสอนอบรมลูกศิษย์ทั้งสี่ให้ก้าวหน้าเติบโตได้อย่างไร
แม้ว่าในชาติเก่าเขาจะเป็บัณฑิต แต่ก็เป็บัณฑิตที่โดดเดี่ยวอาศัยตัวคนเดียว เวลากว่าครึ่งของชีวิต ล้วนใช้ไปกับการอ่านตำราในสวน ไม่เคยสั่งสอนผู้ใดมาก่อน อีกทั้งในโลกนี้ความรู้จากตำรับตำราของเขาไม่ใคร่เป็ประโยชน์สักเท่าใด เพราะโลกนี้เน้นที่การต่อสู้และการฝึกตน
เมื่อตรวจสอบร่างกายของศิษย์ทั้งสี่คนเรียบร้อยแล้วเขาก็ให้ทั้งสี่กลับไปเก็บของย้ายมาอยู่ห้องหับในโถงร้อยปี
“เห่ารานมีร่างกายแข็งแกร่ง กล้ามเนื้อมากกว่าเด็กในวัยเดียวกัน หลังจากวันนี้ขึ้นลงเทือกเขาหยกวันละสองรอบ แบกหินร้อยชั่งสองชั่วยาม เพิ่มน้ำหนักวันละสิบชั่ง” มรรคายุทธกายจารี
“ฮุ่ยเซี่ยอ่านตำราบำเพ็ญจิตของลัทธิเต๋า วิชาบ่มเพาะปราณของสำนักพุทธ เข้าฌานวันละสองชั่วยาม” มรรคาเต๋าจิตนิรันดร์
“ซวี่ฉี อ่านตำราประวัติศาสตร์เจ็ดดินแดน ตำราสมุนไพร ตำราของวิเศษ การปรุงโอสถและการทำอาหาร” มรรคาศิลป์สรรค์สร้าง
เขาไม่ได้ยึดติดที่สำนักพันปีเป็สำนักฝึกมรรคายุทธแล้วทุกคนต้องฝึกยุทธเท่านั้น แต่อาศัยความรู้ความเข้าใจ แบ่งศิษย์ฝึกตามพร์ที่แฝงอยู่ในร่างกาย
เห่ารานเืลมแข็งแรง มวลกล้ามเนื้อมากกว่าเด็กในวัยเดียวกัน มีพละกำลังมหาศาลจึงเหมาะฝึกร่างกาย เป็ผู้ฝึกยุทธ์ขนานแท้
ฮุ่ยเซี่ยมีสติปัญญาเฉียบแหลม แม้ยังเด็กแต่การแสดงออกโตกว่าในวัยเดียวกัน จิตใจแข็งแกร่งจึงเหมาะฝึกสายเต๋าและพุทธ เื่นี้เป็ปัญหาอยู่ไม่น้อย เพราะมรรคาเต๋านั้นเขามีความรู้ไม่มาก ยังโชคดีที่สำนักพันปีมีตำรามากพอๆ กับวังหลวง ดังนั้นในระยะสั้นยังไม่ต้องกังวลมาก
ซวี่ฉีรู้จักทำอาหารและชงชา ในฐานะศิษย์รับใช้หน้าที่เก่าของซวี่ฉีคือเข้าครัว ไท้หยูจึงเห็นว่าเหมาะกับสายหลอมโอสถ และที่สำคัญที่สุดคือเมื่อใดที่วิวาทแพ้ นางยังสามารถปรุงยารักษาตนเองได้
กลับเป็จื่อหยวนที่ไท้หยูมองไม่ออกว่าควรให้ฝึกวิชาอันใด จื่อหยวนเป็เด็กรูปร่างเล็ก เทียบกับศิษย์พี่หญิงทั้งสองยังตัวเล็กกว่า ด้านร่างกายมิได้แข็งแรงดั่งเห่าราน สติปัญญาก็ไม่สู้ฮุ่ยเซี่ยและซวี่ฉี เป็เด็กนิ่งเงียบไม่พูดจา ขณะที่ไท้หยูกำลังครุ่นคิดฮุ่ยเซี่ยพลันเอ่ยขึ้นมา
“อาจารย์ จื่อหยวนมีลายพู่กันที่งดงามอย่างยิ่ง จื่อหยวนไม่สนใจการต่อสู้ ปกติเวลาอยู่ว่างจื่อหยวนมักเขียนพู่กัน ศิษย์เห็นว่าเขาถนัดศิลป์อักษร... เป็ผู้มีพร์ด้านนี้”
“ฮุ่ยเซี่ย เ้าช่างเป็ศิษย์ที่ยอดเยี่ยมยิ่งนัก กลับรู้ความกังวลของอาจารย์” ไท้หยูคิดอยู่ในใจ ถนัดศิลป์อักษรหรือ...มรรคาอักษรยันต์เร้น !
“จื่อหยวน อ่านตำราลัทธิฝึกจิตลัทธิเต๋า ตำราบ่มเพาะลมปราณสำนักพุทธ ตำรากวีและบทความของนักปราชญ์ในประวัติศาสตร์ นั่งฌานวันละสามชั่วยาม คัดอักษรวันละหนึ่งร้อยตัว” มรรคายันต์เน้นที่พลังจิตและลมปราณเป็หลัก
ไท้หยูพ่นลมหายใจร้อนใช้มือนวดหว่างคิ้วกล่าวต่อว่า
“วันนี้พอเท่านี้ รอข้าค้นหาวิชาฝึกปรือที่เหมาะสมแล้วจะถ่ายทอดการฝึกอย่างละเอียดให้ กลับไปพักเถอะ”
ศิษย์ทั้งสี่คารวะกล่าวลาก็ออกจากห้องโถงไป ห้องโถงกว้างใหญ่หรูหราแม้สามารถจุคนได้เกินสองร้อย ยามนี้กลับมีเพียงคนสองคน
ไท้หยูล้วงมือเข้าอกเสื้อหยิบตราประทับประมุขสำนักออกมา ตราประทับคล้ายสามารถรับรู้ความคิด เสียงอึงอลพลันดังเบา ๆ ส่วนหนึ่งของตราประทับแยกออก ไท้หยูประกบนิ้วชี้นิ้วกลางชี้ใส่ส่วนหนึ่งของตราประทับที่ลอยขึ้นมา
ครืน
ชิ้นส่วนตราประทับสั่นะเืจากนั้นพลันเรืองแสงวาบ แสงสีเงินยวงสายหนึ่งถูกดึงออกมา ไท้หยูพลันชี้นิ้วใส่หว่างคิ้วลี่ซวน เส้นแสงเงินยวงพลันพุ่งตามปลายนิ้วเข้าสู่ศีรษะลี่ซวน
ลี่ซวนร่างสั่นสะท้านเหงื่อเม็ดโตผุดออก รีบเปลี่ยนเป็นั่งขัดสมาธิเข้าฌานทันที ควันสีขาวลอยเหนือศีรษะคล้ายไอน้ำร้อนกรุ่นในฤดูเหมันต์
แสงสีเงินยวงนั้นคือภาพของวิธีควบคุมพยุหะ ส่งเข้าสมองของลี่ซวนโดยตรง การทำเช่นนี้ย่อมรวดเร็วการทดลองควบคุมพยุหะจากการฟังคำพูดหรืออ่านตำรา แน่นอนว่าการถ่ายทอดเช่นนี้มีข้อเสียใหญ่ คือไม่เข้าใจการควบคุมพยุหะอย่างท่องแท้
เพียงสามารถััการควบคุมได้เบื้องต้นแต่นั่นคือจุดประสงค์ของไท้หยู เขาจึงเลือกใช้วิธีนี้
หลังจากถ่ายทอดวิชาทั้งหมดไปแล้วเขาก็ออกจากห้องโถงเดินเท้าไปยังหอตำรา นอกจาก้าหาวิชาที่เหมาะสมให้กับลูกศิษย์ทั้งสี่แล้ว เขายังมีจุดประสงค์หนึ่ง ้าดูวิชาและประวัติของปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งสำนักพันปี....
ในเมืองหลวงผู้คนมากมายสัญจรคับคั่ง
ยามเย็นผู้คนออกมาเดินซื้อของ ่นี้เป็ฤดูคิมหันต์ แต่เพราะชางไห่อยู่ทางตอนกลางของเจ็ดดินแดน อากาศจึงไม่ได้ร้อนอบอ้าว ยามเย็นยามเช้ายังมีสายลมพัดโชยตลอด
โรงเตี๊ยมหรูหรา รถม้าคันใหญ่โตกว่าปกติจอดลงที่หน้าประตูทางเข้า รถม้าเปิดออกคนรับใช้หยิบเก้าอี้เหยียบวางหน้าประตูรถม้า รองเท้าหนังงูสีดำคู่หนึ่งเหยียบใส่เก้าอี้ จากนั้นก้าวเข้าโรงเตี้ยม คนรับใช้เก็บเก้าอี้ใส่รถม้า สั่งสารถีสองสามคำค่อยเดินตามเข้าไปด้านใน
โรงเตี๊ยมเงาจันทรามิใช่โรงเตี๊ยมธรรมดา เพราะเป็หอโคมแดงอันดับหนึ่งของเมืองหลวง ผู้ที่สามารถใช้บริการ ต้องเป็ผู้มีเงินทองมั่งคั่ง มีอำนาจฐานะสูงส่ง ส่วนใหญ่ล้วนเป็ขุนนางราชสำนัก ลูกหลานคหบดีผู้รู้จักล้างผลาญ
โรงเตี๊ยมห้าชั้นภายนอกดูเป็อาคารไม้ธรรมดา เมื่อเข้าไปด้านในพลันเปลี่ยนเป็อีกโลกหนึ่ง โลกที่เต็มไปด้วยสีสันและการมอมเมา
จะดื่มกินที่โรงเตี๊ยมเงาจันทรา ค่าผ่านประตูต้องจ่ายห้าเหรียญเงิน เปิดโต๊ะห้าเหรียญเงิน เข้าร่วมวงสุรากับดาวเด่นจ่ายยี่สิบเหรียญเงิน เปิดห้องส่วนตัวห้าสิบเหรียญเงิน หาก้าหลับนอนก็เพิ่มเงินอีกสองเท่า ในราคานี้ยังไม่นับว่าเป็คณิกาดาวเด่น
นับเป็ที่ล้างผลาญเงินรองจากโรงประมูลเท่านั้น
หน้าห้องส่วนตัวชั้นสองริมทางเดิน รองเท้าหนังงูสีดำคู่หนึ่งเดินเข้าไป คนรับใช้ที่เดินตามมารอคอยอยู่หน้าประตู
ภายในห้องบนตั่งนุ่มเอนกายด้วยสตรีรูปร่างอวบอัดอรชร ท่าทางยวนยั่วหอบหายใจรุนแรง ทั้งร่างเปียกชุ่ม ปรางแก้มสองข้างแดงระเรื่อราวกับผิงโกว ที่ต้นคอที่เนินอกมีรอยจุมพิตห้าหกจ้ำ หน้าท้องและสะโพกมีรอยฝ่ามือประทับสับสน
ชายรูปร่างผอมสูงเปลือยเปล่า ผละออกจากร่างอันเย้ายวนกระชากิญญา หยิบเสื้อคลุมมาปกปิดร่างไว้
“ฟู่” สตรีบนตั่งพ่นลมหายใจเหนื่อยหอบออกมา
ชายผอมสูงเดินจากตั่งนั่งลงโต๊ะกลางห้อง รินสุราจากป้านใส่ถ้วยสุราสองใบ ยกดื่มเองถ้วยหนึ่งจากนั้นหันมองผู้ที่เข้าประตูมา เอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่าเล็กน้อย
“อยู่ในเมืองหลวงช่างมีความสุขยิ่งนัก สตรีในเมืองหลวงอ่อนหวาน แม้ไม่ร้อนร่านเท่ากับสตรีที่อวี่เมิน แต่ก็เป็อีกรสชาติหนึ่งที่หอมหวานน่าลุ่มหลง”
ชายผอมสูงมีแผลเป็ที่หว่างคิ้ว ผมสีดำหยิกงอคล้ายถูกไฟเผา ผิวเป็สีน้ำตาลเข้ม เบ้าตากลวงลึก ดั้งโด่งปลายจมูกแหลมราวเหยี่ยว ยามจ้องมองคนให้ความรู้สึกราวกับจะถูกกลืนกิน
“เ้า้าร่วมสุขกับพวกเราหรือไม่”
ด้านหลังตั่งเป็เตียงใหญ่กว้างสองจั้ง บนเตียงมีสตรีเปลือยกาย เรือนร่างแปดเปื้อนกำลังหลับใหลห้านาง ชายผอมสูงจ้องมองอาคันตุกะ เห็นอีกฝ่ายไม่ตอบจึงโคลงศีรษะกล่าวต่อว่า
“หรือว่าเ้าชอบเด็กหนุ่มหน้าขาว?”
“เลิกเล่นได้แล้ว ไล่พวกนางออกไป”
อาคันตุกะสวมชุดแพรไหมสีฟ้า ปักลายเมฆด้วยดิ้นทอง สวมหมวกเหวยเม่าปิดบังใบหน้า ไม่ทราบใบหน้าหลังม่านหมวกมีกำลังโทสะหรือไม่
สำหรับชุดผ้าแพรไหมเช่นนี้ นอกจากตระกูลขุนนางสูงศักดิ์แล้ว หาได้ยากที่จะพบเห็นคนธรรมดาใส่ ยิ่งเป็ที่ปักด้วยดิ้นทอง ยิ่งสามารถคาดเดาได้ว่าผู้มาจากเป็ตระกูลสูงศักดิ์
หญิงสาวทั้งหมดถูกขับไล่ออกไป อากาศในห้องอบอ้าวเหลือเพียงกลิ่นคาวที่ทิ้งไว้
ชายชุดแพรไหมเอ่ยขึ้น
“บอกธุระของเ้ามา”
ชายผอมสูงเอียงศีรษะพยายามใช้สายตาแหลมคมจ้องมองใบหน้าภายใต้หมวกเหวยเม่ากล่าวว่า
“ท่านผู้นั้นไม่มาเองหรือ ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก ข้ายังหลงคิดว่าจะได้พบกับท่านเสียอีก”
ชายผอมสูงเอ่ยอย่างเสียดาย เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ได้มีปฏิกิริยาอันใดจึงวกเข้าเื่ทันทีว่า
“ท่านอาจารย์ฝากข้ามาบอกว่า พยุหะเจ็ดสังหารมีชิ้นส่วนหนึ่งอาจถูกถอนออกไปแล้ว”
ร่างของชายชุดแพรไหมสะท้านคราหนึ่ง ดวงตาภายใต้ม่านคล้ายสาดแสงขึ้นวูบ กล่าวด้วยน้ำเสียงสะท้านว่า
“ท่านผู้นั้นมั่นใจว่าชิ้นส่วนพยุหะถูกถอนไปแล้ว?”
ชายร่างผอมสูงนั้นพลันหน้าเคร่งขรึมดวงตาสาดกระจายดุร้ายออกมา
“อย่าได้สงสัยในคำพูดของท่านอาจารย์ ไม่เช่นนั้นเ้าจะต้องเสียใจ” กลิ่นอายสังหารปกคลุมทั่วห้องจนหนาวเหน็บ ห้องหับที่เต็มไปด้วยสีแดงจากโคมไฟ คล้ายถูกสะกดจนเกิดภาพหลอน ราวกับทั้งห้องหลงเหลือเพียงสีขาวดำ สีสันอื่นเหือดหายหมดสิ้น ผ่านไปครู่หนึ่งชายร่างผอมจึงกล่าวสืบต่อว่า
“อาจารย์บอกว่าชิ้นส่วนของเจ็ดสังหารน่าจะถูกผนึกเอาไว้ อาจารย์ไม่สามารถรับรู้ถึงการมีอยู่ของมัน อาจารย์ฝากข้ามาบอกว่า จัดการเื่ของพวกเ้าให้เรียบร้อย และอย่าได้ลืมคำมั่นสัญญา... ท่านผู้เฒ่าฝากมาบอกเท่านี้ ไสหัวไปได้แล้ว” น้ำเสียงเ็าแฝงโทสะสามส่วน
ชายชุดแพรไหมเดินออกจากห้องโดยไม่แยแส แต่ทว่าสองมือยังสะท้านอยู่เบา ๆ
“ปัง”
ประตูห้องหับปิดลง ชายชุดแพรไหมเดินสองก้าวพลางกล่าวพึมพำว่า
“พลังคำสาปช่างรุนแรงยิ่งนัก อายุเท่านี้ก็บรรลุระดับจิตไร้ขอบขั้นสมบูรณ์ได้แล้ว คาดว่าไม่นานคงข้ามไปถึงระดับเทพปรากฏ เผ่ามารแดนิอวี้มิอาจดูแคลนจริง ๆ”
จากนั้นหันกลับไปกล่าวกับคนรับใช้ว่า
“เ้านำคำพูดของข้าส่งต่อรุ่ยซวน บอกให้เขานำสองสิ่งนี้มอบให้เ้าสำนักพิรุณพายุและเ้าสำนักเมฆั บอกให้รุ่ยซวนยุยงให้ทั้งสองสำนักบุกโจมตีเทือกเขาหยกในวันพรุ่งนี้ ย้ำกับเขาว่าเื่นี้สำคัญอย่างยิ่ง อย่าให้นายท่านผิดหวังเป็อันขาด ไม่เช่นนั้นอนาคตของเขาคงดับมอด”
จากนั้นล้วงมือเข้าถุงแพรที่แขวนไว้ข้างเอว
ถุงแพรเล็กเท่ากำปั้นเล็กทว่ามือเขาล้วงลงไปครึ่งศอก จากนั้นหยิบกระถางทองเหลืองที่ถูกพันด้วยสร้อยไข่มุกสีดำทะมึนออกมา ไข่มุกมีริ้วสีขาวหากเพ่งดู จะมองเห็นว่าริ้วสีขาวกะพริบคล้ายกับสายฟ้าแลบ
มือขวาของชายชุดแพร หยิบพัดจีบเหลืองลายัออกมา พัดกางพึ่บที่ใต้เท้าบังเกิดแสงสีขาววงรอบ อักขระบิดเบี้ยวมากมายผุดจากใต้รองเท้าหนังงู เมื่อแสงสีขาวทั้งหมดรวมกัน อักขระพลันสว่างวาบ เมื่อแสงหายไป ร่างของชายชุดแพรไหมก็หายไปแล้ว หายไปพร้อมกับแสง คนคล้ายอากาศธาตุ ไม่เคยมีตัวตนมาก่อน...
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้