ป้าสะใภ้ใหญ่เจิ้งไม่พูดอะไร เธอเชิดคางปรายตามองเฉินชุ่ยอวิ๋นเล็กน้อยแล้วเดินตรงไปยังประตู จึงปะหน้ากับเจิ้งหยวนทันทีที่เข้าไปด้านใน
เจิ้งหยวนสะบัดน้ำออกจากมือ แล้วหยัดกายขึ้นมองเธอ พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้มแสยะ “โอ๊ะ ป้าสะใภ้ใหญ่ คุณมาทำไมเหรอ?”
“อะไร พูดอย่างนี้ ไม่ต้อนรับฉันหรือไง?”
เจิ้งหยวนคิดในใจ รู้ๆ กันอยู่แล้วนี่ เธอกลอกตามองบนแล้วเอ่ยต่อ “ต้อนรับที่มายืมเสบียงบ้านฉันเหรอคะ?”
น้ำเสียงเหน็บแนมมากถึงมากที่สุด หากเป็เวลาปกติ ป้าสะใภ้ใหญ่เจิ้งคงกระทืบเท้าด่าทอใส่นานแล้ว แต่วันนี้แม้จะอยากะเิอารมณ์แค่ไหน กลับยังทนฝืนยิ้มต่อได้ ทำเจิ้งหยวนรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย โอ้ วันนี้เธอเป็อะไรเนี่ย? ป่วยหรือเปล่า?
เฉินชุ่ยอวิ๋นเคยรัดเท้า [1] มาก่อน เลยเดินช้า ทั้งสองปะทะฝีปากกันสองสามประโยคแล้ว เธอค่อยอุ้มหนิวหนิวตามเข้ามา
“พี่สะใภ้ใหญ่ มีธุระอะไรเหรอ?”
ป้าสะใภ้ใหญ่เจิ้งหันหน้ามาเอ่ยกับเฉินชุ่ยอวิ๋น “เหตุผลที่ฉันมาวันนี้ยังเป็เื่แต่งงานของสกุลเฝิง”
เฉินชุ่ยอวิ๋นขมวดคิ้วมุ่น เธอเหลือบมองเจิ้งหยวน จากนั้นจึงถามป้าสะใภ้ใหญ่ “การแต่งงานมันทำไมเหรอ?” เจิ้งหยวนตอบจดหมายกลับไปแล้ว
การแต่งงานน่าจะตกลงกันเรียบร้อยแล้วนี่? หรือเธอยังไม่เลิกอยากให้หยวนหยวนยกงานแต่งให้อีก?
เหมือนคิดตรงกันกับมารดา เมื่อเจิ้งหยวนถามคำถามที่เฉินชุ่ยอวิ๋นอยากถามออกมา “หา ป้าสะใภ้ใหญ่ คุณยังไม่ยอมแพ้อีกเหรอ? ยังอยากให้ฉันยกงานแต่งให้อีก?”เธอหัวเราะเยาะหยัน “คุณฝันเอาดีกว่า วันแต่งงานของฉันกับเฝิงเจี้ยนเหวินกำหนดไว้แล้ว ไม่มีวันเปลี่ยน”
ป้าสะใภ้ใหญ่เจิ้งทำหน้าไม่ยี่หระ เธอไม่มองเจิ้งหยวนสักนิด ทั้งยังเอ่ยแค่กับเฉินชุ่ยอวิ๋น “ชุ่ยอวิ๋น ฉันไม่ได้อยากจะว่าเธอนะ แต่เจิ้งหยวนมีคู่รักในอำเภอแล้ว เธอรู้หรือเปล่า?”
หัวใจเฉินชุ่ยอวิ๋นเต้นผิดจังหวะ แล้วตื่นตระหนกมองเจิ้งหยวนทันที เธอเป็คนมีคุณธรรม ไม่มีลับลมคมใน เพียงมองก็เผยพิรุธออกมาแล้ว แตกต่างจากเจิ้งหยวนที่ไม่แสดงสีหน้า ไม่มีท่าทีโกรธเคืองหลังโดนคนแฉสักนิด กลับหลุดหัวเราะด้วยซ้ำ
เธอเดินขึ้นมาบังเฉินชุ่ยอวิ๋นไว้ข้างหลัง ป้องกันเ้าตัวหลุดพิรุธมากกว่านี้จนป้าสะใภ้ใหญ่เจิ้งมองออก แล้วเหยียดยิ้มพร้อมพูดขึ้น “ป้าสะใภ้ใหญ่ คุณได้ยินมาจากไหนเหรอ ฉันไม่เห็นรู้เลยว่าตัวเองมีคนรักอยู่ในอำเภอด้วย”
ป้าสะใภ้ใหญ่เจิ้งเห็นท่าทางลุกลนของเฉินชุ่ยอวิ๋น แม้เดิมทีจะมั่นใจอย่างยิ่ง แต่พอเห็นเจิ้งหยวนดูไม่หวาดหวั่นสักนิด เธอจึงเริ่มไม่แน่ใจขึ้นมาบ้างแล้ว เด็กสาวปกติหากโดนคนเปิดโปงเื่ทำนองนี้ ต้องอับอายและโกรธไม่ใช่หรือ? หรือต่อให้ปฏิเสธก็ต้องร้อนรน จะมีใครยิ้มเหมือนได้ฟังมุกตลกแบบเจิ้งหยวนกัน ไม่ ไม่ใช่ ความคิดในหัวป้าสะใภ้ใหญ่เจิ้งพลิกอีกตลบ เจิ้งหยวนเป็เด็กสาวธรรมดาที่ไหน เธอร้ายกาจสุดๆ ลูกไม้ก็เยอะแยะ เธอต้องแสร้งทำทีสงบเยือกเย็นแน่! แถมก่อนหน้านี้เจิ้งเทียนหู่ตามเธอเข้าตัวอำเภอเมืองยังบอกว่าเธอมีแล้ว ไม่ผิดพลาดแน่นอน เจิ้งเจวียนอาจพูดโกหก แต่เทียนหู่ไม่มีทางหลอกเธอ!
“น้องสาวเธอพูดออกมาเอง!” ป้าสะใภ้ใหญ่เจิ้งมองซ้ายแลขวา “น้องเธอไม่น่าโกหกแบบนั้นหรอกมั้ง เจิ้งเจวียนล่ะ เรียกเจิ้งเจวียนออกมาถามสิว่าเธอพูดหรือเปล่า!”
“น้องฉันไปเรียนแล้ว” เจิ้งหยวนเอ่ยยิ้มๆ “คุณรู้ได้ยังไงว่าน้องฉันพูด? ป้าสะใภ้ใหญ่ คุณได้ยินกับหูเหรอ? งั้นน้องฉันได้บอกไหมว่าคนรักที่ฉันหาทำงานที่ไหน ชื่ออะไร หน้าตาเป็แบบไหน?” เธอพูดพลางขบคิดในใจ เื่นี้มีโอกาสหลุดจากเจิ้งเจวียนจริงๆ ทว่าแม้เจิ้งเจวียนจะรู้ เ้าตัวก็ไม่ใช่คนปากสว่าง คงเผลอพลั้งปากไปนิดหน่อยเท่านั้น ส่วนรายละเอียดต่างๆ น่าจะไม่ได้พูดออกไป หากน้องสาวเธอกลับมาแล้วต้องเจอกับป้าสะใภ้ใหญ่ เมื่อนั้นกลับคำพูดใหม่น่าจะยาก กัดฟันบอกว่าไม่เคยพูดคงดีกว่า
เชิงอรรถ
[1] รัดเท้า หมายถึง ประเพณีที่ปรากฏในสังคมจีนครั้งอดีต เป็การใช้ผ้าฝ้ายหรือผ้าไหมพันเท้าผู้หญิง มัดให้แน่นไว้เป็เวลานานจนค่อยๆ บิดงอได้รูปทรงตามที่้าและเล็กลงเป็รูปสามเหลี่ยมคล้ายดอกบัว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้