เทียบกับหลายชั่วยามก่อนที่หลิ่วไป๋เจ๋อมาเยือน เฟิ่งจูไห่ในตอนนี้กลับเงียบเชียบ เมื่อทั้งคู่มาถึงชานเรือนก็ไม่เห็นใครสักคน
จิ่วฟางเทียนฉีชำเลืองมองคนด้านข้าง กำลังจะเอ่ยถามก็เห็นว่าประตูถูกเปิดออกมาพอดี เด็กสาวคนหนึ่งเข้ามาโค้งคำนับให้กับทั้งคู่
“คุณชายทั้งสอง”
พวกเขาเองก็โค้งคำนับตอบ
คุณชายสองคนล้วนรูปร่างหน้าตาไม่ธรรมดา นางอดไม่ได้ที่จะเคอะเขิน ใบหน้าขึ้นสีแดงระเรื่ออย่างไม่อาจปกปิด แล้วก้มหน้าลงโค้งคำนับหลิ่วไป๋เจ๋ออีกครั้งพร้อมเอ่ยว่า
“คุณชายหลิ่วโปรดรอสักครู่ ท่านผู้นำตระกูลขอให้คุณชายจิ่วฟางเข้าไปด้านในเพียงคนเดียวเ้าค่ะ”
ที่แท้ผู้นำตระกูลหลานก็คาดการณ์ไว้แล้ว จึงได้จัดเตรียมชาเอาไว้ต้อนรับ พวกเขานึกประหลาดใจ ไม่แปลกใจเลยที่เป็นักพยากรณ์ ความสามารถของคนคนนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ
หลิ่วไป๋เจ๋อประสานมือคำนับและเอ่ยตอบ “ไม่มีปัญหา”
เอ่ยจบก็หันหลังเดินไปทางป่าไผ่หนาทึบไม่ไกล จิ่วฟางเทียนฉีจึงตามหญิงสาวเข้าไปในตัวเรือน
ดวงอาทิตย์ส่องแสงเจิดจ้าบนท้องนภา หลิ่วไป๋เจ๋อยืนเอามือไพล่หลังอยู่ข้างป่าไผ่ เสื้อผ้าอาภรณ์ขาวกระจ่างกว่าหิมะ เส้นผมสีเงินยาวระเอวปลิวไสวไปตามสายลม ดวงตาปิดสนิท ขนตายาวขยับไหวเล็กน้อย งามสง่าไม่มีสิ่งใดเทียบ
ผ่านไปหลายวันแล้วที่บิดาของเขาเดินทางไปยังคฤหาสน์อวิ๋นหลานซานเพื่อหารือเื่สำคัญ จนถึงวันนี้ก็ยังไม่กลับมา ข่าวคราวก็ไม่ได้ส่งมาแจ้งสักนิด หลิ่วไป๋เจ๋อจึงอดไม่ได้ที่จะเป็กังวล
แม้สถานการณ์ในตอนนี้จะสงบสุข ไม่มีเหตุร้ายใดๆ แต่เขามักรู้สึกว่ามีบางสิ่งบางอย่างซุกซ่อนอยู่ในแคว้นเจ๋อ ในใจจึงเต็มไปด้วยความกระวนกระวาย
รวมทั้งการแสดงออกของิโยวที่ผิดปกติ ทำให้เขาเริ่มกังวลขึ้นมาอีก
แม้แม่นางคนนั้นบอกหลิ่วไป๋เจ๋อว่ารอเพียงชั่วครู่ ทว่าเขาต้องรอกว่าครึ่งชั่วยามบานประตูไม้จึงเปิดอีกครั้ง จิ่วฟางเทียนฉีเดินออกมาด้วยใบหน้าจริงจังผิดปกติ
หลิ่วไป๋เจ๋อหันกลับไปไม่ได้เอ่ยอะไร ฝ่ายนั้นก็ก้าวมาใกล้ด้วยสีหน้าเป็กังวล
“ดูเหมือนข้าต้องกลับก่อนกำหนดแล้วล่ะ”
“แต่าแบนตัวเ้า...”
จิ่วฟางเทียนฉีเข้าใจว่าหลิ่วไป๋เจ๋อหมายความว่าอย่างไร เขาโบกมือแล้วพูดว่า
“ไม่เป็ไร แม้เ้าิโยวจะเกเรไปบ้าง แต่ทักษะการแพทย์ดีมาก ถึงจะเหลือาแมากมายก็เป็เพียงความเ็ปจากิัภายนอก ส่วนใหญ่หายดีั้แ่สองวันที่แล้ว”
หลิ่วไป๋เจ๋อยังคงมีสีหน้าเฉยชาเช่นเคย ทว่าจิ่วฟางเทียนฉีรับรู้ว่าอีกฝ่ายเป็ห่วงตน ดังนั้นจึงพูดติดตลกไปสองสามประโยค
“ไม่ต้องกังวล ข้าไม่ตายบนหลังม้าหรอก”
เมื่อจิ่วฟางเทียนฉีกล่าวเช่นนั้น หลิ่วไป๋เจ๋อจึงไม่เกลี้ยกล่อมอีก
“เดินทางเมื่อใด”
“ยิ่งเร็วยิ่งดี!” หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จิ่วฟางเทียนฉีก็ถามออกมา
“เหตุใดเ้าจึงไม่ถามว่าผู้นำตระกูลหลานบอกอะไรกับข้า”
หลิ่วไป๋เจ๋อส่ายหัวและพูดว่า “ข้าไม่ใช่ิโยว”
จิ่วฟางเทียนฉีเข้าใจความหมายโดยนัย หลิ่วไป๋เจ๋อไม่ใช่คนอยากรู้อยากเห็นหรือชอบนินทาเหมือนอูิโยว ไม่รู้ว่าควรหัวเราะหรือร้องไห้ดี เขาจึงไม่ถามให้มากความอีกและกล่าวว่า
“แม้เ้าไม่ถามข้าก็ยังต้องบอก กฎสามขีดที่ผู้นำตระกูลหลานเคยเอ่ยก่อนหน้านี้ ข้าไม่ได้เป็ผู้ทำลาย น่าเสียดายที่ข้าไม่ใช่หนึ่งในสามคนที่ถูกลิขิต แม้ไม่ได้ทำนายให้ แต่ก็ได้รู้ว่าคำทำนายในครั้งนี้ไม่เกี่ยวข้องกับข้า ทว่าเกี่ยวกับผืนปฐีกว้างใหญ่”
ในที่สุดใบหน้าของหลิ่วไป๋เจ๋อก็ขยับเปลี่ยนเล็กน้อย “เ้าหมายความว่าอะไร”
“ปลายทางที่สงบสุขย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงความวุ่นวายได้”
หลิ่วไป๋เจ๋อไม่พูดอะไร ใบหน้าไม่เปลี่ยนแปลงราวกับตนเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเื่ใหญ่นี้ แต่จิ่วฟางเทียนฉีไม่คิดอย่างนั้น
“เอ่ยมาถึงตรงนี้ ในใจข้าและเ้าล้วนต้องสงสัย คาดการณ์เอาไว้แล้วว่าตระกูลจิ่วฟางซึ่งประจำการอยู่เทือกเขาจู่เสียมาหลายชั่วอายุคน ไม่เคยบ่นเพียงนิดและเป็เช่นนั้นมาตลอด จากนี้ก็คงไม่เปลี่ยนแปลง นี่คือหน้าที่ของตระกูลข้า เป็หน้าที่ของข้าจิ่วฟางเทียนฉีผู้นี้ด้วย ไม่ว่าในอนาคตสถานการณ์จะเป็อย่างไร ข้าขอยืนยันกับเ้าว่าตระกูลจิ่วฟางจะยืนหยัดอยู่แนวหน้าของเทือกเขาจู่เสียไม่ถอยแน่นอน รวมทั้งจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเื่ในเมืองเฟิ่งเทียนแม้แต่นิด ไม่ต้องพูดถึงการแทรกแซงต่างๆ ดังนั้น…”
จิ่วฟางเทียนฉีมองไปยังคนตรงหน้า อดไม่ได้ที่จะไม่สบายใจ เขาไม่รู้ว่าหลิ่วไป๋เจ๋อจะเข้าใจความหมายที่้าสื่อหรือไม่
“ดี!”
หลิ่วไป๋เจ๋อยอมเปิดปาก เข้าใจสินะ
ที่พูดไปตั้งมากมายก็เพียง้าให้หลิ่วไป๋เจ๋อเอ่ยรับคำมั่นสัญญาของเขาก็เท่านั้น
ทั้งสองยังเด็กและยังไม่ได้เป็ผู้นำของตระกูล แต่ไม่ว่าใครก็รู้อยู่แก่ใจว่าในอนาคตอันใกล้ อย่างไรทั้งคู่ก็จะต้องขึ้นเป็ผู้นำของตระกูลหลิ่วและตระกูลจิ่วฟาง คำมั่นสัญญาในวันนี้ไม่ใช่แค่คำพูดเล่นของเด็กน้อย
จิ่วฟางเทียนฉีถอนหายใจโล่งอกและบอกลาหลิ่วไป๋เจ๋อ
ร่างของชายหนุ่มในชุดสีม่วงหายเข้าไปในป่าไผ่ที่รายล้อม ตามคำทำนายของผู้นำตระกูลหลาน เมื่อบอกลากันในวันนี้ก็ไม่รู้ว่าจะได้กลับมาพบกันอีกเมื่อใด
หลิ่วไป๋เจ๋อที่ยังอยู่ที่เดิมเอ่ยพึมพำเสียงเบา “ปลายทางที่สงบสุขย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงความวุ่นวายได้… อย่างนั้นหรือ”
‘ศึกภายในต้องสงบก่อนจึงจะตั้งหลักสู้ศึกภายนอก’ เขาเข้าใจเหตุผลข้อนี้อย่างลึกซึ้ง ที่จิ่วฟางเทียนฉีให้คำมั่นสัญญาในวันนี้ มิได้มีอะไรมากไปกว่าการบอกว่า ต่อให้ต้องไปผูกคอตาย อย่างไรก็ต้องลากเขาเข้าสู่ความวุ่นวายที่กำลังจะเกิดขึ้น
ความหมายของคำพูดนั้นก็คือ หากตระกูลจิ่วฟางคอยคุ้มกันความชั่วร้ายอยู่ที่เทือกเขาจู่เสีย ชิงหลิ่วถังก็ต้องควบคุมความวุ่นวายในเมืองเฟิ่งเทียน หลิ่วไป๋เจ๋อจะไม่รับปากก็ได้ แต่จะให้เขาไม่รับปากคงไม่ได้
หลิ่วไป๋เจ๋อหันไปทางเรือนหลังนั้นด้วยความลังเลใจ
ครู่ต่อมาหญิงสาวก็ผลักประตูออกและเดินมายังเบื้องหน้าเขา เอ่ยพูดว่า “คุณชายหลิ่ว ขออภัยหากข้าเสียมารยาท”
หลิ่วไป๋เจ๋อโค้งคำนับเพื่อรับคำทักทาย
“ท่านผู้นำมีคำสั่งว่า หากคุณชายไม่มีอะไรแล้ว โปรดออกไปจากที่นี่และอย่าได้มาเหยียบยังเฟิ่งจูไห่อีกเ้าค่ะ!”
ผู้นำตระกูลหลานแสดงออกชัดเจนว่า้าไล่เขา แม้คำพูดจะดูแข็งกร้าวไปหน่อย แต่หลิ่วไป๋เจ๋อมิได้ถือสาอะไร หญิงสาวคนนั้นกล่าวต่อ
“ท่านผู้นำตระกูลยังสั่งอีกว่า หากคุณชายหลิ่วเกิดเสียใจ เช่นนั้นก็ควรเข้าไปด้านใน เพียงแค่ครั้งนี้เท่านั้น คุณชายโปรดตัดสินใจด้วยตัวเองเ้าค่ะ”
หลิ่วไป๋เจ๋อเดินเข้าเรือนไปโดยไม่คิดลังเล แม่นางผู้นั้นไม่ได้ตามเข้ามา เพียงปิดประตูและรออยู่ด้านนอก
ธูปหอมม้วนงอ ควันลอยเคล้าไอเย็นของป่าไผ่ให้รู้สึกคลายเหนื่อยเมื่อยล้า หลานเซียวนั่งพักสายตาอยู่ข้างโต๊ะไม้ ได้ยินเสียงฝีเท้าแต่ยังมิได้ลืมตา
“คุณชายหลิ่ว รู้หรือไม่ว่าเวลานี้ข้ากำลังทำอะไรอยู่”
หลิ่วไป๋เจ๋อเอ่ยตอบทันท่วงที “ท่านผู้นำหลานคงกำลังรอข้าอยู่”
หลานเซียวส่ายหัวและเอ่ยว่า “ไม่เพียงแค่นั้น ข้ารับรู้ถึงความรู้สึกแสนเ็ปก่อนคุณชายจะสูญเสียดวงตาไปด้วย”
หลิ่วไป๋เจ๋อชะงัก “ท่านก็กล่าวเกินไป ไป๋เจ๋อมิได้เ็ปอันใดขอรับ”
ได้ยินเช่นนั้น หลานเซียวก็หัวเราะเสียงดังและลืมตา “คุณชายหลิ่วเป็คนที่ไม่อาจหาได้ทั่วไปจริงๆ”
“ท่านกล่าวผิดแล้ว ไป๋เจ๋อเป็เพียงคนธรรมดา”
หลานเซียวเอื้อมไปหยิบกาน้ำชาแล้วรินให้หลิ่วไป๋เจ๋อ ไอร้อนและกลิ่นหอมลอยอบอวล
“ตอนที่คุณชายหลิ่วก้าวผ่านประตูไม้บานนี้อีกครั้ง ข้าก็คิดอยู่ว่าเ้าเสียใจที่ปฏิเสธคำทำนายก่อนหน้านี้หรือไม่”
หลิ่วไป๋เจ๋อส่ายหน้าและเอ่ยอย่างหนักแน่น “ไม่ สิ่งที่ข้าพูดไปแล้วไม่มีทางกลับคำเด็ดขาด!”
หลานเซียวขมวดคิ้วเล็กน้อย “เ้าหมายความว่าอย่างไร”
หลิ่วไป๋เจ๋อไม่คิดปิดบัง พูดอย่างตรงไปตรงมา “ข้า้าให้ท่านทำการทำนายให้คนคนหนึ่งซึ่งไม่ใช่ข้า!”
“เ้าหมายความว่า้ามอบโอกาสของตนให้ผู้อื่นอย่างนั้นหรือ”
หลิ่วไป๋เจ๋อกล่าว “ทั้งใช่และไม่ใช่ คนผู้นี้อยู่ในสามคนที่จะได้รับคำทำนายจากตระกูลหลาน”
หลานเซียวเข้าใจความหมายทันที “เ้า้าคำทำนายของอูิโยวอย่างนั้นหรือ”
“ขอรับ”
หลานเซียวมองคนเบื้องหน้าซึ่งมีความเป็ผู้ใหญ่และมั่นคง การตัดสินใจของเขาไม่เหมือนเด็กหนุ่มทั่วไป
“ตกลง! ข้าหลานเซียวตอบตกลง! เพียงแต่มีเื่หนึ่งอยากร้องขอ”
หลิ่วไป๋เจ๋อคาดไม่ถึงว่าผู้นำตระกูลหลานจะเอ่ยเช่นนี้ จึงถามด้วยความสับสนว่า “ท่านผู้นำหลาน้าร้องขอสิ่งใดหรือขอรับ”
หลานเซียวพยักหน้า ไม่มีทีท่าล้อเล่น
“ตระกูลหลานได้รับพลังอันยิ่งใหญ่ในการทำนายดวงชะตาล่วงหน้าจาก์ ทุกสิ่งล้วนมีทั้งดีและไม่ดี การทำนายอนาคตถือเป็การละเมิดความลับ์อย่างมิอาจเลี่ยง ตระกูลของข้าจึงหลีกเร้นจากโลกภายนอกแล้วอาศัยอยู่ผาตั้วเซียนมาหลายชั่วอายุคน แม้จะมีพลังนี้แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่จะนำมาใช้ได้ง่ายๆ การออกเดินทางสู่โลกกว้างมิใช่ความตั้งใจแต่แรกของข้า ทว่าเป็คำเตือน ซึ่งตระกูลหลานต้องปฏิบัติตามชะตาลิขิต”
หลานเซียวเงียบไปชั่วครู่แล้วพูดต่อ “ข้าไม่สามารถบอกอะไรได้มาก แค่หวังว่าอีกสิบปีข้างหน้าคุณชายหลิ่วจะช่วยดูแลบุตรสาวทั้งสองคนให้กับข้า”
หลิ่วไป๋เจ๋อไม่เข้าใจว่าเขาหมายถึงสิ่งใดจึงเอ่ยถาม “ผู้นำหลานหมายความว่าอย่างไร หรือตระกูลหลานจะ…”
หลานเซียวรีบยกมือเพื่อหยุดคำพูดที่ไม่ควร ก่อนจะตอบว่า “คุณชายหลิ่วไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับตระกูลของข้าในตอนนี้หรอก ข้าหลานเซียวจะดูแลตระกูลหลานด้วยตัวข้าเอง แค่อยากถามเ้าสักประโยค สิ่งที่ข้าขอไปคุณชายหลิ่วจะตอบตกลงหรือไม่”
หลิ่วไป๋เจ๋อรู้สึกว่าวันนี้ช่างเป็วันที่มีแต่เื่น่าหดหู่ใจเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็จิ่วฟางเทียนฉีหรือผู้นำตระกูลหลาน ล้วนบีบบังคับให้เขาตัดสินใจ ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม เขานึกไปถึงทารกตัวน้อย นุ่มนิ่ม และน่ารัก รวมทั้งเสียงเล็กๆ ของเด็กแรกเกิด ท้ายที่สุดก็ตอบออกมา “ไป๋เจ๋อรับปากขอรับ!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลานเซียวก็ถอนหายใจโล่งอก รู้ว่าตนเองทำให้ผู้อื่นลำบากใจแต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่น เขามองเด็กหนุ่มเบื้องหน้าอย่างไม่อาจจินตนาการได้เลย หากหลิ่วไป๋เจ๋อรับรู้ว่าภายภาคหน้าตระกูลหลานจะพบเจอความยากลำบากแบบใด จะยังสงบและเยือกเย็นได้อยู่หรือไม่
หลิ่วไป๋เจ๋อจิบชาแล้วเอ่ยว่า “สามคนที่ท่านได้กล่าวถึงก่อนหน้านี้ นอกจากข้าและิโยว อีกคนที่เหลือยังไม่เปิดเผย แต่ผลของการทำนายคงออกมาแล้วเหมือนกันใช่หรือไม่”
หลานเซียวตกตะลึง ไม่ได้ปิดบังความรู้สึก ก่อนจะยิ้มออกมา “ไม่แปลกใจเลยที่เป็คนซึ่งข้าหลานเซียวผู้นี้ฝากฝังไว้ เป็อย่างที่คุณชายหลิ่วเอ่ย ผลการทำนายนั้นข้ารู้อยู่เต็มอก ตอนนี้ยังมีโอกาสให้เสียใจที่ตัดสินใจเช่นนี้อยู่นะ เ้าจะเลือกทำนายให้ตนเองหรือคุณชายรองอู”
“ผู้นำหลานไม่จำเป็ต้องกล่าวให้มากความ ข้าตัดสินใจแล้วและจะไม่เปลี่ยนแปลง”
หลานเซียวลุกขึ้นและเดินเข้าไปด้านใน ไม่นานก็กลับออกมาพร้อมถุงปักดิ้นดำใบหนึ่ง ก่อนจะส่งมันให้หลิ่วไป๋เจ๋อ
“ทางที่เ้าเลือกข้าจะไม่พูดอะไรอีก เพียงอยากบอกบางอย่าง การรับรู้สิ่งที่ไม่ควรรู้ถือว่าแตะต้องความลับ์ หากคำทำนายเป็ของตัวเองยังพอมีทางต่อต้าน แต่เมื่อเป็ความลับของผู้อื่น เ้าต้องรับผิดชอบผลที่ตามมาด้วยตัวเอง อีกอย่างสิ่งที่อยู่ในถุงใบนี้ นอกจากพวกเราสองคนก็ห้ามมิให้บุคคลคนที่สามรับรู้ อูิโยวก็ไม่สามารถล่วงรู้ได้ จำเอาไว้ให้ขึ้นใจ!”
หลิ่วไป๋เจ๋อถือถุงผ้าใบนั้นไว้ในมือ โค้งคำนับและเอ่ยว่า “ไป๋เจ๋อจะจดจำไว้ ขอบพระคุณท่านผู้นำตระกูลหลาน!”
ในตอนที่เขากำลังจะจากไป หลานเซียวก็เอ่ยรั้งไว้อีกครั้ง
“คุณชายหลิ่ว คนอื่นต่างคิดว่าเ้าตาบอด แต่อันที่จริงเ้าคือผู้ที่มองเห็นได้ชัดแจ้งกว่าใคร”
________________________________