เช่นนั้นก็มีแต่ต้องวานคนส่งไปให้โจวเฉิงแล้ว
คราวก่อนคังเหว่ยเปลี่ยนตั๋วรถที่นั่งธรรมดาของเธอให้กลายเป็ตู้นอนไม่ใช่หรือ ดังนั้นน่าจะมีคนรู้จักอยู่ในซางตูสินะ เซี่ยเสี่ยวหลานถามว่าขอให้ใครช่วยนำนาฬิกาข้อมือไปยังปักกิ่งได้หรือไม่
คังเหว่ยผู้อยู่ในสายรู้สึกสงสัยไม่น้อย
“พี่สะใภ้ ของอะไรเร่งด่วนขนาดนี้?”
“วันที่ 18 เดือนเมษายนเป็วันเกิดโจวเฉิง ฉันจึงซื้อนาฬิกาข้อมือให้เขาหนึ่งเรือนน่ะ”
คังเหว่ยอยากตบปากตนเองเสียจริง ถามละเอียดไปเพื่ออะไรกัน พอถามจนรู้แจ้งแล้วเจ็บใจหรือไม่เล่า? คังเหว่ยโดนอวดความรักใส่ แถมต้องหาคนมาช่วยนำนาฬิกาส่งไปยังปักกิ่งอีก เขารู้จักคนในองค์การรถไฟแน่นอน มิเช่นนั้นบุหรี่พวกนั้นจะหมุนเวียนไปทุกที่ได้อย่างไร
ขนาดยังไม่ได้เห็นนาฬิกาเรือนนั้น คังเหว่ยก็อิจฉาเสียแทบแย่แล้ว
ถ้าเขาหาแฟนสาวเหมือนเซี่ยเสี่ยวหลานได้สักคน ให้คังเหว่ยยินยอมเป็ ‘คนเกรงภรรยา’ ก็ย่อมได้ ทั้งสวยและห่วงใย แถมตั้งใจก้าวหน้าด้วยตนเองยิ่งนัก จะ้าอะไรอีก? นอกจากฐานะครอบครัวด้อยไปสักหน่อย อายุของคังเหว่ยอยู่ระหว่างเด็กผู้ชายกับชายเต็มตัว ทำให้เขายังไม่ได้เรียนรู้ความเป็ไปในโลกของผู้ใหญ่ จึงไม่คิดว่าความแตกต่างของพื้นเพครอบครัวจะมีผลกระทบอะไร
กล่าวอีกอย่างหนึ่งคือความสามารถที่เซี่ยเสี่ยวหลานแสดงออกมาทำให้คังเหว่ยเพิกเฉยต่อความแตกต่างนี้นั่นเอง
การที่คังเหว่ยมีปฏิสัมพันธ์กับเซี่ยเสี่ยวหลานอย่างเท่าเทียม เรียก ‘พี่สะใภ้’ อย่างให้เกียรติ มิใช่เพียงเพราะโจวเฉิงให้ความสำคัญต่อเซี่ยเสี่ยวหลานเท่านั้น แต่รวมไปถึงความสามารถของเซี่ยเสี่ยวหลานที่ทำให้คังเหว่ยรู้สึกเคารพเธอนั่นเอง
ในเมื่อต่อสายโทรศัพท์แล้ว เซี่ยเสี่ยวหลานเลยถามไถ่ความคืบหน้าของการตกแต่งภายในด้วย
“การตกแต่งพื้นฐานเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ผึ่งบ้านไว้ระหว่างรอช่างไม้ทำเครื่องเรือนตามแปลนที่วางไว้ ตอนนี้ลุงหลิวพาคนไปเริ่มงานที่บ้านเส้ากวงหรงแล้ว เครื่องดูดควันเองก็ซื้อแล้วด้วย...”
บ้านเส้ากวงหรงมีพื้นที่ไม่มาก หลิวหย่งจึงนำคนเร่งทำงานตลอดทั้งวันทั้งคืน ครึ่งเดือนกว่าก็ตกแต่งพื้นฐานเสร็จสิ้น ทางของบ้านคังเหว่ยนั้นมีส่วนที่ต้องปรับปรุงค่อนข้างเยอะ กระทั่งหน้าต่างยังต้องสั่งทำ บวกกับสร้างเครื่องเรือนตามแบบแปลนอีกด้วย กว่าบ้านคังเหว่ยจะตกแต่งเสร็จจริง อย่างน้อยก็คงอีกสองสามเดือนให้หลัง หลิวหย่งเองก็ไม่รอเฉย ระหว่างขั้นตอนการตกแต่งต้องตากบ้านผึ่งลมไว้ จึงตัดสินใจดำเนินงานทั้งสองบ้านเสียเลย
พอเซี่ยเสี่ยวหลานได้ยินว่าบ้านของเส้ากวงหรงได้เริ่มงานแล้วเหมือนกัน ‘ผู้กำกับศิลป์’ กงหยางผู้นั้นคงไม่ได้กลับซางตูในเวลาอันสั้นแน่นอน
สำหรับเื่ที่เธออยากไปห้องสมุดมหาวิทยาลัยซางตูเพื่ออ่านหนังสือ บางทีคงทำได้แค่ขอความช่วยเหลือจากน้องสาวของเ้าหน้าที่จั๋วเท่านั้น
เซี่ยเสี่ยวหลานคิดแล้วทำทันที วางสาวโทรศัพท์เสร็จก็ไปหาจั๋วเว่ยผิงที่สถานีตำรวจ เซี่ยเสี่ยวหลานคือบุคคลผู้เป็ที่รู้จักจากคดีครั้งก่อนของสถานี ตำรวจคนไหนในสถานีตำรวจจะลืมเธอได้ลงกัน?
ดูเหมือนจั๋วเว่ยผิงเข้าใจผิดแล้ว
“เธอมาถามเื่ของติงอ้ายเจินหรือ?”
จั๋วเว่ยผิงดึงเซี่ยเสี่ยวหลานไปอีกมุมหนึ่งพลางข่มเสียงเบาพูดกับเธอ “ศาลตัดสินแล้ว ติงอ้ายเจินต้องจำคุก 12 ปี”
12 ปี?
ใกล้เคียงกับการคาดการณ์ก่อนหน้านี้ของจั๋วเว่ยผิง
อันที่จริงเซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้มาเพื่อถามไถ่เื่ของติงอ้ายเจิน แต่รู้ไว้ก็ไม่เสียหาย การที่ติงอ้ายเจินโดนศาลตัดสินจำคุก 12 ปีคือโทษอันสาสมแล้ว ครอบครัวของเหล่าเจิ้งก็อาศัยอยู่ชั้นบนของร้านเสื้อผ้านี่เอง หากพวกเขาได้ทราบข่าวจะต้องดีใจแน่นอน เสียดายเพียงอย่างเดียวก็คือความยินดีนั้นแลกแขนของลูกชายเหล่าเจิ้งให้กลับมาไม่ได้ เซี่ยเสี่ยวหลานกำลังจะขอบคุณความห่วงใยของจั๋วเว่ยผิงพร้อมบอกจุดประสงค์ในการมา จั๋วเว่ยผิงกลับดึงเธอออกไปข้างนอก
“สหายเซี่ยเสี่ยวหลาน มีเื่หนึ่งที่ฉันเก็บไว้ในใจมานานมากเหลือเกิน คราวก่อนฉันเห็นเธอยังคงไปมาหาสู่กับคนชื่อคังเหว่ยนั่นอยู่ ฉันอยากจะพูด แต่หาโอกาสไม่ได้เลย... เมื่อตอนอยู่ในเขตอันชิ่ง เป็คังเหว่ยและผู้ชายอีกคนหนึ่งที่ช่วยจับอันธพาลมาส่งสถานีตำรวจใช่ไหมล่ะ? อันที่จริงหลังจากนั้นพวกเขาก็ส่งคนชื่อจางเสเพลมาอีก ทันทีที่สถานีรับแจ้งความและไปตรวจสอบยังบ้านพักในเขต ทั้งสองคนก็ได้ทำร้ายจางเสเพลอย่างไม่เบามือเลยสักนิด นอกจากนี้พวกเรายังค้นเจอเงินหลายพันหยวนจากตัวจางเสเพลอีกด้วย เห็นเขาบอกว่าจางเสเพลไปขโมยเงินหลวง แล้วโดนจับได้ในจุดเกิดเหตุ”
จั๋วเว่ยผิงคิดมาโดยตลอดว่ารูปคดีนี้มีจุดที่น่าสงสัย
หลังจางเสเพลถูกจับก็ไม่ยอมรับว่าขโมยเงินหลวงท่าเดียว เมื่อคนเลวโดนจับย่อมเล่นลิ้น จางเสเพลเองก็ไม่ต่างออกไป แต่จั๋วเว่ยผิงได้ยินจางเสเพลพูดถึง ‘เซี่ยเสี่ยวหลาน’ และคนที่คังเหว่ยกับโจวเฉิงช่วยเหลือจากความอยุติธรรมก็เป็เซี่ยเสี่ยวหลานนั่นเอง
จั๋วเว่ยผิงคิดว่านี่มิใช่ความบังเอิญ
เธอ้าตรวจสอบลงลึกอีกหน่อย ทว่าผู้กำกับบอกว่าไม่ต้องสืบละเอียดอีกต่อไปแล้ว เพราะไม่เป็ผลดีต่อชื่อเสียงของสุภาพสตรีที่เกี่ยวข้อง
หากสอบสวนอันธพาลเสเพลพวกนั้นโดยละเอียดจริงๆ ถามไปถามมาดันซัดทอดถึงผู้หญิงคนไหนเข้า พวกเธอจะใช้ชีวิตต่อไปได้อีกหรือ?
อย่างไรเสียคนประเภทจางเสเพลก็เข้าข่ายโควตาของการปราบปรามอย่างสมบูรณ์ ไม่จำเป็ต้องดึงหญิงสาวผู้ใดเข้ามาเกี่ยวข้องอีกแล้ว
จั๋วเว่ยผิงถูกผู้กำกับโน้มน้าว จึงไม่ได้ตามสืบเื่นี้ต่อ อีกทั้งพอเธอย้ายมาทำงานในซางตู ก็ยิ่งไม่มีเวลาใส่ใจกับเหตุการณ์ในอดีตซึ่งเกิดขึ้นที่เขตอันชิ่ง แต่ใครจะรู้ว่ามีเื่บังเอิญขนาดนั้น เธอได้พบกับเซี่ยเสี่ยวหลานในซางตูอีกแล้ว!
อีกทั้งเซี่ยเสี่ยวหลานมีท่าทางสนิทสนมกับคังเหว่ยเป็พิเศษอีกด้วย
จั๋วเว่ยผิงบอกเื่ราวออกมาตอนนี้มิใช่เพราะ้าจุ้นจ้านเื่ชาวบ้าน เธอแค่อยากให้เซี่ยเสี่ยวหลานระวังตัวไว้บ้าง ครั้งก่อนคนของแนวร่วมป้องกันกร่างเสียเต็มประดา ต่อมาก็ถูกจัดการเรียบโดยคนที่อยู่เื้ัของคังเหว่ยอยู่ดี จั๋วเว่ยผิงคิดว่าการรับรู้ตัวตนคังเหว่ยของเซี่ยเสี่ยวหลานมีปัญหา... ใช่ คังเหว่ยอาจช่วยเหลือเซี่ยเสี่ยวหลานเสมอมา อาจทำให้จางเสเพลโดนตัดสินจำคุกตลอดชีวิต ทว่าคังเหว่ยอาจไม่ได้ซื่อตรงอย่างที่เห็น
“พี่จั๋ว... ขอบคุณนะคะ”
เซี่ยเสี่ยวหลานได้รับรู้เื่นี้เป็ครั้งแรก แน่นอนว่ารู้สึกงุนงงไปมากเลยทีเดียว
จั๋วเว่ยผิงเข้าใจผิดเสียแล้ว เธอนึกว่าคังเหว่ยคือคนรักของเซี่ยเสี่ยวหลาน ดังนั้นถึงได้ตักเตือนออกไป เนื่องจากคิดว่าคังเหว่ยมีสองโฉมหน้า
ด้านหนึ่งคือ ‘ใฝ่รักความยุติธรรม’ อีกด้านหนึ่งกลับลงมืออย่างไร้ปรานี
เซี่ยเสี่ยวหลานจะพูดอะไรได้ คังเหว่ยไม่ใช่คนรักเธอด้วยซ้ำ เป็โจวเฉิงต่างหาก!
โจวเฉิงเป็คนจัดการเื่นี้ไม่ผิดแน่
เป็ไปไม่ได้ที่จางเสเพลจะไปขโมย ‘เงินหลวง’ ของโจวเฉิงและคังเหว่ยอย่างพอดิบพอดี เวลามันประจวบเหมาะเกินไป ตอนนั้นเธอเพิ่งรู้จักโจวเฉิงเอง อีกทั้งเมื่อคังเหว่ยไปสอบถามเกี่ยวกับอันธพาลทั้งสามคนที่สถานีตำรวจ พอทราบกิตติศัพท์อันย่ำแย่ของเธอ เขายังมีท่าทีกระอักกระอ่วนไปพักใหญ่เลย
ในตอนนั้นเซี่ยเสี่ยวหลานจึงคิดไว้ ตอบแทนบุญคุณของทั้งสองคนพอ เป็มิตรสหายกันไม่ได้ก็ไม่ฝืนใจ
ดูจากสถานการณ์แล้ว คังเหว่ยไม่ได้รับรู้ชื่อเสียของเธอแค่ผิวเผิน น่าจะสืบเสาะจนถี่ถ้วนแล้วแน่นอน จึงได้รู้ถึงการมีอยู่ของจางเสเพล... ความรู้สึกของเซี่ยเสี่ยวหลานผสมปนเปไปหมด คนที่มีปัญญาขายบุหรี่เก็งกำไรได้อย่างโจวเฉิงและคังเหว่ย คงมิใช่คนดีต้นแบบอย่างประเภท ‘เกาต้าเฉวียน [1] ’ ในภาพยนตร์
โดยเฉพาะโจวเฉิง พอเขารู้ว่าตัวเธอมีชื่อเสียงที่ไม่ดี เขากลับไม่ทำตัวเหินห่าง และไม่ได้ปฏิบัติต่อเธออย่างส่งเดช
กลับกันเขาได้ยื่นมือเข้ามาช่วยเธอกำจัดต้นตอของชื่อเสียงอันเลวร้ายนั้นออกไป!
เมื่อเซี่ยเสี่ยวหลานฟังจั๋วเว่ยผิงพูดจบ เธอไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวหรือระแวงโจวเฉิงสักนิด แต่สำนึกขึ้นมาได้อย่างกะทันหัน โจวเฉิงชอบเธอมากขนาดไหนกันแน่
รักแรกพบ?
ในโลกของเรามีความรู้สึกแบบนี้อยู่จริงหรือ?
ตอนโจวเฉิงได้ยินข่าวลือไม่น่าฟังพวกนั้น เขาคิดอย่างไรกันแน่ เคยสงสัยในตัวเธอหรือเปล่า? แล้วเขาเชื่อมั่นด้วยเหตุผลใด ว่าเธอไม่ได้เหลวแหลกเหมือนเช่นในข่าวลือ? รวมถึงเขาได้ยื่นมือเข้ามาจัดการจับตัวจางเสเพลทันที เพื่อแก้ไขต้นตอของข่าวลือให้เด็ดขาดได้อย่างไร
ทันใดนั้นเซี่ยเสี่ยวหลานก็ตระหนักรู้ทันที ปัญหาระหว่างเธอกับโจวเฉิงมิใช่จังหวะความสัมพันธ์เกิดความขัดแย้งกันขึ้น แต่ปัจจัยหลักคือความรู้สึกที่ทั้งสองคนทุ่มเทนั้นต่างหากที่ไม่เท่ากัน
สำหรับโจวเฉิงเธอคือรักแรก คือผู้หญิงที่เขาชอบเป็คนแรก โจวเฉิงจึงปรารถนารีบขอเธอแต่งงานเข้าบ้านโดยเร็ว
ในทางกลับกัน ความรู้สึกของเธอที่มีต่อโจวเฉิงคือคบหาดูใจกันได้ ไม่เหมาะสมค่อยเลิกรา
เซี่ยเสี่ยวหลานรู้สึกละอายใจ เธอไม่ได้ละอายใจที่ความรู้สึกชอบของตนไม่ลึกซึ้งพอ แต่เธอละอายที่ตนเองจริงใจต่อความรู้สึกของโจวเฉิงไม่มากพอต่างหาก!
เชิงอรรถ
[1]高大全 เกาต้าเฉวียน คือ ลักษณะของตัวละครหลักที่ต้องให้ความโดดเด่นมากที่สุดในสื่อยุคปฏิวัติวัฒนธรรม ตอนนั้นเจียงชิง (江青) ผู้เป็ภรรยาของเหมาเจ๋อตุงและเป็หนึ่งในแก๊งสี่คน (四人帮) ส่งเสริมให้งานวรรณกรรมต้อง ‘สร้างตัวละครฝ่ายคุณธรรมให้โดดเด่นที่สุดในหมู่ตัวละครทั้งหมด สร้างตัวละครที่มีลักษณะวีรบุรุษให้โดดเด่นที่สุดในหมู่ตัวละครฝ่ายคุณธรรม และสร้างตัวละครที่เป็ศูนย์รวมใจทุกคนให้โดดเด่นที่สุดในหมู่ตัวละครวีรบุรุษ’ หรือก็คือภาพลักษณ์ตัวละครที่สมบูรณ์แบบไร้ที่ติ ร่างกายสูงใหญ่ จิตใจโอบอ้อมอารี ยินดีรับใช้ประชาชน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้