หลังจากโม่ฮว่าเหวินแยกกับโม่เสวี่ยถงแล้วก็ออกไปเรือนหน้า ทันทีที่ไปถึงห้องหนังสือก็เรียกบ่าวเข้ามาสั่งให้ปิดตายประตูทางเชื่อมเข้าเรือนชั้นในฝั่งที่ติดกับห้องหนังสือของเขาเสีย ปรกติยามที่โม่ฮว่าเหวินอ่านหนังสือจนเหนื่อยล้า ก็จะใช้ประตูนั้นเข้าสู่เรือนชั้นในเสมอ หากยกเลิกประตูนี้ไปแล้วก็ต้องใช้ประตูกลางในการเข้าออกเรือนชั้นในเท่านั้น แม้จะอยู่ไม่ไกลจากห้องหนังสือ แต่ก็ต้องใช้เวลาเดินมาอีก่หนึ่ง เขาไม่เชื่อว่าคุณหนูที่ยังไม่ออกเรือนจะใจกล้าออกจากประตูกลางมาเรือนชั้นนอก
ความคิดเลอะเลือนประเภทนี้ของเหล่าไท่ไท่ โม่ฮว่าเหวินไม่อาจรับได้ ให้พิจารณาั้แ่หัวจรดเท้าหลันซินหยูผู้นี้ไม่มีความเป็กุลสตรีในห้องหอแม้แต่น้อย ดูคล้ายหญิงกร้านโลกเสียมากกว่า หากได้สตรีเช่นนี้มาเป็นายหญิงของจวน หน้าตาและศักดิ์ศรีของตนเองคงไม่มีเหลือ
…
เรือนชิงเวย
โม่เสวี่ยถงเพิ่งย่างเท้าเข้าเรือนได้ไม่นาน โม่อี๋เหนียงก็เดินนำบ่าวเข้ามาถึงในห้อง ยิ้มกล่าวกับโม่เสวี่ยถงซึ่งนั่งอยู่บนเตียงเตา “คุณหนูสามกลับมาแล้ว ข้าอนุภรรยาส่งคนมาหลายรอบ เดิมทีคิดว่าแค่ให้สาวใช้ส่งมาก็พอ แต่อาภรณ์สองสามชุดนี้นายท่านช่วยเลือกให้เป็พิเศษ ไม่ทราบว่าคุณหนูถูกใจหรือไม่ หากยังไม่ชอบ ข้าอนุภรรยาจะให้คนไปช่วยเลือกมาให้ใหม่อีกสองสามชุด ในจวนนี้มีเพียงคุณหนูสามผู้เดียวที่เป็ธิดาภรรยาเอก มิอาจให้มีสิ่งใดขาดตกบกพร่องเด็ดขาด”
โม่อี๋เหนียงเป็สตรีอายุยี่สิบกว่าปี มีดวงตางดงาม รูปร่างสูงกว่าสตรีทั่วไปเล็กน้อย พูดจาเฉลียวฉลาด เพียงกล่าวไม่กี่ประโยคก็เป็การเยินยอโม่ฮว่าเหวิน และยกย่องโม่เสวี่ยถงว่ามีความสำคัญเป็อันดับหนึ่งเพียงผู้เดียว อีกทั้งเป็คนทำงานคล่องแคล่ว ดูแล้วเป็คนรู้งานคนหนึ่ง
โม่อี๋เหนียงเข้าจวนมาหลังสุด มารดาของตนเองเป็คนแต่งอนุผู้นี้ให้ท่านพ่อใน่ที่ล้มป่วย หลังจากที่นางเข้าจวนมาตนเองก็โกรธบิดา ได้แต่ยืนดูอยู่ห่างๆ แล้วหมุนตัวเดินหนีไป กลับมาเมืองหลวงครานี้ แม้ว่าความรู้สึกนึกคิดจะเปลี่ยนไปแล้ว แต่ก็มิได้พูดคุยกับนางมากนัก พบกันนานๆ ครั้ง แต่ละครั้งก็ทักทายแค่ประโยคสองประโยค ไม่มีท่าทีสนิทสนมคุ้นเคยเหมือนเช่นยามนี้
เมื่อก่อนไม่เคยสังเกต แต่ดูจากวันนี้ อี๋เหนียงผู้นี้ก็ไม่ใช่คนที่วางใจได้ ในวาจาของนางแม้เป็การเทิดทูนตนเอง แต่ก็เป็การกดคนอื่นๆ ให้ต่ำกว่าอยู่กลายๆ หากคำพูดแบบนี้แพร่งพรายออกไปผู้อื่นจะเข้าใจว่านางดูถูกบุตรอนุภรรยา และถือตนว่ามีฐานะเป็ธิดาภรรยาเอก ต้องให้มารดาผู้เป็อนุภรรยามาเอาอกเอาใจปรนนิบัติรับใช้
“เกรงใจไปแล้ว เพียงแค่โม่อี๋เหนียงมาด้วยตนเองเช่นนี้ก็รบกวนอย่างยิ่ง โม่อี๋เหนียงวิตกเกินไป อาภรณ์ที่ท่านพ่อเลือกให้จะไม่ดีไปได้อย่างไรเล่า โม่เยี่ย ยกน้ำชาให้โม่อี๋เหนียง ใช้ชาต้าหงเผาที่ท่านย่าให้ข้ามาคราวที่แล้วนะ ได้ยินมาว่าเป็ชาชั้นเลิศ ที่เรือนของท่านย่าก็มิได้มีเยอะ” โม่เสวี่ยถงหันไปพูดกับโม่เยี่ยที่ชงชามาให้ตนเอง
โม่หลันจูงโม่อี๋เหนียงให้นั่งลง แล้วนำเตาอุ่นจากสาวใช้ส่งให้นางถืออุ่นมือ
โม่อวี้มองสาวใช้แปดคนที่ยืนเรียงกันเป็ระเบียบด้วยความอยากรู้อยากเห็น อาภรณ์เ่าั้ยามต้องแสงตะวันก็เกิดประกายระยิบระยับ เห็นได้ชัดว่าเป็ของล้ำค่า สิ่งของที่สาวใช้สองคนสุดท้ายยกมามิใช่อาภรณ์ แต่เป็กล่องไม้แกะสลักอย่างวิจิตรประณีตสำหรับใส่เครื่องประดับ โม่อี๋เหนียงส่งสัญญาณให้สาวใช้ทั้งสองเปิดฝากล่อง
ชั่วขณะนั้นเครื่องประดับประณีตวิจิตร สีสันงดงามจับตาก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้า เมื่อชาติก่อนโม่เสวี่ยถงเคยเห็นสินเดิมของมารดา แม้ว่าเครื่องประดับเหล่านี้ไม่อาจเทียบได้ แต่ก็เป็ของมีค่าที่มิใช่ได้มาโดยง่าย นอกจากนี้ทุกชิ้นก็เป็ของใหม่ ท่านพ่อคงให้คนทำขึ้นเมื่อไม่นานมานี้เอง หางตาของนางเหลือบไปที่โม่อี๋เหนียงที่นั่งอยู่ด้านข้างคล้ายไม่ตั้งใจ มองเห็นความละโมบปรากฏในแววตาอย่างปิดไม่มิด ริมฝีปากเล็กค่อยผลิยิ้มบางๆ
“คุณหนูสาม ดูสิเ้าคะ ของเหล่านี้นายท่านสั่งทำด้วยตนเอง ได้ยินว่าเป็แบบที่เหล่าคุณหนูนิยมมากที่สุดในปีนี้ทีเดียว ข้าอนุภรรยาทราบมาว่าคืนนี้คุณหนูสามเป็ตัวแทนของจวนเราเข้าร่วมงานเลี้ยงในวังหลวง หากแต่งกายด้วยอาภรณ์และเครื่องประดับเหล่านี้ คุณหนูทั้งเมืองหลวงจะมีผู้ใดเทียบเทียมกับคุณหนูสามได้อีก”
สายตาของโม่อี๋เหนียงจับจ้องอยู่ที่กล่องเครื่องประดับทั้งสองใบ พยายามข่มความละโมบไว้ใต้ก้นบึ้งดวงตา แล้วลุกขึ้นกล่าวแนะนำแก่โม่เสวี่ยถง นิ้วมือััลูบคลำเครื่องประดับเ่าั้คล้ายไม่ตั้งใจ หากมิใช่ว่านายท่านสั่งทำทุกชิ้นด้วยตนเอง นางก็คิดจะยักยอกเก็บไว้สักชิ้นสองชิ้น
“ขอบคุณโม่อี๋เหนียงที่ชื่นชม” โม่เสวี่ยถงยิ้มน้อยๆ แล้วยกชาส่งแขก รอยยิ้มอ่อนบางเผยความห่างเหินชัดเจน แม้ว่าโม่อี๋เหนียงคิดจะประจบประแจงโม่เสวี่ยถง แต่ก็รู้ว่ายามนี้ไม่อาจเร่งร้อน จึงลุกขึ้นกล่าวอำลาด้วยรอยยิ้ม
“อี๋เหนียงช่วยส่งของมาให้คุณหนูสามมากมายขนาดนี้ ไยคุณหนูสามจึงไม่ขอบคุณอี๋เหนียงให้มากกว่านี้หน่อย” เมื่อเห็นว่าออกจากเรือนชิงเวยมาไกลแล้ว ฉิงเซียงสาวใช้ประจำตัวของโม่อี๋เหนียงทวงถามความยุติธรรมแทนเ้านายตนด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง
“หุบปาก!” โม่อี๋เหนียงตวาดเสียงเย็น หันไปถลึงตาใส่สาวใช้ที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ
“เ้าค่ะ อี๋เหนียง” เมื่อฉิงเซียงเห็นอี๋เหนียงบันดาลโทสะก็ก้มหน้ารับผิด หุบปากสงบวาจาทันที
“คุณหนูสามเป็เ้านายของจวนโม่ ไม่ใช่คนที่สาวใช้อย่างเ้าจะมาวิจารณ์ได้ เพียงเด็กสาวคนหนึ่งจะไปรู้ความอันใด” แม้ว่าโม่อี๋เหนียงจะไม่พอใจอย่างไร แต่ก็รู้ว่าโม่เสวี่ยถงมีสถานะในใจโม่ฮว่าเหวินไม่ใช่คนที่นางจะแตะต้องได้ ยามนี้ก็ถือโอกาสดุด่าฉิงเซียงระบายความไม่พอใจของตนเอง
ปีใหม่แล้ว นายท่านจะส่งเครื่องประดับไปให้เด็กสาวน่าตายคนนั้นมากน้อยแค่ไหนก็ช่าง แต่ไฉนจึงไม่ส่งมาให้นางบ้าง ตอนนี้ตนเองก็ช่วยดูแลจัดการภายในจวน แม้จะเห็นของสวยๆ งามๆ มาไม่น้อย แต่กำไลล้ำค่าแบบนั้น นับั้แ่เข้าจวนโม่มาหลายปีเพิ่งได้เห็นครั้งนี้เป็ครั้งแรก ใครไม่ใจเต้นก็แปลกแล้ว
ทันใดนั้นนางก็หยุดเท้ากะทันหัน ฉิงเซียงที่ตามอยู่ด้านหลังเกือบจะเดินชน
“อี๋เหนียง?” สาวใช้ไม่รู้ว่าโม่อี๋เหนียงเป็อะไร จึงร้องถามอย่างกลัวๆ กล้าๆ แล้วถอยห่างออกมาสองก้าว
“ไปเรือนฉิงอี๋เหนียง” โม่อี๋เหนียงเลี้ยวไปด้านซ้าย เพื่อไปเรือนเยว่หรงของฉิงอี๋เหนียง ฉิงเซียงโบกมือให้สาวใช้คนอื่นๆ กลับไปก่อน แล้วตนเองก็เดินตามหลังโม่อี๋เหนียงไป
…
งานเลี้ยงฉลองของไทเฮาแตกต่างจากงานเลี้ยงร้อยบุปผา ผู้มาร่วมงานในครานี้มีเฉพาะครอบครัวขุนนางขั้นสองขั้นสามขึ้นไปเท่านั้น เนื่องจากงานเลี้ยงร้อยบุปผาคราวที่แล้วยังไม่อาจคัดเลือกชายาให้กับองค์ชายแต่ละพระองค์ได้ มีข่าวแว่วมาว่าครานี้อาจมีการหยิบยกเื่นี้มาคุยกันอีก แต่โม่เสวี่ยถงไม่ทราบเื่เหล่านี้
นางตามโม่ฮว่าเหวินและโม่อวี่เฟิงเข้าวังพร้อมกัน โม่ฮว่าเหวินกับโม่อวี่เฟิงควบอาชาด้วยตนเอง ส่วนโม่เสวี่ยถงนั่งรถม้าคันใหญ่ที่มีสัญลักษณ์จวนโม่
“คุณหนู บ่าวเห็นโม่ซิ่วอยู่ข้างกำแพงตรงประตูใหญ่ ข้างกายนางมีคนมาด้วย สวมชุดกระโปรงแพรต่วนสีชมพูดูเหมือนจะเป็คุณหนูใหญ่ ท่าทางไม่ค่อยพอใจนัก”
โม่เยี่ยตาไวเห็นการปรากฏตัวของโม่ซิ่วก่อนผู้อื่น จึงดึงมือโม่อวี้ไว้แล้วชี้ออกไปข้างนอก โม่อวี้ทำท่าเหมือนไม่ใส่ใจนัก แต่แอบเลิกม่านมองไปทางนั้น แล้วเล่าสิ่งที่เห็นให้โม่เสวี่ยถงที่นั่งอยู่ด้านในฟัง
“โม่อวี้ ปลดม่านลง พี่หญิงใหญ่สายตาดีมาก ไม่แน่ว่าตอนนี้อาจจะกำลังมองเ้าอยู่ก็ได้” โม่เสวี่ยถงหยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน แล้วกล่าวอย่างไม่นำพา
“ฮึ! ต่อให้คุณหนูใหญ่เห็นบ่าวแล้วอย่างไรเล่า นางเป็คุณหนูยังไม่รู้สึกอะไรเลย บ่าวก็เป็เพียงสาวใช้มีสิ่งใดต้องกลัวล่ะเ้าคะ” โม่อวี้ย่นจมูก แต่ก็เชื่อฟังปลดม่านลง นางไม่วิตกว่าคุณหนูใหญ่จะเห็นตนเอง แต่กลับวิตกว่าคุณหนูใหญ่จะแค้นเคืองคุณหนูของตนมากกว่า แม้ว่าหากกล่าวกันตามจริงแล้วเื่นี้ใครๆ ก็รู้อยู่แก่ใจ
“เอาล่ะ อีกประเดี๋ยวพอเข้าวังแล้วก็ปิดปากให้สนิทหน่อยเล่า ในวังกับข้างนอกไม่เหมือนกัน” โม่เสวี่ยถงวางหนังสือลง เหลือบตาขึ้นกวาดมองนางด้วยสีหน้าจริงจัง แล้วกล่าวอีกว่า “เดินพลาดไปแค่ก้าวเดียวก็อาจมิได้ย้อนกลับมาอีกเลย”
“คุณหนูวางใจเถิดเ้าค่ะ บ่าวอยู่ในวังจะไม่เอ่ยวาจาแม้แต่ประโยคเดียว และจะไม่ทำให้คุณหนูต้องลำบากเด็ดขาด” เมื่อได้ยินโม่เสวี่ยถงกล่าวถึงอันตรายโม่อวี้ก็ยกมือขึ้นปิดปากของตัวเองโดยไม่รู้ตัว กล่าวตอบด้วยน้ำเสียงอู้อี้ ท่าทางของนางทำให้โม่เสวี่ยถงอดยิ้มออกมาไม่ได้
“โม่เยี่ย ไม่รู้ว่าพี่หญิงใหญ่จะใช้วิธีไหนเข้าวังกันนะ” โม่เสวี่ยถงหันไปถามโม่เยี่ยที่กำลังยิ้มหน้าบานอยู่เช่นเดียวกัน
พอได้ยินคุณหนูเอ่ยถึงเื่สำคัญโม่เยี่ยก็ปรับสีหน้าจริงจังขึ้นทันใด แล้วเงี่ยหูแนบข้างตัวรถ ข้างนอกมีเพียงเสียงของนายท่านกับคุณชายใหญ่คุยกัน แล้วลดเสียงต่ำกล่าวรายงาน “คุณหนูใหญ่จะต้องมีความเกี่ยวข้องกับคนในวังหลวงแน่นอน ได้ยินว่าจะฉวยโอกาสใช้รถของวังหลวง รายละเอียดยามนี้ยังไม่แน่ชัด แต่ถึงอย่างไรครั้งนี้คุณหนูใหญ่ก็จะไปงานเลี้ยงในวังด้วยแน่นอน”
โม่อวี้เห็นพวกนางสองคนกำลังคุยเื่สำคัญอยู่ จึงมุ่งสมาธิไปด้านหน้ารถม้า ไม่เข้ามารบกวน
“คุณหนู ได้ยินว่าครั้งที่แล้วคุณหนูใหญ่คิดจะจับฉู่อ๋องแต่ไม่สำเร็จ จึงถูกขับไล่ออกจากวัง ต่อมาก็ป้ายความผิดไปที่สาวใช้ที่ชื่อโม่จิ่นทั้งหมด ยามที่วังหลวงส่งคนกลับมาก็ไม่เห็นสาวใช้ผู้นั้น หรือว่าคุณหนูใหญ่ไม่กลัวว่าจะเกิดเื่เช่นตอนนั้นอีก หากเกิดเื่อีกครั้งเกรงว่าจะมิได้ถูกส่งตัวออกมาได้ง่ายดายปานนั้นอีก” โม่เยี่ยเอ่ยถามด้วยความสงสัย นางติดตามอยู่ข้างกายเฟิงเจวี๋ยหร่าน เื่ราวในวังหลวงก็พอจะผ่านหูผ่านตามาบ้าง จึงรู้เื่เหล่านี้
ตอนที่เกิดเื่นั้น นางยังไม่ได้ติดตามโม่เสวี่ยถง หลังจากที่นางมารับใช้คุณหนูแล้ว จึงทราบเื่นี้จากปากของโม่หลันและโม่อวี้ คิดแล้วก็ยิ่งไม่เข้าใจวัตถุประสงค์ของโม่เสวี่ยิ่ ถูกขับออกจากวัง ถูกประนามให้อับอาย? นางไม่คิดว่าโม่เสวี่ยิ่ที่เ้าเล่ห์ร้ายกาจจะทำเื่โง่งมเยี่ยงนั้น
โม่เสวี่ยถงนั่งใคร่ครวญอย่างละเอียด ส่วนลึกเชื่อว่าครั้งนี้โม่เสวี่ยิ่จะไม่ทำเื่เดิมซ้ำอีกแน่ เหตุที่นางมั่นใจเช่นนั้นเพราะเชื่อว่ามีบุคคลที่คอยให้ความช่วยเหลือโม่เสวี่ยิ่อยู่ คนผู้นั้นเป็คนอย่างไรกันแน่ ไฉนจึงช่วยโม่เสวี่ยิ่เข้าวังครั้งแล้วครั้งเล่า และอะไรคือเป้าหมาย?
ไทเฮา ฮองเฮา ซูกุ้ยเฟย หรืออวี้เฟย...
โม่เสวี่ยิ่ก่อเื่ไว้มากมายเพียงนั้น ครานี้ถูกกักบริเวณไว้ในบ้านก็ไม่นับว่าบิดาลำเอียง นางจะโกรธแค้นอันใด โม่เสวี่ยิ่เป็คนฉลาดและมีความอดทนสูง เห็นจากที่นางอยู่นอกเรือนของเหล่าไท่ไท่เมื่อเช้า ยังคงยิ้มให้กับตนเองอย่างมิได้ถือสา ก็รู้ได้แล้วว่าคนแบบนี้ต่างหากที่น่ากลัว
โม่เสวี่ยถงไม่กลัวว่าโม่เสวี่ยิ่จะะเิอารมณ์กับตนเอง เพราะนั่นเป็การทำให้อีกฝ่ายสูญเสียการควบคุม แต่การที่นางวางตัวสงบเสงี่ยมเยือกเย็นแบบนี้กลับน่ากลัวกว่า ดูไม่ต่างอะไรกับงูพิษที่กำลังเฝ้ารอจ้องจะจับเหยื่อกินเป็อาหารเงียบๆ
เนื่องจากยังไม่รู้ชัดถึงเป้าหมายของโม่เสวี่ยิ่ คิ้วเรียวจึงมุ่นขมวดเล็กน้อย ในขณะที่หลับตาพักผ่อนก็คิดถึงท่าทางลึกลับที่ดูผิดปรกติของโม่เสวี่ยิ่ไปด้วย
“ปัง!” รถชนถูกอะไร?
รถม้าของพวกนางถูกกระแทกอย่างแรงจนเสียสูญ ไม่ช้าก็หยุดลง โม่เสวี่ยถงไม่ทันระวังเกือบถูกแรงเหวี่ยงสะบัดออกจากตัวรถ โชคดีที่โม่เยี่ยตาไว มือหนึ่งคว้าโม่เสวี่ยถงอีกมือก็คว้าโม่อวี้ไว้ได้ จนทั้งสองคนสามารถประคองตัวอยู่
“คุณหนู มีคนชนรถม้าของพวกเรา ถนนก็ออกจะกว้างขวางขนาดนี้ไฉนจึงไม่ดูทางกันเลย นายท่านเข้าไปเจรจากับพวกเขาแล้วเ้าค่ะ” โม่อวี้กล่าวด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว ขณะที่มีรถพุ่งมาชนนางนั่งอยู่หน้าประตู จึงเห็นรถของฝ่ายตรงข้ามพอดีว่าเป็รถม้าคันใหญ่หรูหราเทียมอาชาแปดตัวพุ่งเข้ามาอย่างแรง หากมิใช่ว่าคนบังคับม้าไหวตัวทัน ป่านนี้คงชนเข้าเต็มๆ
รถม้าของตระกูลไหน ช่างโอหังกล้าควบอาชาทะยานไปบนท้องถนนในเมืองหลวงอย่างไม่กลัวเกรงกฎหมายเยี่ยงนี้