จ้าวซีเหอเริ่มมีท่าทีเป็กังวล ตอนนี้เขาเริ่มมึนศีรษะบ้างแล้ว เขานั่งลงบนเก้าอี้พลางเอ่ยกับเฉินเกอว่า “ไม่ได้ พวกเราต้องกลับไป มิเช่นนั้นฉือเอ๋อร์จะเป็ห่วง”
เฉินเกอใช้มือตบที่ศีรษะตัวเองไม่แรงนักหนึ่งที่ “ใช่ พวกเราต้องกลับไป มิเช่นนั้นฉือเอ๋อร์จะเป็ห่วง รอข้าประเดี๋ยว ข้าขอหาเสื้อคลุมของข้าก่อน เอ๋ เสื้อคลุมข้าหายไปไหน” เฉินเกอหันไปมองทางซ้ายทีขวาทีเพื่อมองหาเสื้อคลุม ช่างเป็ภาพที่น่าขบขันเหลือเกิน
ไม่ง่ายเลยกว่าจะหาเสื้อคลุมสีน้ำตาลตัวใหญ่ซึ่งวางอยู่บนเก้าอี้เจอ เฉินเกอสวมเสื้อคลุม มองจ้าวซีเหออย่างไม่ชอบใจ “ท่านรู้หรือไม่ว่าข้าเกลียดท่านจริงๆ”
“ข้ารู้” จ้าวซีเหอยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ก่อนจะยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินเข้าไปพยุงเฉินเกอ ทว่ากลับถูกอีกฝ่ายสะบัดแขนออก “ไปไกลๆ ข้า ข้าไม่อยากยืนกับท่าน ข้าจะไปหาฉือเอ๋อร์”
เสี่ยวเอ้อร์ของร้านเห็นท่าทางของทั้งสองคนก็ยกมือปาดเหงื่อที่ไหลลงมาตามหน้าผาก จากนั้นเดินเข้ามาหาทั้งสองคน เขาพยุงเฉินเกอที่นั่งอยู่บนพื้นให้ลุกขึ้นพลางเอ่ยว่า “ทั้งสองท่านคงจะเมาแล้ว”
จ้าวซีเหอได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้ม โบกไม้โบกมือปฏิเสธ “เหลวไหล เ้าสิเมา พวกเราคอแข็งจะตาย”
“เมาแล้วจริงๆ ด้วย” เสี่ยวเอ้อร์ถอนหายใจ ก่อนจะะโลงไปชั้นล่าง เรียกคนงานที่มีรูปร่างกำยำให้ขึ้นมาช่วยพยุงจ้าวซีเหอกับเฉินเกอ
“อย่ามาแตะตัวข้า ข้าเดินเองได้!” เฉินเกอตะคอกเสียงดังก่อนจะลุกขึ้นยืน จากนั้นเอามือเกาะราวบันไดเดินลงไปหาเถ้าแก่ร้าน จากนั้นหยิบเงินออกมาจากอกเสื้อ “ข้าจ่ายเอง”
เถ้าแก่มีสีหน้าตกตะลึงเล็กน้อย ก่อนที่สีหน้าจะเปลี่ยนเป็ยิ้มกว้าง รับเงินใส่ในอกเสื้อ ทอนเงินแล้วเอ่ยว่า “ได้เลยขอรับ เดินดีๆ นะขอรับ”
เฉินเกอโบกไม้โบกมือรับคำก่อนจะหมุนตัวเดินออกไป ครั้นเห็นจ้าวซีเหอนั่งรออยู่ที่บันไดหน้าร้านก็เอ่ยว่า “เอ๋ นี่ไม่ใช่ซื่อจื่อแห่งตำหนักอ๋องผู้มีชื่อเสียงโด่งดังหรือ”
จ้าวซีเหอหันหน้าไปมองเฉินเกออย่างหน่ายใจครู่หนึ่ง “เ้าดูท้องฟ้าสิ มีดวงดาวอยู่เต็มไปหมดเลย”
เฉินเกอมองตาม ก่อนจะเอ่ยอย่างทอดถอนใจว่า “ดวงดาวที่ชายแดนไม่เหมือนกับที่อื่นจริงๆ ส่องแสงสว่างกว่ามาก”
คนที่เดินผ่านไปผ่านมาได้ยินบทสนทนาของทั้งสองก็ยกยิ้มมุมปาก ที่แท้ดวงดาวที่ทั้งสองเห็นคือโคมไฟที่แขวนอยู่ด้านหน้าร้านรวงต่างๆ นั่นเอง
ทั้งสองราวกับคนสติไม่สมประกอบ นั่งอยู่บนบันไดหน้าโรงสุรา ชี้นิ้วไปที่คนที่เดินผ่านไปผ่านมาพร้อมกับหัวเราะ เวลานี้เองมีสตรีในชุดสีเขียวอ่อนผู้หนึ่งเดินผ่านหน้าทั้งสองคน ทั้งสองคนรั้งสตรีผู้นั้นไม่ให้เดินผ่านไป
“เ้าอย่าเพิ่งไป นี่ไม่ใช่เสื้อผ้าของเ้า นี่คือเสื้อผ้าของฉือเอ๋อร์” เฉินเกอจ้องเขม็งไปที่สตรีผู้นี้
สตรีผู้นี้ใจนหน้าถอดสี นึกว่าเจอพวกโจรปล้นสวาทเข้า ะโเสียงดังออกมาว่า “ช่วยด้วย! สองคนนี้จะล่วงเกินข้า!”
จ้าวซีเหอยิ้มพร้อมกับเอ่ย “น้องเฉิน เ้าจำผิดแล้ว นี่ไม่ใช่เสื้อผ้าของฉือเอ๋อร์
ได้ยินเช่นนั้น เฉินเกอยกมือขยี้ตาทั้งสองข้าง ดูท่าเขาจะจำคนผิดจริงๆ ด้วย คิดได้ดังนั้นสติพลันกลับคืนมาแจ่มชัด รีบขอโทษขอโพยสตรีตรงหน้ายกใหญ่ “แม่นาง ข้าขอโทษด้วย ข้าไม่ดูตาม้าตาเรือเอง”
สตรีผู้นี้ไม่พอใจเป็อย่างมาก ตบหน้าเฉินเกออย่างแรงหนึ่งที “โรคจิต!” ทิ้งคำพูดไว้ประโยคหนึ่งก่อนจะเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
เฉินเกอลูบแก้มข้างที่ถูกตบด้วยความรู้สึกหลากหลาย
หนิงมู่ฉือเพียงเหม่อไปชั่วครู่ก็พบว่าจ้าวซีเหอและเฉินเกอไม่อยู่แถวนี้แล้ว นางถามทุกคน ทว่าทุกคนกลับบอกว่าไม่เห็น ในใจนางตอนนี้เป็ห่วงทั้งสองคนอย่างยิ่ง
เฉินเหว่ยยิ้มขณะเดินหมากกับชายผู้มีหนวดเคราผู้หนึ่ง
“คุณหนู ไม่ต้องเป็ห่วงหรอก ทั้งสองคนเป็บุรุษ ไม่มีอันตรายเกิดขึ้นกับทั้งสองคนหรอกขอรับ” เฉินเหว่ยเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉยขณะเดินหมากอย่างตั้งใจ
นางถอนหายใจออกมา “ท่านอาเฉิน ข้าเป็ห่วงทั้งสองคนจริงๆ ท่านช่วยข้าตามหาพวกเขาได้หรือไม่”
“ก็ได้ขอรับ” เฉินเหว่ยเห็นหนิงมู่ฉือมีท่าทีร้อนใจจึงวางหมากในมือลงอย่างเสียดาย พลางเอ่ยกับคนตรงหน้า “พรุ่งนี้ค่อยมาเล่นกันใหม่”
เขาลุกขึ้นยืนแล้วผงกศีรษะให้หนิงมู่ฉือ “ทั้งสองคนไปที่ใดกันนะ”
หนิงมู่ฉือเดินตามอยู่ด้านหลังเฉินเหว่ยพร้อมทั้งมองหาจ้าวซีเหอและเฉินเกอไปด้วย ทั้งสองคนตามหาแถวนั้นจนทั่ว แต่ก็ไม่เจอ
นางขมวดคิ้วขณะที่จมูกได้กลิ่นฉุนกึกของแป้งผัดหน้า ถนนแห่งนี้เต็มไปด้วยผ้าไหมหลากหลายสี โคมไฟสีแดงสีเขียว และรอยยิ้มหวานๆ ของสตรีมากหน้าหลายตา บรรยากาศบนท้องถนนแห่งนี้มีแต่ความคลุมเครือ กลิ่นนี้ทำให้นางนึกถึงฉู่เมิ่งเอ๋อร์
นางได้ยินเสียงกระดิ่งดังเข้ามาในโสตประสาท นางหันไปมองยังทิศทางที่มาของเสียง แลเห็นสตรีหลายคนผูกเชือกสีแดงที่ข้อเท้าซึ่งมีกระดิ่งสีเงินเล็กๆ ห้อยอยู่ ยามหญิงสาวเหล่านี้ขยับเท้า กระดิ่งที่ข้อเท้าก็จะขยับตามไปด้วย
นางรู้สึกสงสัยยิ่งนักจึงเอ่ยถามเฉินเหว่ย “ท่านอาเฉิน เหตุใดที่ข้อเท้าของหญิงสาวเหล่านี้ถึงผูกเชือกสีแดง ทั้งยังที่มีกระดิ่งห้อยอยู่เล่า”
เฉินเหว่ยได้ยินคำถามพลันมีสีหน้ากระอักกระอ่วน กระแอมด้วยสีหน้าลำบากใจ “คำถามนี้เป็คำถามที่ท่านไม่ควรถามออกมา”
“เพราะเหตุใด ข้าแค่สงสัยเท่านั้นเอง ท่านบอกข้าหน่อยไม่ได้หรือ”
เฉินเหว่ยมองสีหน้าอยากรู้ของหนิงมู่ฉือก่อนจะพยักหน้าอย่างจนปัญญา “ก็ได้ ข้าบอกท่านก็ได้ พอหญิงสาวเหล่านี้เริ่มทำอาชีพนี้ก็จะผูกเชือกสีแดงที่ข้อเท้า ส่วนเหตุผล ข้าเองก็ไม่แน่ใจเช่นกัน”
“เอ๋ ท่านอาเฉินไม่รู้หรือ น่าแปลกเหลือเกิน” หนิงมู่ฉือยิ้มล้อเลียน
เวลานี้เองที่เฉินเหว่ยนึกบางเื่ขึ้นมาได้ “เหมือนสองคนนั้นบอกว่าจะไปดื่มสุรากัน เช่นนั้นก็ต้องไปที่โรงสุรา ข้านึกออกแล้ว ตามข้ามา”
ทว่าทันใดนั้นเองเฉินเหว่ยคิดขึ้นมาได้อีกว่า เมื่อครู่นี้หนิงมู่ฉือล้อตัวเองเล่น จึงใช้มือดีดหน้าผากหญิงสาว “เ้านี่ ข้าก็นึกว่าท่านสงสัยอยากรู้จริงๆ จึงถาม ไม่คิดว่าจะแค่ล้อข้าเล่น”
“ท่านอาเฉิน ข้าหรือจะกล้า เอาละ พวกเรารีบไปหาพวกเขาที่ร้านสุราเถิด” นางขมวดคิ้ว มองร้านรวงที่ตั้งอยู่ทั้งสองฝั่งถนนอย่างใจไม่ดี แต่ก็ไม่พบแม้แต่เงาของสองบุรุษ