อี้อวิ๋นค่อยๆ ป้อนน้ำให้เว่ยชงดื่มทีละนิด
ิหยวนเฝ้ามองการกระทำแสนอ่อนโยนก็พลันนึกถึงความใส่ใจที่เขาเตรียมของต่างๆ ไว้ให้คลายหนาว อดเอ่ยถามอย่างแปลกใจไม่ได้ “ท่านพี่อี้ดูเป็คนอ่อนโยน”
“เมื่อก่อนเป็พวกหยาบกระด้าง” อี้อวิ๋นหัวเราะด้วยสีหน้าที่อ่อนโยนปนเศร้า “พี่ชายในค่ายทหารที่ข้านับถือเสียชีวิตในสนามรบ ทิ้งมารดาชรากับน้องสาวไว้ไร้คนดูแล ข้าเลยต้องดูแลสองแม่ลูกแทนเขา น้องสาวตัวเล็กเป็เด็กน่ารัก ข้าไม่มีพี่น้อง จึงเห็นนางเป็เหมือนน้องสาวแท้ๆ ของข้า”
“อ๋อ!” ิหยวนเดาออกทันที “โคมไฟนั่นท่านอยากได้ไปให้นาง”
“นางชอบสิ่งเหล่านี้ที่สุด พอรู้ว่าคืนนี้มีงานโคมไฟ นางก็อยากออกมาเที่ยวเล่น แต่นางไม่สบาย ท่านแม่ของนางจึงไม่ยอมให้ออกมา นางเอาแต่ขอให้ข้าซื้อโคมไฟที่สวยที่สุดกลับไปให้ ข้ารับปากนางแล้ว ไม่คิดเลยว่าแม้แต่โคมไฟที่งดงามรองลงมา ข้ายังเอากลับไปให้นางไม่ได้” อี้อวิ๋นส่ายหน้าเบาๆ สีหน้าเขาดูละอายใจที่ไม่อาจทำตามสัญญา “จะว่าไปแล้วข้าละอายใจยิ่งนัก ในยามที่ชีวิตอยู่บนเส้นดายระหว่างความเป็กับความตาย สิ่งที่ข้านึกเสียใจที่สุดคือข้าไม่มีโอกาสเอาโคมไฟนี้ไปให้นาง”
“เ้ามีเื่อันใดให้นึกเสียใจหรือไม่?”
ิหยวนครุ่นคิด เขามีโอกาสได้ศึกษาเล่าเรียน ครอบครัวมีที่ดินเป็ตนเอง พี่สาวก็ออกเรือนแล้ว ท่านอาจารย์ก็สุขสบายดี เื่ของบ้านเมือง ตอนนี้ก็มิใช่หน้าที่เขา ไม่จำเป็ต้องเป็กังวล “ดูเหมือนไม่มี”
“ไม่กระมัง มีมากหรือน้อยอย่างไรก็ต้องมี ลองคิดดูดีๆ ก่อน”
ิหยวนใคร่ครวญอีกครั้ง แต่ก็พบว่ามันไม่มีจริงๆ ทว่าพอเห็นแววตาคาดหวังของอี้อวิ๋น เขาก็นึกออกเื่หนึ่ง “มีคนคนหนึ่งที่ข้าเพิ่งได้ยินชื่อวันนี้ ข้าอยากทำความรู้จักเขา แต่น่าเสียดายที่สถานะเขาสูงส่งเกินกว่าจะเอื้อมถึง”
“ผู้ใด?”
“คุณชายฉางผิง” ิหยวนยกไหสุราขึ้นดื่มจนถึงหยดสุดท้าย ลองเขย่าดูก็พบว่ามันว่างเปล่าแล้วจริงๆ “หยางจวิน หยางติงเป่ย”
“เขา?”
“หืม…ท่านพี่อี้รู้จักหรือ?”
“ไม่รู้จัก” อี้อวิ๋นแสดงสีหน้าอ่านยาก “ข้าเคยได้ยินชื่อเขา ข่าวลือในเมืองเจี้ยนคังนั้นไม่น่าเชื่อถือ เพียงแต่เื่ที่เขาพากองกำลังเล็กๆ ออกจัดการศัตรูนั้นไม่ได้เกินจริงอย่างที่ข่าวลือบอก นึกไม่ถึงว่าน้องหยวนก็ตามหาเขาด้วย”
“หืม? ข่าวลืออันใดหรือ? ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน”
“นี่เ้าไม่รู้หรือว่าคุณชายฉางผิงคนนี้เกิดมาเพื่อเหน็บแนมผู้อื่น?” อี้อวิ๋นกล่าวอย่างชอบอกชอบใจมาก “คุณชายคนอื่นๆ เ้าชู้สะสมสตรี ท่องกวีถกเต๋า ในขณะที่เขาวันๆ ถือดาบฝึกวรยุทธ์ คบอันธพาล ทำตัวไม่เหมือนคุณชายตระกูลใหญ่”
ิหยวนไม่เคยได้ยินเื่นี้มาก่อน “ข้าแค่คิดว่าคนผู้นี้น่ายกย่องมาก หากได้ผูกมิตรกับเขาคงสนุกดี”
“ข้าได้ยินคนชื่นชมเขาเื่ความกล้าหาญและเด็ดเดี่ยว นี่เป็ครั้งแรกที่ข้าได้ยินว่าเขาเป็คนสนุกสนาน”
ิหยวนได้แต่ยิ้ม ก่อนจะถามถึงเื่อื่น “ดาบที่ท่านพี่อี้ใช้ดูเหมือนดาบในกองทัพ ท่านก็เป็ทหารในกองทัพหรือ?”
อี้อวิ๋นตอบอย่างไม่อาย “ใช่แล้ว ข้าเพิ่งถูกส่งกลับมาพักร้อนก็เลยออกมาเที่ยวเล่น ไม่คิดว่าจะได้เจอเหตุการณ์อึกทึกครั้งใหญ่”
“ลำบากท่านพี่อี้แล้ว”
“คำก็ท่านพี่อี้ สองคำก็ท่านพี่อี้ เ้านี่ช่างเป็เด็กหัวโบราณเสียจริง”
“ข้าอายุสิบห้าแล้ว” ิหยวนนั่งเท้าแขนข้างหนึ่งพร้อมเอ่ยถามข้ามกองไฟ “มิทราบว่าปีนี้ท่านพี่อี้อายุเท่าไรขอรับ?”
อี้อวิ๋นโคลงหัว “พี่ชายผู้โง่เขลาพึ่งจะยี่สิบ”
“เพิ่งจะสวมกวานไปไม่นานกระมัง” ิหยวนฉีกยิ้มให้พลางพึมพำ แต่ก็ไม่แน่ใจ “เช่นนั้นข้าเรียกท่านว่าพี่ใหญ่อี้ได้หรือไม่?”
“ได้!” อี้อวิ๋นตบเข่าฉาด เด็กที่อยู่ในอ้อมแขนเขาจึงขยับยุกยิก เขารีบอยู่นิ่ง ไม่กล้าขยับอีก “อย่างนี้สิถึงจะใกล้ชิดขึ้นมาหน่อย ในค่ายทหารทุกคนตรงไปตรงมา ข้าไปที่นั่นครั้งแรกก็ทำตัวสุภาพมาก จึงไม่มีพี่น้องคนใดพูดกับข้าอย่างเปิดอก”
“ควบม้าสวมเกาะ อุทิศชีวิตให้บ้านเมือง ช่างเป็เื่ที่ดียิ่ง”
“น้องหยวนสนใจเื่ในค่ายทหารจริงเชียว” อย่างที่พึ่งพูดไป ยุคนี้นิยมคำพูดหรูหรา อภิปรัชญา สวมเสื้อผ้าหรูหรา ส่วนนักรบนั้นเรียบง่ายไม่พิถีพิถันจึงมักถูกผู้คนดูแคลน
ิหยวนกลั้นหัวเราะไว้ไม่ไหว “หากใต้หล้าสงบสุขรุ่งเรือง ข้าวปลาอาหารและเสื้อผ้าเพียงพอ อยากจะสนทนาพาทีร่ายกวีร้องกลอนก็มิใช่ปัญหา ทว่าใต้หล้ายามนี้พวกชนเผ่าป่าเถื่อนทางเหนือจ้องเราตาเป็มัน ประชาชนอดอยากปากแห้ง เหล่าขุนนางตระกูลใหญ่ก็ต่อสู้กันไม่รู้สิ้น ผู้คนขุ่นเคือง ทนทุกข์เนินนาน หนานฉู่ตอนนี้เหมือนนั่งอยู่บนกองดินประสิว ในยามคับขันเช่นนี้ ผู้ใดกล้าดูถูกเหล่านักรบอย่างพวกท่าน?”
อี้อวิ๋นจ้องเขาไม่วางตา ั์ตาสีเข้มเป็ประกาย ไม่รู้เป็เพราะสะท้อนเปลวไฟหรือมันเปล่งประกายด้วยตัวมันเอง “จริงด้วย บรรพบุรุษของข้าอยู่ที่ชิงโจว ริมแม่น้ำฉางเจียง ถูกเป่ยหูรุกรานตลอด ได้ยินมาว่าไม่กี่ปีก่อนผู้คนอพยพหนีจากเจียงเป่ยมา เดิมทีผลผลิตการเกษตรทั้งหมดต้องส่งให้ทางการ ทว่าเกิดภัยพิบัติติดต่อกันหลายปี นับวันภาษีและค่าเช่าที่ยิ่งแพงขึ้นเรื่อยๆ ใน่สองปีที่ผ่านมา ผู้คนจำนวนมากหนีไปตั้งรกรากบนเขา บางคนพายเรือทวนกระแสน้ำเพื่อกลับทางเหนือ”
“เหตุใดถึงกลับไป?”
“บอกว่าไม่ว่าอย่างไรก็ต้องตาย ต่อให้ชาวหูจะโหดร้ายเพียงใดก็ไม่มีทางโหดร้ายเท่าคนเก็บภาษี”
“อ้าว…แล้ว” ิหยวนนึกขึ้นได้ว่าเจียงโจวก็เป็เช่นนี้ ท่านลุงจู้จือที่เคยอาศัยอยู่ข้างบ้านก็ย้ายออกไปแล้ว เขาหนีไปอยู่บนเขาหรืออย่างไรก็มิอาจรู้ได้ พอเห็นความเ็ปในแววตาอี้อวิ๋นแล้ว เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกแบบเดียวกัน “ราชสำนักไม่เคยให้ความช่วยเหลือเลยหรือ?”
“ราชสำนักมีเงินที่ใดกัน ท้องพระคลังว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่เงินจะจ่ายเบี้ยเลี้ยงทหาร ไหนเลยจะมีเงินไปบรรเทาภัยพิบัติ” อี้อวิ๋นยิ้มเยาะ “แต่ราชสำนักก็บอกว่าให้หาเงินได้จากการปลูกหม่อนเลี้ยงไหม ให้ชาวบ้านปลูกต้นหม่อนทอไหมเพื่อหาเลี้ยงปากท้อง และลืมตาอ้าปากจากความจน”
“ก็ฟังดูสมเหตุสมผลมิใช่หรือ?” ิหยวนคิดอยู่พักหนึ่ง “ขอเพียงคลังหลวงปล่อยกู้แล้วผ่านฤดูการเก็บเกี่ยวทั้งสองหนในฤดูร้อนปีนี้ได้ก็ใช้ได้แล้ว”
“คิดไม่ถึงว่าน้องหยวนจะรู้เื่การเกษตรด้วย”
เห็นเขาแปลกใจ ิหยวนจึงอธิบายพลางชี้ไปที่เสื้อคลุมที่แขวนอยู่ว่า “ข้าก็เป็ลูกหลานชาวนายากจนเหมือนกัน”
“จริงหรือ?” อี้อวิ๋นยกยิ้มน้อยๆ ให้เขาท่ามกลางแสงไฟอันอบอุ่น “ข้านึกว่าเ้ามีเซี่ยกงเป็แบบอย่างเสียอีก”
เซี่ยไท่ฟู่ยามพำนักอยู่บนเขามักสวมเสื้อผ้าธรรมดากับรองเท้าฟาง จนผู้คนในเมืองเจี้ยงคังนิยมทำตาม แม้แต่ฟางยังแพง
อี้อวิ๋นอธิบายต่อ “เ้าว่าหากคลังหลวงให้ยืมข้าวสารกับธัญพืชก็คงจะดีไม่น้อยเลยใช่หรือไม่? เพียงแต่พวกเขาไม่ให้ยืม ไม่สิ ความจริงมันโหดร้ายกว่านั้น ตอนแรกพวกเขาบอกให้ชาวนาเก็บข้าวของตนเองไว้กินก่อนแล้วค่อยใช้คืน ทว่าตั้งกฏว่าหากกินไปสองโต้ว ปีหน้าจะต้องใช้คืนสามโต้ว ชาวนาจึงเลือกปลูกต้นหม่อนแทน แต่ผู้ใดจะคิดว่าทางการจะผัดวันประกันพรุ่ง จนอาหารของชาวนาเริ่มหมด สุดท้ายไฟร้ายก็เริ่มมอดไหม้ยุ้งฉาง จากนั้นก็อ้างว่าไฟไหม้ ไม่มีข้าวเหลือแล้ว และให้ยืมไม่ได้แล้ว ชาวนาต่างตื่นตระหนกใ ผู้มีที่ขายที่ ผู้เช่าที่ขายบุตรชายบุตรสาวของตน…”
เขาไม่จำเป็ต้องอธิบายต่อ ิหยวนก็เข้าใจ จึงได้แต่ถอนหายใจ “พวกตระกูลใหญ่ย่อมใช้โอกาสนี้กดราคาที่ดิน”
“ใช่ เมื่อก่อนที่ดินหนึ่งหมู่ราคาห้าสิบเหวิน แต่ตอนนี้ขอเพียงแลกอาหารได้ก็ยกให้เปล่าๆ แล้ว”
บิดาของิหยวนก็เป็เกษตรกร ตอนนี้ทำนาของตนเอง เขารู้ว่าที่ดินเป็สิ่งสำคัญสำหรับชาวนาชาวไร่ ยิ่งนึกถึงสถานการณ์นี้ เขายิ่งรู้สึกเข้าอกเข้าใจ ทั้งเปล่าเปลี่ยวหัวใจในเวลาเดียวกัน
อี้อวิ๋นเห็นเขาถอนหายใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ฝืนส่งยิ้มให้ “ข้าเล่าเื่พวกนี้ให้เหล่าคุณชายในสำนักศึกษาฟัง พวกเขายังถามข้าว่าเหตุใดไม่ฟ้องร้อง”
“เ้าหน้าที่และชนชั้นสูงเป็พวกเดียวกัน ชาวบ้านตาดำๆ มีที่พึ่งที่ใดกัน มิเช่นนั้นต้นเพลิงจะมาจากที่ใดกัน?”
“พูดได้ไม่เลว ที่งานโคมไฟวันนี้ก็ไม่เหมือนกันหรอกหรือ?” อี้อวิ๋นส่ายหัว “นั่นเป็กลอุบายเดียวที่พวกเขาใช้ได้”
ิหยวนไม่เห็นด้วย “คนก่อไฟอาจถูกไฟเผาได้ฉันใด ไฟป่าก็ลามทุ่งได้ฉันนั้น ไม่ใช่ว่าอยากจะดับก็จะดับได้ง่ายๆ”
“ที่ว่ามาก็ถูก น้ำทำให้เรือลอยได้ น้ำก็ทำให้เรือจมได้เช่นกัน”
“ท่านเป็ทหาร ไม่สนใจศึกษาตำราพิชัยา แต่กลับศึกษาปรัชญาสวินจื่อ [1]”
“จวงจื่อฝันเป็ผีเสื้อ ผีเสื้อฝันเป็จวงจื่อ พลันลืมตาตื่น พบว่าตนคือซานกงลิ่วปู้จะทำอย่างไร” อี้อวิ๋นเริ่มพูดพร่ำไปเรื่อย “ก็คงต้องดูให้ดีก่อนว่าสิ่งใดเป็สิ่งใด”
ิหยวนมองเขาพร่ำเพ้ออย่างไม่เชื่อสายตา ก่อนจะกวาดตามองโลงศพรอบๆ อีกครั้ง คราวนี้เขาไม่กลัวแล้ว “คิดในแง่ดี ข้ากลัวว่าท่านรู้สึกตัวแล้วจะเห็นกระดูกที่อยู่รอบตัวกลับมามีชีวิต กลายเป็สาวงาม”
“เหอะ! มีหนุ่มรูปงามอย่างเ้าอยู่ด้วย พวกนางคงชายตามองข้าอยู่หรอก”
ทั้งสองพบกันโดยบังเอิญ แต่ก็เข้ากันได้ดี เหมือนจะเสียใจที่ไม่พบกันเร็วกว่านี้ พวกเขาพูดคุยกันไม่รู้จบจากสนามรบสู่การเกษตร จากการเกษตรสู่บทกวี จากบทกวีสู่การตกปลา จากการตกปลาสู่เื่ในวัยเด็ก ปีนต้นอวี๋เฉียนเพื่อเก็บกินผล พูดคุยกันไปเรื่อยๆ จนคอิหยวนคอแห้ง กระหายน้ำ แต่จู่ๆ ก็ชะงัก “ที่นี่มีทั้งไฟทั้งน้ำ นี่เป็วัฏจักรเบญจธาตุมิใช่หรือ?”
“เพ้อเจ้อ” อี้อวิ๋นเอ่ยยิ้มๆ พลางโยนฟืนท่อนเล็กๆ เข้าไปในกองไฟ เกิดเป็ประกายไฟพวยพุ่ง ิหยวน เบี่ยงตัวหลบ อี้อวิ๋นกอดเว่ยชงจนตัวอุ่นขึ้นแล้วก็ค่อยๆ วางเขาลงนอน ท่าทางระมัดระวังพยายามวางเขาอย่างเบามือนั้นดูราวกับเขาเป็พี่ชายสายเืเดียวกัน “รีบนอนพักเถิด พรุ่งนี้เ้ายังต้องไปส่งเขา”
“แล้วท่านเล่า?”
“ข้าก็มีธุระของข้า” อี้อวิ๋นมองเขาเงียบๆ สักพัก จากนั้นจู่ๆ ก็หยิบมีดสั้นออกมาส่งให้ิหยวน “อันนี้ให้เ้าเก็บไว้เป็ที่ระลึก”
ิหยวนรับมันมาทั้งที่ยังงุนงง เป็มีดที่เรียบง่ายแต่ปราณีต ใบมีดเงาวับเล่นแสง ด้ามจับสลักคำว่าอี้ หรือคนผู้นี้จะแซ่อี้จริง?
ิหยวนนั่งมองเงากระดำกระด่างบนหลังคาสูงเงียบๆ ไม่เอ่ยถามสิ่งใดต่อ ที่อี้อวิ๋นบอกว่าไม่รู้ฐานะของพวกเขานั้นเป็เื่จริงหรือเขาแกล้งทำเป็ไม่รู้ ิหยวนเองก็ไม่รู้ว่าภายใต้ชื่ออี้อวิ๋นนี้แท้จริงเป็ผู้ใด ซื่อแซ่ว่าอย่างไร อยู่ในกองทัพใด หรือทำหน้าที่ใด
พอถึงรุ่งเช้าวันใหม่ ดวงตะวันสาดส่องจากทิศบูรพา พวกเขาต่างต้องแยกย้าย อาจจะไม่ได้พบหน้ากันอีก แต่ใต้แสงจัทร์คืนนี้ที่เราเปิดอกพูดคุยไปตั้งมากมาย คงมิใช่เพราะเป็เพียงคนแปลกหน้าที่สวมหน้ากากเข้าหากันหรอกใช่หรือไม่?
บรรยากาศเงียบสงัด จู่ๆ เว่ยชงก็เริ่มสะอื้น อี้อวิ๋นลูบหลังเด็กน้อยแ่เบา เสียงทุ้มเริ่มร้องเพลงกล่อม เสียงนั้นทั้งแ่เบาและเชื่องช้าเหมือนกับเสียงขลุ่ยจากทางเหนือ
ิหยวนพยายามตั้งใจฟังถึงจับใจความเนื้อเพลงได้ว่าเป็บทกวีในคัมภีร์ซือจิง “เ้านกน้อยร้องร่ำพร่ำหาพวก หันซ้ายแลขวา เพื่อนยาอยู่หนใด...”
ท่ามกลางเปลวไฟสีแดงและเสียงเพลงแ่เบา ิหยวนก็ผล็อยหลับไปในที่สุด
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
[1] สวินจื่อ (荀子) หมายถึง นักปรัชญาคนสำคัญในสำนักหรูหรือลัทธิขงจื่อ