ภายหลังเมื่อได้พบแม่สามีและสตรีดอกท้อผู้นั้น พานเยว่หลานก็รู้สึกเบื่อหน่ายยิ่งนัก นางไม่รู้ว่าตนต้องทนเื่เช่นนี้ไปอีกนานเท่าใด ยิ่งสามีหมาดๆ ของตนผู้นั้นยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง หลังจากคืนเข้าหอเขาได้กลับมาที่นี่อีกหลายครั้ง ทว่าถูกนางปฏิเสธไปจากนั้นเขาก็ไม่มาเหยียบที่เรือนของนางอีกเลย
“พวกเ้าออกไปรอข้างนอกก่อนเถอะ ข้า้าอยู่เงียบๆ เพียงลำพัง”
หญิงสาวสั่งสาวใช้สองคนที่คอยติดตามรับใช้ ถ้าจะให้เอ่ยเื่จริงคือฮูหยินใหญ่โจวสั่งให้พวกนางคอยจับตาดูตนเองเอาไว้เสียมากกว่า เมื่อสาวใช้ทั้งสองออกจากห้อง พานเยว่หลานก็หยิบตำราเล่มหนึ่งออกมา มันคือหนังสือกลอนที่เย่เหิงเขียนให้นางั้แ่ยังเยาว์
หญิงสาวลูบคลำหนังสือกลอนแ่เบา ดวงตามจ้องมองกระดาษทีละแผ่น กลอนทีละบทอย่างโหยหา ราวกับว่ากำลังมองเย่เหิงบุรุษผู้ที่นางหลงรักปักใจ
“ฮื่ออออ!! เมื่อใดหนอข้าถึงจะได้หลุดพ้น เมื่อใดหนอ์ถึงจะเห็นใจข้า”
หญิงสาวส่งเสียงร่ำไห้ปานใจจะขาด หยาดน้ำตาเม็ดโตรินหลั่งออกมาราวกับสร้อยไข่มุกสายขาด นางรู้สึกทรมานทั้งร่างกายและจิตใจ อยากจะกลั้นใจตายเสียเดี๋ยวนี้เพื่อให้ตนเองได้หลุดพ้น
สาวใช้ที่เฝ้าอยู่ด้านนอกมองหน้ากันเล็กน้อย เมื่อได้ยินเสียงครวญครางราวกับสัตว์ตัวเล็กกำลังาเ็ พวกนางสองคนแม้จะได้รับคำสั่งให้จับตาดูและคอยรายงานในสิ่งที่พานเยว่หลานทำ แต่เพราะเป็สตรีเช่นกันจึงได้เข้าใจถึงความรู้สึกทุกข์ระทมของนาง
“พี่ฮวา เราควรรายงานเื่นี้ให้ฮูหยินใหญ่รู้ดีหรือไม่”
สาวใช้ที่รูปร่างผอมบางเอ่ยถามสาวใช้ที่ดูมีอายุกว่า
“บางเื่ถ้าไม่สำคัญมากเราก็ทำเป็มองผ่านเลยไปก็ได้ อย่างไรทุกวันนี้นางก็ดูทุกข์ระทมมากพอแล้ว ถึงเราสองคนจะเป็เพียงสาวใช้ที่ต่ำต้อย แต่อย่าได้ช่วยคนผิดทำร้ายคนดีไปมากกว่านี้เลย”
สาวใช้ฮวาเอ๋อเอ่ยเตือนสาวใช้อ่อนวัยกว่าเสียงเบา
พานเยว่หลานร้องไห้เพียงลำพังภายในห้องจนกระทั่งท้องฟ้ามืดลง เสียงเปิดหน้าต่างดั่งขึ้นแ่เบามิอาจทำให้นางรู้สึกตัว ร่างสูงโปร่งช้อนกายหญิงสาวที่ฟุบหน้าอยู่บนตั่งตัวยาวขึ้น ฝีเท้าแ่เบาของเขามิอาจทำให้สองสาวใช้ที่เฝ้าอยู่ด้านนอกได้ยิน
“หลานเอ๋อ ข้าช่างไร้ความสามารถนัก มิอาจช่วยเหลือเ้าในยามที่เ็ปเช่นนี้ได้”
“วันนี้เราสองมิอาจครองคู่ ข้าหวังว่าชาติหน้า์จะเห็นใจยอมให้ข้าได้อยู่กับเ้าอีก”
เสียงทุ้มกระซิบแ่เบาข้างหู หญิงสาวที่หลับใหลเพราะเหน็ดเหนื่อยจากการร้องไห้ ขยับเข้าหาอ้อมอกอบอุ่นที่แสนคุ้นเคย
เย่เหิงเกลี่ยเช็ดหยาดน้ำตาที่ยังไม่เหือดแห้งของนางอย่างทะนุถนอม แขนแกร่งกอดกระชับร่างบางด้วยความรู้สึกรวดร้าว ภายในใจได้แต่นึกกล่าวโทษต่อ์ ว่าตนเองทำสิ่งใดผิดกันถึงได้ถูกลงโทษให้ต้องพลัดพรากจากคนรักเช่นนี้
คืนนั้นพานเยว่หลานหลับไปด้วยหัวใจเปี่ยมสุข นางยังฝันอีกว่าตนเองได้พบกับชายคนรักทั้งยังได้นอนกอดกันจนกระทั่งรุ่งสาง ทว่าเมื่อหญิงสาวตื่นขึ้นในเช้าวันใหม่กลับพบว่าทุกอย่างเป็เพียงแค่ความฝันเท่านั้น
นางมิอาจยอมรับเื่ที่เกิดขึ้นได้ จึงเอาแต่ขังตนเองอยู่ภายในห้องไม่ยินยอมพบหน้าผู้ใด แม้กระทั่งสาวใช้ที่อยู่ด้านนอกทั้งสองคน
“ก๊อกๆๆ ฮูหยินน้อย ท่านตื่นอยู่หรือไม่เ้าคะ”
ฮวาเอ๋อและเสี่ยวชุ่ย สาวใช้ที่ทำหน้าที่รับใช้นางเอ่ยถาม หลังจากมิได้พบหน้าพานเยว่หลานถึงสองวัน พวกนางกังวลว่าหญิงสาวจะเป็อันใดไปแล้วพวกตนจะต้องกลายเป็ผู้รับผิดชอบ จึงต้องคอยไถ่ถามอยู่ตลอดเวลา
“เข้ามาเถอะ ช่วยยกน้ำอุ่นเข้ามาให้ข้าด้วย ข้า้าอาบน้ำ”
เสียงแหบแห้งของหญิงสาวดังขึ้นแ่เบา ฮาเอ๋อและเสี่ยวชุ่ยผินหน้ามองกันเล็กน้อย ก่อนจะรีบทำตามคำสั่งของนางอย่างรวดเร็ว
“ท่านต้องทานอะไรบ้างนะเ้าคะ ไม่อย่างนั้นบ่าวสองคนคงต้องรับโทษที่ดูแลฮูหยินน้อยไม่ดี”
“ข้ารู้แล้ว พวกเ้าไปเตรียมโจ๊กให้ข้าสักชามก็พอ”
ร่างบางเอ่ยกับฮวาเอ๋อ ก่อนจะหลับตาแช่น้ำอุ่นเพื่อให้ตนเองผ่อนคลาย
สองวันที่นางขังตนเองอยู่ภายในห้อง ทำให้พานเยว่หลานคิดได้หลายอย่าง นางในตอนนี้มิใช่คุณหนูตระกูลพานอีกต่อไปแล้ว หากแต่เป็ฮูหยินน้อยตระกูลโจว ถ้านางไม่แย่งชิงความเป็ใหญ่ในเรือนหลังนี้ ต่อไปนางก็จะไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้อย่างสงบสุข
ภายหลังเมื่ออาบน้ำชำระกายเสร็จเรียบร้อย หญิงสาวจึงพาสาวใช้ทั้งสองไปที่ห้องตำราที่โจวหานอี้ใช้พักนอน เมื่อไปถึงที่นั่นประตูที่มิได้ปิดเอาไว้ทำให้หญิงสาวเห็นภาพของจ้าวหรู้อี้ กำลังนั่งอยู่บนตักของสามีนาง
พานเยว่หลานคิดว่าเื่เช่นนี้สักวันต้องเกิดขึ้นแน่ นางพยายามสงบใจตนเองจากนั้นปั้นหน้าเป็เ้าของเรือนที่ดี เดินเข้าไปในห้องหนังสือของโจวหานอี้
“ข้าคงมิได้มาขัดจังหวะพวกเ้าทั้งสองกระมัง”
เสียงเย็นเอ่ยขึ้นที่หน้าประตู ชายหนุ่มเมื่อเห็นภรรยาเขาก็รีบลุกขึ้นทันที แต่พานเยว่หลานมิได้ใส่ใจท่าทีร้อนรนของเขา
“คุณหนูจ้าว วันนี้ก็มาเที่ยวเล่นเหมือนเคยหรือ”
“ขะ...ข้าแค่เพียง้าให้พี่หานอี้ช่วยสอนข้าคัดอักษรเท่านั้น”
จ้าวหรู่อี้แสดงท่าทีประหม่าเมื่ออยู่ต่อหน้าหญิงสาว เมื่อเห็นท่าทีเฉยเมย นางกลับอยากให้พานเยว่หลานโวยวายเื่ของนางกับโจวหานอี้เสียยังจะดีกว่าทำท่าทางเ็าเช่นนี้
“ข้าแค่แวะมาดูท่านเท่านั้น หลายวันมานี้ฝันไม่ค่อยดีจึงอยากมาชวนท่านไปไหว้พระบนเขา ทว่าถ้าท่านไม่ว่างเห็นทีข้าคงต้องไปด้วยตนเอง”
โจวหานอี้ไม่เคยเห็นภรรยาที่ตนแต่งเข้ามามีท่าที้าปฏิสัมพันธ์กับตนมาก่อน หรือว่าที่นางเป็เช่นนี้เพราะการมาของจ้าวหรูอี้
ชายหนุ่มนึกกระหยิ่มในใจ คิดว่าพานเยว่หลานกำลังหึงหวงตนเอง เมื่อคิดได้เช่นนั้นเขาจึงหันไปกอดกระชับหญิงสาวร่างบางที่ยืนอยู่ไม่ไกลเข้ามาในอ้อมแขน
“ข้าว่าง เช่นนั้นก็ให้คนไปเตรียมรถม้าเถอะ ข้าจะพาหรูอี้ไปด้วย”
พานเยว่หลานก้มหน้าบิดปากอย่างนึกรังเกียจ นางพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินออกจากห้องพร้อมกับสาวใช้ทั้งสอง
“ฮูหยินน้อย...ท่านไม่เป็ไรนะเ้าคะ”
หญิงสาวหันไปมองสาวใช้ฮวาเอ๋อ พลางส่งยิ้มพร้อมกับส่ายหน้าให้นาง
“ขึ้นรถม้าเถอะ”
รถม้าคันเล็กที่นางนั่งไปกับสาวใช้ทั้งสอง เป็รถม้าที่มีเพียงบุตรอนุในจวนตระกูลโจวเท่านั้นที่ใช้โดยสาร เป็ความจงใจของโจวหานอี้ที่ให้คนเตรียมรถม้าเช่นนี้ให้นาง เขา้าข่มให้นางดูต่ำต้อย แต่หญิงสาวกลับมิได้ใส่ใจต่อการกระทำของเขา
ความจริงในใจของโจวหานอี้อยากจะปราบพยศหญิงสาวผู้นี้ และ้าแก้แค้นนางเื่ที่เย่เหิงคุณชายสามตระกูลเย่เข้ามาอาละวาดในงานแต่งงานของเขา แต่กลับรู้สึกเ็ปเมื่อเห็นนางเศร้าโศก
“ท่านไม่นั่งรถม้าคันเดียวกับนางเช่นนี้ ระวังนางจะไม่พอใจนะเ้าคะ”
ร่างบางโน้มกายเข้าไปอิงซบชายหนุ่ม พลางเอ่ยเสียงหวานออดอ้อนออเซาะ
“นางกล้าหรือ สตรีอย่างไรก็เป็สตรีวันยังค่ำ ไม่มีสิทธิ์มีปากเสียงกับบุรุษ ข้าให้นางทำเช่นไรนางก็ต้องทำเช่นนั้น หรือต่อให้ข้าห้ามนางมิให้ออกนอกจวน นางก็ไม่สามารถขัดคำสั่งของข้าได้”
หญิงสาวยกยิ้มอย่างพอใจ เมื่อได้ฟังวาจาของบุรุษที่ตนชอบ
“ท่านพี่หานอี้ เมื่อใดท่านจะรับข้าเข้าจวนเสียที ข้ามาหาท่านบ่อยๆ เช่นนี้ อาจทำให้บิดาของข้าไม่พอใจเอาได้นะเ้าคะ”
บิดาที่จ้าวหรูอี้เอ่ยถึงคือกั๋วกงคนปัจจุบันจ้าวจิ่งซาง แม้จะมิได้รับความสำคัญเท่าใดเมื่อยามอยู่ในจวน ซึ่งแตกต่างจากทายาทสายตรงอย่างจ้าวหยวนเอ๋อที่เป็มารดาของเย่เสวียนจื่อ แต่ทว่าต่อให้เป็บุตรที่เกิดจากอนุอย่างไรนางก็ยังคงเป็สายเืของตระกูลจ้าวอยู่ดี มิอาจทำให้ตระกูลจ้าวขายหน้าได้
“เื่นี้...”
มิใช่ตัวเขาไม่้าให้จ้าวหรูอี้มาเป็คนของตน แต่เฉิงหรงกุ้ยเฟยผู้เป็น้องสาวนั้นสั่งห้ามมิให้เขายุ่งเกี่ยวกับตระกูลจ้าวต่างหาก จึงต้องแอบพบกับนางอย่างลับๆ เพื่อมิให้ตระกูลจ้าวระแคะระคาย
“ข้าเองก็้าแต่งเ้าเข้าจวน แต่ข้าพึ่งได้รับพระราชทานสมรสจากฝ่าา มิอาจแต่งอนุได้จนกว่าจะครบปี ข้าอยากให้เ้าอดทนได้หรือไม่หรูเอ๋อ”
แม้นางจะรู้สึกไม่พอใจ ทว่าตนเองกลายเป็คนของเขาแล้วจะสามารถพูดสิ่งใดได้เล่า
“ข้ารู้แล้วเ้าค่ะ แต่ท่านอย่าให้ข้าต้องรอนานนะ”
หญิงสาวซบหน้าลงไปบนแผงอกของชายหนุ่ม มือนุ่มนิ่มไม่อยู่สุขลูบไล้ไปตามร่างกายของโจวหานอี้ เสียงครางกระเส่าดังแ่เบาออกมา คนขับรถม้าและผู้ติดตามมองหน้ากันเลิกลัก ไม่คิดว่าคุณชายของตนจะใจกล้าถึงเพียงนี้
ณ เชิงเขาทางขึ้นไปยังวัดประจำเมืองหลวง
“พวกเราเราขึ้นไป้าก่อนเถอะ”
รถม้าที่พานเยว่หลานและสาวใช้ทั้งสองนั่งมา หยุดลงตรงทางขึ้นเขาที่มีบันไดนับร้อยขั้น หญิงสาวหลับตาสงบนิ่งก่อนจะสูดหายใจลึก นางย่ำเท้าขึ้นไปแต่ละก้าวด้วยจิตที่มุ่งมั่น
แม้จะรู้สึกว่าชีวิตของตนมิได้รับความเป็ธรรมจาก์ แต่ทว่านางก็เชื่อมั่นในเื่บาปบุญ หญิงสาวไม่รั้งรอสามีที่นั่งมากับสตรีอื่น
เมื่อไปถึง้าที่เป็ลานโล่งมีเพียงพระพุทธรูปองค์ใหญ่ตั้งเด่นตระหง่านและต้นโพธิ์หนึ่งต้นที่ยืนให้ร่มเงาอยู่ไม่ไกล ด้านหลังพระพุทธรูปคือหน้าผาที่มีศาลาและสถานที่พำนักของเหล่าภิกษุอาศัยอยู่
หญิงสาวนั่งลงคุกเข่าลงหลับตาอธิษฐานขอให้ตนเองและครอบครัวมีความสุขแคล้วคลาดปลอดภัย ทว่าธูปที่นางจุดกลับมอดดับไปอย่างไม่ทราบสาเหตุ
พานเยว่หลานเฝ้ามองธูปดอกนั้นด้วยจิตใจที่ไม่สงบ ทว่าด้านหลังกลับได้ยินเสียงของใครบางคนเอ่ยขึ้น
บ่วงเวรกรรมชาตินี้ไม่มีวันตัดขาด ชีวิตอันน่าเวทนายังไม่สิ้นสุด เมื่อใดที่ผู้มีบุญได้เกิดใหม่ เมื่อนั้นความทุกข์ทั้งหลายจะถูกปลดปล่อย
หญิงสาวราวกับตกอยู่ในภวังค์ ทันทีที่สาวใช้เข้ามาแตะหัวไหล่ พานเยว่หลานก็ได้สติกลับมาทันที นางหันมองไปรอบด้านเพื่อหาว่าเป็ผู้ใดที่เอ่ยกับตน ทว่าทั่วทั้งบริเวณมีเพียงนางและสาวใช้ทั้งสองเท่านั้น
“พวกเ้าพบใครอื่นนอกจากพวกเราหรือไม่”
สาวใช้ทั้งสองส่ายหน้า
“ไม่มีเ้าค่ะ ที่นี่มีเพียงพวกเราสามคน”
หญิงสาวไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน ทว่าเสียงนั้นยังคงดังกึกก้องภายในหัว หรือว่านี่อาจเป็คำตอบของ์ที่นาง้าถามมาโดยตลอด
“ฮูหยินน้อยท่านเป็อะไรไปหรือเ้าคะ”
“ไม่มีอะไร ข้าคงหูแว่วไปเอง พวกเ้าสองคนนำเงินนี้ไปบริจาคเป็ค่าน้ำมันตะเกียงให้กับที่วัดเถอะ ข้าอยากเดินดูรอบๆ สักหน่อย”
หลังจากสั่งสาวใช้ทั้งสองพานเยว่หลานจึงเดินไปยังต้นโพธิ์ที่ยืนต้นตระหง่านให้ร่มเงาอยู่ไม่ไกล นางนั่งลงที่ม้านั่งทว่ากลับได้เห็นใครบางคนที่แสนคุ้นตากำลังกวาดใบไม้แห้งอยู่ไม่ไกล
ทันทีที่สองสายตาสบประสาน หัวใจของนางสั่นไหวอย่างรุนแรงเมื่อได้เห็นใบหน้านั้นอย่างเต็มตา
“ท่าน...เย่เหิง...เหตุใดถึงมาอยู่ที่นี่”
ดวงตาคมฉายแววเ็ป ร่างสูงโปร่งในชุดผ้าเหลืองสีมอ บนศีรษะโล่งเตียนไร้เส้นผม บัดนี้เย่เหิงหรืออันคงใต้ซือได้กลายเป็หลวงจีนที่สละทางโลกไปเรียบร้อยแล้ว
“ความเ็ปที่อาตมาได้รับนั่นเกินที่หัวใจจะทนรับไหว ในเมื่อชีวิตนี้มิอาจสมหวัง อาตมาก็ไม่้ารับรู้เกี่ยวกับฮูหยินอีก”
พานเยว่หลานคิดว่าตนเองนั้นได้รับความทุกข์ทรมานมากแล้ว ทว่าบุรุษผู้นี้กลับได้รับความเ็ปไม่ต่างกัน ั้แ่วันนั้นในงานแต่งงานของนางหญิงสาวก็มิได้พบหน้าเขาอีกเลย
“ท่านทำเช่นนี้เพื่อสตรีเช่นข้ามันสมควรแล้วหรือ”
ดวงตากลมโตแดงก่ำ หยาดน้ำตาแห่งความทุกข์ระทมหลั่งรินออกมาไม่ขาดสาย หัวใจของเขาและนางเ็ปอย่างแสนสาหัสความรู้สึกเ็ปราวถูกทิ่มแทงเกิดขึ้นเพราะอะไร มีเพียงคนทั้งสองเท่านั้นที่รู้ดีแก่ใจ
“อาตมาเป็ผู้เลือกเส้นทางนี้ด้วยตนเอง มิใช่ความผิดของโยม อย่าได้กล่าวโทษหรือด้อยค่าตนเองเช่นนั้น”
แม้จะละทางโลกไปแล้ว แต่ความห่วงใยของเขาที่มีต่อนางนั้นไม่ลดน้อยถอยลงแม้เพียงนิด
“ที่นี่ทำให้หัวใจของตามาสงบลงได้ แม้ความเ็ปจะยังคงอยู่ ทว่าอาตมาเชื่อ สักวันมันจะต้องหายไปได้แน่นอน”
ร่างบางมิอาจสะกดกลั้นความรู้สึกเ็ปและระทมทุกข์ของตนได้อีกต่อไป นางคุกเข่าก้มหน้าผากจรดพื้นต่อหน้าหลวงจีนหนุ่ม หัวไหล่บอบบางสั่นเทาเพราะแรงสะอื้น
“เช่นนั้นข้าน้อยก็ขอให้ท่านจงมีแต่ความสุขสงบเมื่ออยู่ที่นี่ ทว่าในเมื่อชาตินี้มิอาจครองคู่ ขอให้ชาติต่อไปของเราทั้งสองอย่าได้มีอุปสรรคอีกเลย”
หญิงสาวหันไปคำนับให้กับพระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่ตั้งเด่นตระหง่านท่ามกลางความเงียบสงบ หลวงจีนหนุ่มเห็นเช่นนั้นก็คุกเข่าลงคำนับเช่นกัน ราวกับว่าเป็คำสัญญาข้ามภพข้ามชาติของคนทั้งสองที่มีต่อกัน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้